ส่วนที่ 4 ภาคความปรารถนาจากบูรพา ตอนที่ 57 มือสังหารผู้ผิดหวัง

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

เสียงคำรามที่ดุดันดังก้องออกมาจากสายลมและทราย

ลมสงบ ฝุ่นทรายจางลง ภูเขากลับมากระจ่างใสอีกครั้งหนึ่ง

ยอดฝีมือเผ่าปีศาจบนประกาศเซียนเหยาได้หายตัวไปแล้ว เหลือไว้เพียงแค่กองเลือดบนพื้น

ชายชุดเขียวครามยังคงยืนอยู่ที่เดิม ยังยืนในท่าทีเช่นเดิม ก้มหน้าห่อไหล่ อย่างไรก็ตาม มือขวาที่ยื่นออกมาจากแขนเสื้อสั่นอยู่บ้าง

ในมือไม่มีกระบี่ และประกายกระบี่ที่ดูงดงามเจิดจ้าแต่แปลกประหลาดนั้นก็ดูเหมือนจะเป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้น

อันที่จริงแล้ว นอกจากสถานการณ์พิเศษเช่นที่เกิดขึ้นในเมืองสวินหยาง ก็ยากนักที่จะมีใครได้เห็นกระบี่ของเขา

เส้นทางภูเขาเงียบสงัด ฝูงชนจ้องมองไปยังชายชุดเขียวครามบนทางภูเขา ล้วนตกใจและคิดกันไปว่าคนผู้นี้คือใครกัน ยอดฝีมือผู้เร้นกายที่นิกายหลวงส่งมาคุ้มครองเฉินฉางเซิงเช่นนั้นหรือ

ยอดฝีมือเผ่าปีศาจผู้พ่ายแพ้ไปในกระบวนท่าเดียว ไม่รู้จักชายชุดเขียวครามผู้นี้

ไม่มีใครรู้จักชายชุดเขียวคราม ไม่ว่าพวกเขาจะมีประสบการณ์ความรู้เพียงไรก็ตาม

ซูหลีเคยกล่าวอย่างดูถูกเกี่ยวกับชายชุดเขียวครามผู้นี้ นักฆ่าคนใดที่มีชื่อก็ไม่นับว่าเป็นนักฆ่าที่ดี

ทว่าในความเป็นจริงแล้ว นอกจากเขากับคนสำคัญอย่างจูลั่วแล้ว จะมีใครอีกที่รู้ว่าชายชุดเขียวครามผู้นี้เป็นใคร

เฉินฉางเซิงรู้ว่าเขาคือใคร

ในการเดินทางหมื่นลี้จากทุ่งหิมะแดนมารไปยังแดนใต้ ชายชุดเขียวครามได้แอบมองพวกเขาอยู่ในเงามืดตลอดมา ในตอนนั้น เขาเชื่อว่าชายชุดเขียวครามนี้กำลังรอโอกาสเหมาะที่จะสังหารพวกเขา ทว่าหลังจากนั้น เขาก็ตระหนักว่าเขากำลังปกป้องพวกเขา ในที่สุดชายชุดเขียวครามก็ได้ใช้กระบี่ออกมาเมื่อเกิดพายุในเมืองสวินหยาง ด้วยกระบี่เดียวเขาสามารถพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ได้

เช่นเดียวกับในตอนนี้

เขาเดินขึ้นไปหาชายชุดเขียวครามและกล่าวจากด้านหลัง “ขอบคุณมาก”

ชายชุดเขียวครามหันกลับมาและตอบอย่างราบเรียบ “ต่อให้ไม่มีข้า เขาก็ไม่กล้าสังหารเจ้าหรอก”

ครั้นจ้องมองไปยังใบหน้าอันธรรมดานี้ เฉินฉางเซิงก็รู้ได้ในทันทีว่านี่เป็นใบหน้าที่ยากจะจดจำได้อย่างแท้จริง เขาถึงขนาดลืมไปว่าใบหน้านี้ช่างคล้ายกับใบหน้าที่เขาเคยเห็นในเมืองสวินหยาง

“ต่อให้เขาไม่กล้าสังหารข้า การถูกหยามเกียรติก็มิใช่สิ่งที่ข้าต้องการเช่นกัน”

“หากเป็นในอดีต ข้าคงรอดูว่าเจ้าจะใช้วิธีการใดรับมือกับเขาเป็นแน่”

ชายชุดเขียวครามมองไปที่กระบี่ในมือซ้ายของเฉินฉางเซิง เห็นได้ชัดว่าเขามั่นใจว่าเฉินฉางเซิงมีลูกไม้บางอย่างซ่อนเอาไว้

“เหตุใดวันนี้ท่านจึงออกมาช่วยเหลือข้าอย่างรวดเร็ว”

“ข้าไม่อาจปล่อยให้เกิดเรื่องอันใดกับเจ้าได้”

“เพราะเหตุใด”

ชายชุดเขียวครามมองไปที่ดวงตาของเขาและกล่าวอย่างจริงจัง “เพราะว่าเจ้าคือศิษย์ของพี่ใหญ่”

เฉินฉางเซิงมองจ้องกลับไปอย่างเหม่อลอยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเข้าใจว่าพี่ใหญ่ที่พูดถึงคือใคร เขาส่ายหน้าปฏิเสธ “ข้าไม่ใช่”

“เจ้าคือศิษย์ของพี่ใหญ่” ชายชุดเขียวครามไม่สนใจการปฏิเสธของเขาและประกาศ “ดังนั้นเจ้าก็คือศิษย์ของพี่ใหญ่”

เฉินฉางเซิงรู้สึกอับจนหนทางและแย้งว่า “ต่อให้ผู้อาวุโสซูหลีสอนเพลงกระบี่แก่ข้า ก็ไม่มีเหตุผลให้คนเช่นท่านมาสนใจกับความเป็นตายของข้า”

“บุตรชายต้องชดใช้หนี้ของบิดา เช่นเดียวกับที่ศิษย์ต้องชดใช้แทนอาจารย์”

ชายชุดเขียวครามกล่าวอย่างจริงจัง “เขาหนีไปแล้ว ดังนั้นเจ้าก็ต้องจ่ายหนี้แทนเขา ข้าจึงไม่อาจปล่อยให้เจ้าตายได้”

เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจและถามกลับไป “หนี้อะไร”

ชายชุดเขียวครามตอบ “ก่อนหน้านี้ เขานำพวกเราเข้าสู่อาชีพนี้ แต่แล้วเขาก็จากไป ในตอนนี้ เขากลับจากไปไกลกว่าเก่า ดังนั้นมีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะกลับมาและเป็นผู้นำของพวกเราต่อไป”

เฉินฉางเซิงยืนงงอยู่ครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ข้าจำได้ว่าในหมู่พวกท่านมีอันดับสองอยู่ด้วย”

ชายชุดเขียวครามตอบ “เขาออกไปตามพี่ใหญ่”

ในตอนนั้นมีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังคนทั้งสอง

“นั่นควรจะเป็นผู้หญิงไม่ใช่หรือ”

คนที่พูดคือถังซานสือลิ่ว

สีหน้าชายชุดเขียวครามเงื่องหงอยไปบ้าง ดูเหมือนเขาไม่คาดคิดว่าความลับที่นักฆ่าอันดับสองของโลก ที่ว่าผู้นำของเหล่านักฆ่าเป็นหญิงนั้น จะถูกเปิดโปงออกมาด้วยคำพูดประโยคเดียว

ถังซานสือลิ่วกล่าวอย่างพึงพอใจ “นายท่านไม่ต้องใส่ใจข้า และนายท่านก็ไม่จำเป็นต้องชมเชยข้า ข้าเป็นใครกัน”

ชายชุดเขียวครามรีบหันไปหาเฉินฉางเซิงและกล่าว “เขาดูเหมือนคนผู้หนึ่งมาก”

เฉินฉางเซิงได้ยินเช่นนี้มาหลายครั้งแล้ว เขาพยักหน้าอย่างเห็นพ้อง

ชายชุดเขียวครามหันกลับไปหาถังซานสือลิ่วและกล่าว “ข้าไม่ชอบคนผู้นั้น ดังนั้นควรอยู่ให้ห่างจากข้าไว้ ไม่เช่นนั้นข้าเกรงว่าจะไม่อาจห้ามตัวเองไม่ให้สังหารเจ้าได้”

ถังซานสือลิ่วหวาดกลัว พลางคิดในใจ *เจ้าหมอนี่เป็นคนบ้า!*แต่เมื่อเขานึกถึงท่าทีสง่างามที่ชายผู้นี้ใช้กระบวนท่าเดียวบังคับให้เสี่ยวเต๋อต้องจากไป เขาก็ไม่อาจควบคุมตัวเองจากความสงสัยได้ เขาเบียดไหล่เข้าหาเฉินฉางเซิงและกล่าว “อย่าเสียเวลาพูดจาไร้สาระอยู่เลย รีบแนะนำพวกเราเถอะ”

“ถังถังจากเวิ่นสุ่ย” จากนั้นเฉินฉางเซิงก็แนะนำ “นี่คือหลิวชิง”

ชายชุดเขียวครามผู้นี้ก็คือนักฆ่าอันดับสามของโลก หลิวชิง

เมื่อได้ยินชื่อที่แสนธรรมดานี้ ถังซานสือลิ่วก็ตัวแข็งทื่อไป ชื่อนี้ช่างคุ้นหูนัก

ทันใดนั้นเขาก็นึกขึ้นมาได้ และมองไปทางหลิวชิง เขารีบยื่นมือทั้งสองข้างออกไปจับมือหลิวชิงและพูดอย่างกระตือรือร้น “ท่านที่นับถือ โปรดมอบวิธีติดต่อให้ข้าด้วย!”

สิ่งที่มือสังหารหวาดกลัวที่สุดก็คือการถูกผู้อื่นจับมือเอาไว้ และหลิวชิงเองก็ไม่ต่างกัน ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่ชอบถังซานสือลิ่วอยู่แล้ว จึงเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่ยอมให้จับมือ

เฉินฉางเซิงพลันถามขึ้น “ทำไมท่านถึงได้ชอบห่อไหล่”

ตอนที่อยู่ในเมืองสวินหยาง หลิวชิงนั้นเรียกได้ว่าธรรมดาอย่างที่สุด รูปร่างท่าทางนั้นธรรมดายิ่งนัก กระนั้นก็ตาม เขาไม่เคยจงใจห่อไหล่

เป็นที่รู้กันดีว่าการถูกจดจำได้อย่างง่ายดายนั้นเป็นสิ่งที่มือสังหารควรหลีกเลี่ยงมากที่สุด

หลิวชิงตอบ “ข้าเรียนมาจากหวังผ้อ ข้าตระหนักว่าวิธีนี้สามารถชักกระบี่ได้เร็วขึ้น”

เฉินฉางเซิงนึกถึงประกายกระบี่ที่ฉายขึ้นท่ามกลางลมทรายและรู้ว่ากระบี่ของหลิวชิงนั้นเร็วกว่าตอนที่อยู่ในเมืองสวินหยางจริงๆ อย่างน้อยก็สามส่วน

มือสังหารระดับสูงขั้นรวบรวมดวงดาวก็เป็นคนที่น่ากลัวที่สุดในโลกคนหนึ่งอยู่แล้ว หากกระบี่ของเขาเร็วขึ้นอีกสามส่วนจะน่ากลัวเพียงไรกัน

ไม่น่าประหลาดใจที่ยอดฝีมืออันดับห้าบนประกาศเซียวเหยาจะไม่ใช่คู่มือของหลิวชิง แม้ว่าเขาจะไม่ได้ถูกลอบโจมตีก็ตาม

พายุในเมืองสวินหยางนำพาเขา หวังผ้อ หลิวชิง และแม้แต่ซูหลีไปพบกับความเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยปกติแล้วนับเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดี

“จำกระบี่ที่ข้ามอบให้เจ้าได้หรือไม่ เขาหนีไปแล้ว ดังนั้นทางที่ดีเจ้าก็ไม่ควรคิดหนี” หลิวชิงกล่าวเตือนเฉินฉางเซิงอย่างจริงจัง

ถังซานสือลิ่วรับฟังมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ตอนนี้เขาก็อดใจไม่ไหว จึงถามขึ้น “จะให้ว่าที่สังฆราชไปเป็นผู้นำของสมาคมนักฆ่า…เจ้ายังสติดีอยู่หรือเปล่า”

หลิวชิงตัวแข็งทื่อ เขาไม่เคยคิดถึงปัญหานี้มาก่อนเลย จนถึงตอนนี้ที่ถังซานสือลิ่วถามเขาว่ายังสติดีอยู่หรือไม่ เขาถึงได้สติขึ้นมาในที่สุด

ใช่แล้ว ใครจะทิ้งตำแหน่งผู้อาวุโสของสำนักกระบี่หลีซานไปเป็นหัวหน้าสมาคมนักฆ่า

แล้วใครจะทิ้งตำแหน่งสังฆราชและไปเป็นหัวหน้ามือสังหาร

ช่างเป็นความคิดที่ฝันเฟื่องนัก

กลายเป็นว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาเขาใช้ชีวิตอยู่ในความฝัน

สีหน้าของหลิวชิงดูเหมือนจะมืดมัวลง เขาก้มหน้า หันหลังกลับและเดินขึ้นไปตามทางภูเขา

เขาไม่พูดอะไรกับเฉินฉางเซิงแม้แต่คำเดียว

ด้วยเหตุผลบางอย่าง แผ่นหลังของเขาดูดอ้างว้างเปล่าเปลี่ยวในยามที่เดินขึ้นไปตามทาง แผ่รัศมีแห่งความโศกเศร้า

“เขาเป็นอะไรไป”

ถังซานสือลิ่วมองดูหลิวชิงเดินไกลออกไปและตะโกน “ข้าบอกว่า…ท่านยังไม่ได้ให้วิธีการติดต่อกับข้าเลย ท่านที่นับถือ!”

เฉินฉางเซิงถาม “บอกข้าที…ทำไมเขาถึงได้ปรากฏตัวบนเขาหนานซาน”

ถังซานสือลิ่วละสายตาจากมาอย่างไม่เต็มใจและกล่าวเสียงดุ “เจ้าปัญญาอ่อน หากเขามายังหานซานในเวลานี้ก็ต้องหมายความว่าเขามายังงานประชุมใหญ่จู่สือ”

ในโลกปัจจุบันนี้ น่าจะมีเพียงแค่เขากับมังกรดำเท่านั้นที่ใช้คำว่า “ปัญญาอ่อน” มาเรียกเฉินฉางเซิง

“เจ้าสิปัญญาอ่อน” เสียงของเจ๋อซิ่วดังมาจากด้านข้าง “มือสังหารที่มาร่วมงานประชุมใหญ่จู่สือก็เท่ากับมาหาที่ตาย”