ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 55 ผู้เที่ยงธรรม โจรขวางทาง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ไม่มีใครมองออกว่าสีหน้าจงฮุ่ยในตอนนี้นั้นขุนเคือง ไม่ยินยอม หรือไร้อารมณ์แม้แต่น้อย

เวลาสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้อย่างมากมาย

ในเวลาสั้นๆ เพียงหนึ่งปี การบำเพ็ญเพียรของจงฮุ่ยก้าวหน้าไปมากโข ตอนนี้อยู่อันดับสี่บนประกาศเตี่ยนจินแล้ว

แต่คู่ต่อสู้ของเขาไม่ได้อยู่ระดับเดียวกันอีกต่อไป

นี่ไม่ได้พูดถึงเรื่องการบำเพ็ญเพียร หากแต่เป็นสถานะ

แม้ว่าความแข็งแกร่งของพวกเขาจะใกล้เคียงกัน แต่จงฮุ่ยจะกล้าแสดงความไม่เคารพต่อเฉินฉางเซิงได้อย่างไรกัน

เส้นทางเดินบนเขายังคงเงียบงัน

สายตามากมายจับจ้องไปที่เฉินฉางเซิง

ตราบใดที่เขายังไม่พูด จงฮุ่ยก็ต้องคงท่าทำความเคารพเอาไว้

ริมฝีปากถังซานสือลิ่วเต็มไปด้วยความเย้ยหยันตอนที่กำลังจะอ้าปากพูด

เจ๋อซิ่วส่ายหน้า

เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ไม่กล้าตำหนิเฉินฉางเซิงในเรื่องใดทั้งนั้น แต่ก็พอจะเดาได้ว่าเขาคิดอะไรอยู่

เฉินฉางเซิงไม่ได้ตั้งใจทำให้จงฮุ่ยอับอาย เขาเพียงแค่ไม่คุ้นชินกับเรื่องเช่นนี้ ไม่คาดคิดว่าจงฮุ่ยจะคำนับเขา

แม้แต่ในตอนที่เหล่าผู้ศรัทธากราบกรานเขาที่หมู่บ้านเชิงเขา เขาก็ไม่ได้รู้สึกว่าตนเองเป็นว่าที่สังฆราชแต่อย่างไร

ทันใดนั้นทุกคนบนเขาก็สูดหายใจอย่างเย็นเยียบ

เพราะเฉินฉางเซิงเคลื่อนไหวแล้ว

เขาประสานมือโค้งกาย คำนับตอบจงฮุ่ย ไม่มีความไม่เคารพอันใดให้เห็น ท่วงท่าก็สมบูรณ์ไร้มลทิน

ด้วยสถานะในปัจจุบันของเขา หากจงฮุ่ยคำนับให้เขาด้วยความเคารพ เขาเพียงแค่ตอบกลับไม่กี่คำก็พอ

แต่เขากลับคำนับตอบอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ยังใช้ท่าทีซึ่งใช้กับผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นเดียวกัน

บรรยากาศตึงเครียดก่อนหน้านี้ก็สลายไปในทันที ทุกคนมองดูเฉินฉางเซิงอย่างชื่นชมอยู่ลึกๆ ในใจ

ทุกคนรู้สึกยินดี ยกเว้นถังซานสือลิ่ว มีแต่เฉินฉางเซิงกับเจ๋อซิ่วที่ได้ยินเขาบ่น “สงสัยคนที่อ่านตำรามากเกินไปก็กลายเป็นแบบนี้เหมือนกันหมด”

เฉินฉางเซิงหันกลับไปหาเขาและถาม “หมายความว่าอย่างไร”

ถังซานสือลิ่วตอบ “เจ้ากลายเป็นโก่วหานสือไปแล้ว”

เฉินฉางเซิงตอบ “ขอบคุณ”

ในมุมมองของเขา การเป็นคนแบบโก่วหานสือได้นั้นนับเป็นคำชมเชย

ถังซานสือลิ่วเย้ย “เสแสร้ง”

เฉินฉางเซิงชะงักค้าง จากนั้นก็ส่ายหน้าอย่างสิ้นหนทาง ก่อนก้าวเดินต่อไปตามทางบนเขา

ผู้บำเพ็ญเพียรร้อยกว่าคนติดตามมาด้านหลัง ไม่มีใครกล้าเดินนำหน้าเขา

พวกคนบนเขาตอนนี้ดูเหมือนจะฮึกเหิมขึ้นมาเล็กน้อย ทว่าพวกเขาเดินไปได้ไม่ไกลก็ต้องหยุดลงอีกครั้ง

ในครั้งนี้ไม่ใช่เพราะคนคุ้นหน้าที่มีเรื่องเก่ากับเฉินฉางเซิงปรากฏตัวบนทางเดิน หากแต่เป็นเพราะมีคนจงใจยืนอยู่กลางถนนขวางทางเอาไว้

เฉินฉางเซิงไม่รู้จักคนผู้นี้แต่มีจำนวนไม่น้อยรู้จัก

อันดับห้าบนประกาศเซียวเหยา แม่ทัพอายุน้อยที่สุดของเผ่าปีศาจและยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์สูงล้ำที่สุดในรอบร้อยปี ผู้เกิดริมสองฝั่งแม่น้ำแดงนอกเหนือจากองค์หญิงลั่วลั่ว

ยอดฝีมือเผ่าปีศาจคนนี้มีนามอันน่ารักว่า เสี่ยวเต๋อ[1]

อย่างไรก็ตาม ทุกคนที่รู้จักเขาย่อมรู้ว่ายอดฝีมือเผ่ามารผู้นี้ไม่ได้น่ารักแม้แต่น้อย และนับว่าน่ากลัวมากทีเดียว

“เจ้าคือเฉินฉางเซิงใช่ไหม”

เสี่ยวเต๋อมองดูเขาในยามที่พูด ปอยผมดำที่ขมับทั้งสองลอยขึ้น แผ่รัศมีที่ไม่โอนอ่อนผ่อนปรนออกมา

สำหรับคำถามนั้น แม้แต่คนที่มีความอดทนสูงอย่างเฉินฉางเซิงก็ยังรู้สึกระอาเมื่อได้ยิน เขาจึงได้แต่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไร

ในมุมมองของเสี่ยวเต๋อ การที่เฉินฉางเซิงไม่ยอมเปิดปากพูดนั้นเป็นการดูหมิ่น

หรือบางทีเขาอาจจะรอให้เฉินฉางเซิงดูหมิ่นเขา เพื่อที่เขาจะได้ฉวยโอกาสนั้นแสดงความโกรธออกมา

“ข้าจะตีเจ้าให้ตาย” เขาพูดกับเฉินฉางเซิงอย่างจริงจัง

นัยน์ตาใสกระจ่างของเขาจะแผ่รังสีสีน้ำตาลออกมา ไอพลังปราณน่ากลัวพุ่งออกจากร่าง

เฉินฉางเซิงรู้สึกสับสนอยู่บ้าง เห็นได้ชัดว่ายอดฝีมือเผ่าปีศาจนั้นจงใจหาเรื่องเขา แน่นอนว่าคนผู้นี้คงไม่ตีเขาจนตายจริงๆ แต่ที่จงใจพูดอย่างโหดเหี้ยมไร้เหตุผลเช่นนี้ก็เพื่อจะเย้ยหยันเขา

ช่างน่าแปลกใจ ลั่วลั่วทำให้เขามีความสัมพันธ์กับเผ่าปีศาจด้วยดีเสมอมา ฤดูสารทปีก่อน เขาก็ได้รับรางวัลจากเมืองไป๋ตี้

ฝูงชนบนเขาสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น พวกเขาคิดเหมือนกับเฉินฉางเซิง ทั้งหมดล้วนรู้ว่ายอดฝีมือเผ่าปีศาจผู้นี้ไม่อาจตีเฉินฉางเซิงจนตายได้อย่างแน่นอน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่ายอดฝีมือเผ่าปีศาจคนนี้จะไร้ความสามารถ เพียงแต่ว่าสถานะของเฉินฉางเซิงนั้นพิเศษเท่านั้นเอง

ไม่ว่าเฉินฉางเซิงจะมีพรสวรรค์เพียงไร ต่อให้เขาเคยเอาชนะผู้บำเพ็ญเพียรระดับต้นขั้นรวบรวมดวงดาวได้ แต่ก็ยังมีช่องว่างใหญ่หลวงระหว่างเขากับห้าอันดับแรกบนประกาศเซียวเหยา ต้องกล่าวว่าเสี่ยวเต๋อสามารถต่อสู้ซึ่งหน้ากับหวังผ้อและเซียวจางได้

“เจ้าไม่เข้าใจหรือ” ถังซานสือลิ่วหันไปถาม

เฉินฉางเซิงพยักหน้า

“ที่สองฝั่งแม่น้ำแดง จำนวนยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่อยากแต่งกับองค์หญิงลั่วลั่วมีนับไม่ถ้วน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของพรสวรรค์การบำเพ็ญเพียร ความแข็งแกร่ง หรือภูมิหลังครอบครัว เสี่ยวเต๋อนั้นนับว่ามีโอกาสที่จะสมหวังมากที่สุด ซึ่งก็หมายความว่าหากไม่มีอะไรเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ในเวลาไม่กี่ปีเขาก็จะรับองค์หญิงลั่วลั่วมาเป็นภรรยา ยิ่งไปกว่านั้นหากองค์หญิงลั่วลั่วไม่อาจสืบทอดวิชาของจักรพรรดิขาวได้ เขาก็จะกลายเป็นผู้นำคนต่อไปของเผ่าปีศาจ แต่เจ้ากลับเป็นคนทำให้เรื่องทั้งหมดนี้กลายเป็นเรื่องไม่แน่นอนขึ้นมา”

หลังจากได้ยินคำอธิบายของถังซานสือลิ่ว เฉินฉางเซิงก็รู้สึกต่างไปเมื่อมองไปที่ยอดฝีมือที่อยู่บนทางเดินภูเขา

“เจ้าแก้ไขปัญหาเส้นลมปราณขององค์หญิงลั่วลั่ว ซึ่งก็เหมือนกับเป็นการเปลี่ยนกฎที่ปกครองอาณาจักรเผ่าปีศาจมานานหลายหมื่นปี ไม่ว่าจะมองจากมุมนี้หรือจากความสนิทสนมของเจ้ากับองค์หญิงลั่วลั่ว หากข้าเป็นเสี่ยวเต๋อ ข้าก็มีเหตุผลให้ฆ่าเจ้า”

หลังจากอธิบายเสร็จแล้ว ถังซานสือลิ่วก็เดินไปยืนอยู่หน้าเสี่ยวเต๋อ

รูปร่างเสี่ยวเต๋อไม่ได้ดูสูงใหญ่กำยำเท่าไรนัก เทียบกับเซวียนหยวนผ้อแล้ว เขาผอมบางกว่ามาก แต่กลับให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่กว่ามาก

นี่คือแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากยอดฝีมือที่แท้จริง

ถังซานสือลิ่วสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง เขารู้ดีกว่าใครทั้งหมดบนเส้นทางภูเขาแห่งนี้ว่า หากยอดฝีมือเผ่าปีศาจคนนี้เกิดบ้าคลั่งขึ้นมา เขาต้องกล้าโจมตีเฉินฉางเซิงเป็นแน่ แต่ปัญหาก็คือไม่ว่าเขาจะมองอย่างไร ยอดฝีมือเผ่าปีศาจคนนี้ก็มีเหตุผลให้บ้าขึ้นมา

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร” เขาถามเสี่ยวเต๋อ

เสี่ยวเต๋อหรี่ตา แสงสีน้ำตาลดุดันในส่วนลึกของนัยน์ตาค่อยๆ จางลง เขาปรับเสียงเล็กน้อยก่อนตอบออกมา “นายน้อยตระกูลถัง”

“ในเมื่อเจ้าจำข้าได้ เช่นนั้นก็สะดวกขึ้นหน่อย เผ่าของเจ้าทำธุรกิจกับเรามานานจนนับปีไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้นเจ้าคงรู้ดีอยู่แล้วว่าตระกูลถังเรานั้นเป็นนักธุรกิจที่ซื่อตรง”

“เจ้ามีธุระอะไรจะเจรจากับข้า”

“เจ้าอยากจะแต่งงานกับองค์หญิงลั่วลั่วหรือไม่”

“ทุกเผ่าสองฝั่งแม่น้ำแดง แม้กระทั่งบรรดาสิงสาราสัตว์ที่อยู่ลึกเข้าไปในป่าก็ยังรู้เรื่องนี้” น้ำเสียงของเสี่ยวเต๋อเคร่งเครียดเมื่อเขากล่าวต่อ “อย่าบอกข้านะว่า เพราะเขาเป็นอาจารย์ขององค์หญิงลั่วลั่ว ข้าจึงควรปฏิบัติกับเขาให้ดี และในช่วงเวลาที่สำคัญ เขาอาจช่วยข้าพูดบางอย่างก็ได้”

ถังซานสือลิ่วตัวแข็งไป ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ถอนหายใจ “ใครบอกว่าเผ่าปีศาจไร้สมองกันนะ”

เสี่ยวเต๋อยิ้ม “น่าจะเป็นมนุษย์ไร้สมองกล่าวไว้”

ถังซานสือลิ่วตอบ “เช่นนั้นเราก็คงไม่อาจเจรจาธุรกิจกันแล้วสินะ”

“เพราะว่านี่ไม่ใช่เรื่องธุรกิจตั้งแต่แรกแล้ว มันเป็นการฉ้อโกง” เสี่ยวเต๋อฝืนยิ้มออกมา “ดูจากความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างทั้งสองฝ่าย ข้าคงไม่อาจจะกล่าวโทษเจ้าได้ แต่บอกข้าทีซิว่าข้าไม่ควรโกรธเขาด้วยเหตุผลใด ข้าผิดตรงไหนที่อยากจะตีเขาให้ตาย”

ถังซานสือลิ่วตอบ “ใครฉ้อโกงใครกัน เมื่อเป็นเรื่องต้องใช้ปัญญา เจ้าฉลาดและใจเย็นยิ่งกว่าผู้ใด เมื่อเจ้าต้องการจะเล่นบทฉุนเฉียวตรงไปตรงมา เจ้าก็เอาด้านนี้ออกมาใช้ ถ้าเราเจรจาธุรกิจกัน ข้าควรจะคุยกับด้านไหนของเจ้าดีล่ะ”

“ไม่ว่าเจ้าจะเจรจากับด้านไหนของข้า เจ้าก็ต้องบอกเงื่อนไขมาก่อน”

รอยยิ้มของเสี่ยวเต๋อจางไปและกล่าวอย่างเรียบเฉย “สองฝั่งแม่น้ำแดง ดินแดนเผ่าปีศาจอันไพศาล มีผู้อาศัยอยู่นับไม่ถ้วน ข้าเสียหายไปมาก เจ้าจะชดเชยให้ข้าอย่างไร”

ถังซานสือลิ่วกำลังจะพูดออกไป เสียงของเฉินฉางเซิงก็ดังขึ้นอย่างสงบและเด็ดเดี่ยว

“สองฝั่งแม่น้ำแดง ดินแดนเผ่าปีศาจอันไพศาล มีผู้อาศัยอยู่นับไม่ถ้วน…สิ่งเหล่านี้ไม่เคยเป็นของเจ้าและเจ้าก็ไม่เคยได้มันมา แล้วเจ้าเสียอะไรไปถึงต้องเอามาพูดกันอีก”

เขาเดินมาข้างกายถังซานสือลิ่วและมองไปที่เสี่ยวเต๋อ “ข้าไม่เข้าใจเรื่องการเจรจาธุรกิจของพวกเจ้าสองคน แต่ข้ารู้ว่าจะทำธุรกิจหรือเจรจาเรื่องใดก็ตาม เจ้าก็ไม่ควรแลกเปลี่ยนสิ่งที่ไม่ใช่ของเจ้าเพื่อหากำไร”

ในยามที่พูดเขาก็มองดวงตาของเสี่ยวเต๋อ ความหมายของเขาชัดเจนอย่างยิ่ง ไม่มีท่าทีว่าจะยอมถอย “แม่น้ำแดงแปดร้อยลี้ไม่เคยเป็นของเจ้า และลั่วลั่วก็ไม่เคยเป็นของเจ้า ต่อให้เจ้าเป็นยอดฝีมือเผ่าปีศาจที่อยู่อันดับต้นๆ ของประกาศเซียนเหยา แต่เจ้ามีคุณสมบัติอะไรมายืนตรงหน้าข้าและถามหาเหตุผล เจรจาธุรกิจและเรียกร้องขอค่าชดเชย”

ภูเขานิ่งสงัด เงียบจนแม้แต่นกยังดูเหมือนจะหยุดส่งเสียงร้อง

หากบอกว่าความเงียบตอนที่พบกับจงฮุ่ยนั้นทำให้ผู้คนกระอักกระอ่วนเพราะความตึงเครียด ความเงียบงันในตอนนี้ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่สบายใจ

เพราะว่าเฉินฉางเซิงเผชิญหน้ากับยอดฝีมือเผ่าปีศาจที่อยู่อันดับต้นๆ ของประกาศเซียวเหยา เขาทำให้ยอดฝีมือเผ่าปีศาจนี้เสียผลประโยชน์มากเกินไป เกินกว่าที่จงฮุ่ยต้องเสียหายมากนัก ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้มีตระกูลถังแห่งเวิ่นสุ่ยช่วยออกหน้า ยอดฝีมือเผ่าปีศาจคนนี้ก็ไม่คิดที่จะลดราวาศอก แล้วตอนนี้ เฉินฉางเซิงก็ยังแสดงความแข็งขืนที่ยากจะได้เห็นออกมา

เสี่ยวเต๋อพลันหัวเราะออกมา อย่างแทบจะบ้าคลั่ง แสงสีน้ำตาลในดวงตาเปลี่ยนไปเป็นจุดที่สว่างไสวที่สุดของเกลียวคลื่น

จากนั้นก็หรี่ตากล่าวกับเฉินฉางเซิง “ดูเหมือนเจ้าเชื่อว่าข้าไม่กล้าตีเจ้าจนตาย”

เฉินฉางเซิงตอบ “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้ามีความสามารถที่จะตีข้าจนตาย”

สองประโยคนี้นับว่าแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

ในสายตาของเสี่ยวเต๋อ ต่อให้เฉินฉางเซิงมีความรู้กว้างขวางแค่ไหน เหนือล้ำกว่าผู้บำเพ็ญเพียรทั่วไปมากมายเพียงใด ต่อให้สามารถบรรลุถึงจุดสูงสุดของขั้นทะลวงอเวจีด้วยวัยเพียงแค่สิบหกปี เอาชนะยอดฝีมือระดับต้นของขั้นรวบรวมดวงดาวจากสำนักในจิงตูมามากเท่าไร หรือชนะสวีโหย่วหรงบนสะพานหน่ายเหอได้ก็ตาม…เขาก็ยังสามารถสังหารเฉินฉางเซิงได้โดยใช้นิ้วมือเดียวเท่านั้น

แต่เฉินฉางเซิงได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งสังฆราช…เขาจึงใช้คำว่า ‘กล้า’

เฉินฉางเซิงกลับใช้คำว่า ‘สามารถ’ แน่นอนว่าเขาย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอันดับห้าในประกาศเซียนเหยา แต่เขาก็เชื่อว่าตนคงไม่พ่ายแพ้ง่ายดายนัก

ความมั่นใจของเขานั้นย่อมต้องมีเหตุผลสนับสนุน อย่างเช่นกระบี่นับไม่ถ้วนในซ่อนคม อย่างเช่นลูกปัดหินห้าเม็ดในมือของเขา อย่างเช่นวิชาดาบที่ได้เรียนตอนอยู่ในสุสานเทียนซู เขามีเหตุผลมากมาย แต่คนอื่นไม่รู้ แม้แต่ถังซานสือลิ่วก็ไม่รู้ถึงความแข็งแกร่งที่แท้จริงของซ่อนคม เขาจึงรู้สึกว่าคำพูดนี้ออกจะประหลาดอยู่บ้าง

เป็นสิ่งอันจะสร้างความอัปยศอดสูแก่ยอดฝีมือแห่งประกาศเซียวเหยา

[1] เสี่ยวเต๋อ แปลว่าเด็กน้อยผู้มีคุณธรรม