ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 56 ชายชุดเขียวครามที่พลันปรากฏกายขึ้น

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ในขณะที่เสี่ยวเต๋อปรากฏตัวขึ้น ผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์ก็ได้ลอบส่งข่าวให้กับคนในหานซาน อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาเห็นแสงสีน้ำตาลเจิดจ้าในดวงตาของเสี่ยวเต๋อเข้มขึ้น เขาก็รู้ว่าสายเกินไปแล้ว เขาเตรียมที่จะพุ่งไปด้านหน้าเฉินฉางเซิงเพื่อปกป้องเขาและหวังว่าทางเขาหลีซานจะส่งคนมาโดยเร็วที่สุด

ยอดฝีมือเผ่าปีศาจเป็นที่รู้กันดีว่ามีทั้งปัญญาและความบ้าคลั่ง บุตรแห่งสวรรค์ที่ทระนงผู้นี้ เมื่อตัดสินใจลงมือ ก็ต้องคิดคำนวณความเป็นไปได้ทั้งหมดแล้ว ต่อให้เขาไม่อาจสังหารเฉินฉางเซิง แต่ตราบใดที่เขาหยามหยันว่าที่สังฆราชด้วยวิธีใดก็ตาม ก็นับว่าเขาทำตามเป้าหมายได้แล้ว อย่างไรก็ตาม หอความลับสวรรค์ไม่ต้องการเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้น

แม้ว่าจะมีปัญหาระหว่างสังฆราชกับผู้เฒ่าความลับสวรรค์ แต่หอความลับสวรรค์จะยืนมองดูว่าที่สังฆราชถูกหยามหมิ่นในอาณาเขตของตนได้อย่างไรกัน

นอกเหนือจากผู้ดูแลจากหอความลับสวรรค์ ยังมีผู้บำเพ็ญเพียรอีกหลายสิบคนที่แตะกระบี่ซึ่งแขวนไว้กับเอวและมองดูเสี่ยวเต๋อด้วยความกังวล สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรที่กราบกรานเฉินฉางเซิงถึงกับชักกระบี่ออกมาอยู่ในมือแล้ว ดวงตาเย็นเยียบอย่างยิ่ง ดูเสมือนว่าหากเสี่ยวเต๋อกล้าลงมือ ผู้บำเพ็ญเพียรผู้นี้ก็จะยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องเกียรติของเฉินฉางเซิง

ทั้งนี้เพราะว่าผู้บำเพ็ญเพียรหลายสิบคนบนเส้นทางภูเขานี้ต่างก็เป็นมนุษย์ และยังเป็นผู้ศรัทธาในนิกายหลวงอีกด้วย

เขาจะปล่อยให้ว่าที่สังฆราชของนิกายหลวงถูกเผ่าปีศาจหยามเกียรติได้อย่างไรกัน

เสี่ยวเต๋อมองดูผู้บำเพ็ญหลายสิบคนที่เตรียมพร้อมโจมตี แววตามีประกายความดูถูกฉายขึ้น

สีหน้าของเขาไม่ได้เคร่งเครียดขึ้น กลับกัน เขาเอามือไพล่หลัง เหมือนจะดูถูกทุกคนอย่างที่สุด

เมื่อเขาทำเช่นนั้น ร่างกายที่เดิมที่ไม่ได้สูงใหญ่นักก็พลันดูเหมือนจะกลายเป็นภูเขาขึ้นมา

เขาจ้องมองเหล่าผู้เพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์จากที่สูง

เขาเป็นยอดฝีมือตัวจริง การรวบรวมดวงดาวของเขานั้นเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ เขาถึงขนาดสามารถสัมผัสได้ถึงขอบเขตของเขตแดนเทพศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างเลือนรางอีกด้วย

ภายใต้ห้านักปราชญ์และแปดมรสุม นอกจากขุนพลเทพระดับสูงของต้าโจว คนสำคัญของนิกายหลวงและสำนักต่างๆ พวกยอดฝีมือบนประกาศเซียนเหยาอย่าง หวังผ้อ เซียวจางและเหลียงหวังซุน จะมีใครอีกที่เป็นคู่มือกับเขาได้

สายลมจากป่าเขา พัดพาใบไม้เหลืองม้วนขึ้นเป็นเกลียว นำมาซึ่งความกดดันที่แทบจะเกินจินตนาการ

ไม่ว่าจะเป็นผู้บำเพ็ญเพียรพเนจรที่ชักกระบี่ออกมา หรือผู้บำเพ็ญเพียรเผ่ามนุษย์ที่พร้อมสู้อีกหลายสิบคน ล้วนแล้วแต่ตระหนักได้ว่าตนไร้ความสามารถที่จะโจมตีและเสียความกล้าที่จะโจมตีไป สำหรับผู้ดูแลของหอความลับสวรรค์รู้สึกถึงความสำนึกผิดอย่างรุนแรงในการจัดการสิทธิ์เข้าออกหานซานในครานี้

ทำไมพวกเขาต้องห้ามทหารม้านิกายหลวงไม่ให้คุ้มครองส่งเฉินฉางเซิงเข้ามาในภูเขาด้วย

หากเหมาชิวอวี่หรือราชันย์แห่งหลิงไห่อยู่ที่นี่ มีหรือที่ยอดฝีมือเผ่าปีศาจผู้นี่จะกล้าทำตัวหยาบคายเช่นนี้

จงฮุ่ยที่ยืนอยู่ด้านหลังฝูงชนตลอดเวลาหน้าขาวซีด แต่ดวงตาส่องประกายดุดัน เขาส่งเสียงฮึดฮัดไม่พอใจในขณะที่มือกำกระบี่เอาไว้

เจ๋อซิ่วสีหน้าเรียบเฉย แต่งอเข่าและจับจ้องไปที่ลำคอของเสี่ยวเต๋อราวกับหมาป่าที่หิวโหย นัยน์ตาเปลี่ยนเป็นสีแดงอย่างฉับพลันขณะที่เขาเตรียมตัวเปลี่ยนร่าง

เฉินฉางเซิงยืนอยู่หน้าสุดย่อมสัมผัสถึงแรงกดดันได้อย่างเข้มข้นชัดเจนที่สุด

กล่าวได้ว่าแรงกดดันที่แผ่ออกมาจากเสี่ยวเต๋อกว่าครึ่งหนึ่งนั้นตกอยู่ที่เขา

สีหน้าของเขาไม่เปลี่ยนไป เขายกมือซ้ายขึ้นช้าๆ ท่ามกลางลมภูเขาที่กระพือพัด

เขาถือกระบี่สั้นด้วยมือซ้าย นี่เป็นวิธีของเขาในการกล่าวคำว่า ‘เชิญ’

กระบี่นี้ชื่อว่าไร้ราคี ฝักกระบี่คือซ่อนคม และเขาก็คือกระบี่ที่ซ่อนอยู่ในฝัก ในตอนนี้เขาพร้อมที่จะแสดงความแหลมคมออกมาแล้ว

อันที่จริงแล้วทั้งในการประลองระหว่างสำนักที่หน้าสำนักฝึกหลวง และในการต่อสู้บนสะพานหน่ายเหอกับสวีโหย่วหรง เขาไม่เคยแสดงความแข็งแกร่งทั้งหมดออกมาเลย ในตอนนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ระดับเดียวกับหวังผ้อ ยอดฝีมือที่อยู่ส่วนบนสุดของประกาศเซียนเหยา จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเก็บงำฝีมือเอาไว้

ในการต่อสู้ที่จะเกิดขึ้นนี้ เขาไม่รู้ว่าผลสรุปสุดท้ายจะเป็นเช่นไร เขาอาจถูกกำหนดให้พ่ายแพ้เอาไว้แล้ว เพียงปรารถนาจะลองดูว่าตนจะแทงได้สักกระบี่หรือไม่

ฝักกระบี่บรรจุไว้ด้วยหมื่นกระบี่ จะเป็นกระบี่ใดก็ได้ทั้งนั้น

หรือมิเช่นนั้น เขาก็อยากดูว่าจะสามารถฟันคนผู้นี้ได้สักดาบหนึ่งหรือไม่

เขาทำความเข้าใจเพลงดาบร้อยแปดท่าตรงหน้าแผ่นป้ายอนุสรณ์ศิลาสะบั้น ท่าดาบไหนก็ได้ทั้งนั้น

ครั้นเห็นสีหน้าของเฉินฉางเซิง เสี่ยวเต๋อก็หรี่ตาลงยิ่งกว่าเดิม ดูประดุจเสือที่นอนอาบแดด ทว่าแววตาที่ออกมาจากช่องว่างเล็กๆ นั้นเย็นเยียบกว่าเดิม แสงสีน้ำตาลยิ่งโหดเหี้ยมกว่าเดิม เขาต้องประหลาดใจเมื่อตระหนักว่าคนผู้นี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าข่าวลือเสียอีก จนเกือบที่จะต้านแรงกดดันของเขาได้ระยะหนึ่ง

“โปรดหลีกทางด้วย”

ทางเดินบนเขามีคนมาถึงอย่างฉับพลัน

คนผู้นี้ใส่ชุดสีเขียวคราม ก้มหน้าก้มตา น้ำเสียงก็เบาทุ้มอย่างยิ่ง ให้ความรู้สึกว่านอบน้อมอย่างมาก หรือกล่าวได้ว่าเขาเป็นคนที่ไม่สร้างความประทับใจใดๆ ให้ผู้ที่ได้พบเห็นเลย

ฝูงชนค่อยๆ เปิดทางออกให้แก่ชายชุดสีเขียวครามที่พลันปรากฏตัวขึ้นมานี้

“ขอบคุณ” เขาก้มหน้าเดินตรงต่อไป

หลังจากพวกเขาเปิดทางไว้แล้วฝูงชนถึงตระหนักได้ว่าสถานการณ์นั้นแปลกประหลาดเพียงใด

ก่อนหน้านี้ ไอพลังปราณในบริเวณนี้ถูกไอพลังปราณที่แผ่ออกมาจากยอดฝีมือเผ่าปีศาจควบคุมอย่างสิ้นเชิงจนไม่มีใครสามารถขยับได้ ขนาดจะชักกระบี่ออกมายังทำไม่ได้เลย

แล้วเหตุใดตอนที่ชายชุดเขียวครามขอให้คนช่วยเปิดทางให้ พวกเขาทั้งหมดจึงขยับได้ขึ้นมา

จงฮุ่ยจ้องมองหลังของชายชุดเขียวคราม ดวงตาแสดงความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง วันนี้เขาเข้ามาในเขาหานซานพบเจอเฉินฉางเซิง ถูกบังคับให้ต้องก้มหัวคำนับ จากนั้นก็พบเจอกับยอดฝีมือหลายคน เขาที่ก้าวหน้าขึ้นมากในช่วงปีที่ผ่านมา จึงเป็นธรรมดาที่จะรู้สึกภาคภูมิใจ แต่ก็พลันตระหนักบางอย่างขึ้นมาได้

ชายชุดเขียวครามเดินไปตามทางภูเขา ดูเหมือนจะเดินช้ามาก แต่กระนั้นก็ใช้เวลาเพียงไม่นานในการเดินผ่านฝูงชน

เขาเดินผ่านถังซานสือลิ่วและเจ๋อซิ่ว เฉียดร่างของเฉินฉางเซิงจากนั้นก็มาอยู่ตรงหน้าเสี่ยวเต๋อ

แม้แต่ในตอนนี้ เขาก็ยังไม่เงยหน้าขึ้น ไหล่ห่อคอก้ม ไม่มีใครเห็นใบหน้าของเขา

เฉินฉางเซิงมองดูหลังของชายชุดเขียวครามด้วยความตกใจ

“โปรดหลีกทางด้วย”

ชายชุดเขียวครามกล่าวกับเสี่ยวเต๋อ น้ำเสียงแผ่วเบาและท่าทีอ่อนน้อม

เสี่ยวเต๋อไม่ได้หลีกทางให้ หรี่ตาลงยิ่งกว่าเดิม

เขาเคยพบคนที่ชอบใส่ชุดสีเขียวครามมาครั้งหนึ่ง คนผู้นั้นก็ชอบห่อไหล่เช่นกัน

หากเขาไม่เคยพบคนผู้นั้นมาก่อน เขาคงบอกว่าชายชุดเขียวครามคนนี้ก็คือคนผู้นั้น

เพราะในสายตาของเขา ชายชุดเขียวครามตรงหน้านี้ก็น่ากลัวเช่นเดียวกับคนผู้นั้น

อย่างไรก็ตาม ไหล่ที่ห่อของคนผู้นั้นเหมือนจะมีท่าทีเงียบงันเทียมฟ้า เป็นความยากจนที่เต็มไปด้วยความโอ่อ่าค่าล้น ประหนึ่งคนที่ทำบัญชีให้กับร้านค้าเล็กๆ แต่กลับมีจิตใจที่โลภมากอยากได้ทั้งโลก

ไหล่ที่ห่อของชายชุดเขียวครามคนนี้กลับมีท่าทีต่อโลกหล้า ในสายตาของเขาทั้งโลกนี้ไม่มีอะไรเลยนอกจากคนตาย เขาห่อไหล่ก็เพื่อที่จะชักกระบี่ได้เร็วขึ้น

เสี่ยวเต๋อไม่รู้จักชายชุดเขียวครามผู้นี้ ไม่คิดจะหลีกทางให้ ลมหายใจรุนแรงขึ้นราวกับเสียงของลมภูเขา

เขาปลดปล่อยไอพลังปราณและพื้นฐานการบำเพ็ญทั้งหมดออกมา แรงกดดันน่าหวาดหวั่นกว่าเดิม

ชายชุดเขียวครามกลับเหมือนจะไม่เห็นภาพนี้ เขายังคงยืนนิ่งเงียบอยู่เบื้องหน้า ศีรษะก้มต่ำและไหล่ห่อเช่นเดิม

ชายชุดเขียวครามไม่ทำอะไร เขาแค่ยืนอย่างธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่นต่อไป ประหนึ่งว่าเขาได้หายตัวไป

ช่างน่ากริ่งเกรงยิ่งนัก

หลังจากเวลาผ่านไประยะหนึ่ง ชายชุดเขียวครามก็เคลื่อนไหว ก้าวเดินขึ้นไปตามทางภูเขา

ดวงตาของเสี่ยวเต๋อทั้งเย็นเยียบและน่ากลัว ฝ่ามือสองข้างร่วงลงจากท้องฟ้าและบรรจบกันตรงหน้าเขา หินและทรายจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวฟุ้งขึ้นมาตามแรงลม เปลือกไม้หลุดลอกออกจากต้นเมื่อฝ่ามือนั้นพุ่งเข้าหาชายชุดเขียวคราม

ทันใดนั้นทางเดินบนเขาก็เต็มไปด้วยหินทรายที่ปลิวขึ้น ลมสีเหลืองมีอยู่เต็มท้องฟ้าทำให้ทุกอย่างดูพร่าเลือน

ทันใดนั้น ประกายกระบี่ก็ส่องสว่างขึ้นในสายลมที่เต็มไปด้วยทรายและตัดผ่านแรงกดดันอันน่าหวาดกลัว