ตอนที่ 1242 ถอยจากท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์ โดย Ink Stone_Fantasy
ท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์ อาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์
“อย่าเบียดกัน! เข้าแถว!”
“สัมภาระโยนทิ้งไป ห้ามเอาสัมภาระขึ้นเรื่อ! ราชาแห่งเกรย์คาสเซิลทรงเตรียมอาหารและเสื้อผ้าเอาไว้ให้พวกเจ้าแล้ว ถ้าอยากจะมีชีวิตรอดก็โยนพวกมันทิ้งลงไปในน้ำซะ!”
“เดินเร็วๆ หน่อย! เด็กกับผู้หญิงก่อน!”
พื้นที่ตรงท่าเรือเต็มไปด้วยผู้คน ชาวบ้านที่อพยพต่างแห่กันไปขึ้นเรือเดินทะเลที่กำลังชักใบเรือขึ้น ถ้าไม่เป็นเพราะกองทัพที่หนึ่งกับกองทหารของเจ้าเมืองคอยใช้ดาบในการรักษาระเบียบเอาไว้แล้วล่ะก็ เกรงว่าพวกชาวบ้านคงได้เหยียบกันตายแน่
“หัวหน้า เรือ..เหมือนจะมีไม่พอนะ” ทหารที่รับผิดชอบในการรักษาความปลอดภัยหันหน้ามาพูดอย่างเป็นกังวล ในเวลานี้เรือที่ขนผู้อพยพค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากฝั่ง
“กล้ามาถึงท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์ในเวลานี้ก็ถือว่ากล้าหาญมากแล้ว” สายตาลุงแซงจ้องอยู่ที่ด้านหน้าปากกระบอกปืนตลอดเวลา ในระยะเวลาแค่ 3 – 4 วัน หมอกแดงได้ลอยข้ามยอดเขาสิ้นวิถีมาแล้ว หมอกที่เป็นเหมือนเลือดสดๆ ปกคลุมไปทั่วทั้งขอบฟ้า ดูแล้วน่ากลัวเป็นอย่างมาก
“หัวหน้า…เขาจะเหลือที่เอาไว้ให้เราใช่ไหม?” ทหารคนนั้นพูดงึมงำขึ้นมา
“ถ้าเป็นเนลล่ะก็” ลุงแซงยิ้มขึ้นมา “ต่อให้เขาไม่ขึ้นเรือ เขาก็ต้องเหลือที่เอาไว้ให้พวกเราแน่”
เมื่อครึ่งเดือนก่อนหน้านี้ พวกเราได้รับคำสั่งให้เดินทางออกจากที่ราบสูงเฮอร์มีส แล้วมุ่งหน้าไปยังเหมืองที่อยู่เหนือสุดของอีเทอร์นอลวินเทอร์เพื่อรับผิดชอบภารกิจเคลื่อนย้ายประชากร เมื่อเทียบกับการรักษาเมืองศักดิ์สิทธิ์แล้ว เนลเหมือนจะสบายใจขึ้นทันทีที่ได้รับคำสั่งใหม่ ตลอดทั้งทางเขาพูดเยอะขึ้นกว่าเดิม ทันทีที่มาถึงท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์ก็เริ่มทำงานทันที
หน่วยของเขาซึ่งมีจำนวนอยู่ร้อยกว่าคนนั้นไม่ใช่คนเกรย์คาสเซิลกลุ่มแรกที่มาถึงอีเทอร์นอลวินเทอร์ พวกเพื่อนทหารส่วนใหญ่ของพวกเขานั้นกระจายตัวเข้าไปยังเมืองต่างๆ ของอีเทอร์นอลวินเทอร์เพื่ออพยพอยู่ก่อนแล้ว การอพยพในตอนแรกนั้นไม่ค่อยราบรื่นเท่าไร จนกระทั่งพระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นมา สถานการณ์ต่างๆ ถึงได้ดีขึ้น — นี่ต้องยกความดีความชอบให้กับช่วงเวลาก่อนหน้านี้ที่มีข่าวลือตามเมืองต่างๆ ว่าพระจันทร์สีแดงนั้นเป็นสัญลักษณ์ของวันสิ้นโลก ด้วยเหตุนี้ในวันที่พระจันทร์สีแดงปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าจริงๆ ชาวบ้านจำนวนไม่น้อยจึงตกใจกลัวและวิ่งมาหากองทัพที่หนึ่งเพื่อขออพยพเอง
เสียดายที่ไม่นานสถานการณ์ก็แย่ลง
หลังผ่านไปแค่ 4 – 5 แนวหน้าก็ส่งข่าวมาว่าพบเห็นหมอกแดง
จากนั้นในวันเดียวกัน กองทัพที่หนึ่งก็ปะทะเข้ากับปีศาจ
ใครแพ้ใครชนะไม่อาจรู้ได้ แต่ว่าสุดท้ายทุกหน่วยต่างก็เริ่มถอนกำลังถอยลงมาทางทิศใต้ หน่วยของเนลเองก็ได้รับคำสั่งให้ถอยมายังท่าเรือแห่งต่อไป
แต่ในช่วงหลายวันมานี้ จำนวนประชากรที่ต้องการอพยพกลับมีจำนวนเพิ่มขึ้นหลายเท่า ทุกคนจะมีประชากรจำนวนหลายหมื่นคนเดินทางมาที่ท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์และขอร้องให้เรือพาพวกเขาไปด้วย เนลย่อมไม่อาจมองดูอยู่เฉยๆ ด้านหนังเขาก็สร้างแนวป้องกันอย่างง่ายๆ ขึ้นมา อีกด่านก็ให้นกส่งจดหมายไปขอเรือมาเพื่อ นี่ทำให้แผนการถอยร่นไปทางใต้ต้องเลื่อนออกไปหลายวัน
แต่ลุงแซงรู้ว่าทันทีที่ข่าวแพร่กระจายออกไป เรือที่กล้ามาทางทิศเหนือจะต้องมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ แน่นอน พ่อค้าชาวฟยอร์ดที่รับเงินค่าจ้างฝ่าบาทมาพวกนี้ไม่มีทางที่จะเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงแน่ บางทีพวกเขาอาจจะยอมออกมาจากท่า แต่ไม่มีทางที่จะมาถึงที่นี่แน่….เมื่อดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เกรงว่านี้คงจะเป็นเรือกลุ่มสุดท้ายแล้ว
โชคดีที่เนลเองก็น่าจะรู้ถึงจุดนี้ดี เนลจึงสั่งให้พวกเขาฝั่งระเบิดเอาไว้ใต้ดินตั้งแต่เช้า หนึ่งเพื่อใช้ป้องกันศัตรูในเวลาจำเป็น สองก็เพื่อทำลายอาวุธที่ไม่สามารถพกติดตัวไปด้วยได้ เพื่อที่อาวุธเหล่านั้นจะได้ไม่ตกไปอยู่ในมือปีศาจ
“หัวหน้า ข้างหน้ามีควันลอยขึ้นมา!” มีคนตะโกน
“มาอีกแล้วเหรอ…” ลุงแซงกลืนน้ำลาย “ทุกคนประจำตำแหน่ง!”
เมื่ออยู่ภายใต้สถานการณ์ที่มีคนไม่เพียงพอและไม่มีแม่มดช่วยสอดแนม วิธีส่งข่าวแบบโบราณจึงถูกนำมาใช้อีกครั้ง
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ปีศาจมาเยี่ยมเยียนท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์ ตอนนี้ในป่านอกเมืองยังมีซากศพของปีศาจนอนกองอยู่ เมื่อดูจากคู่มือที่เขาได้รับแจกมาแล้ว พวกมันน่าจะเป็นปีศาจคุ้มคลั่ง ถึงแม้ศัตรูจะมาแบบกะปริบกะปรอย ระดับชั้นของของปีศาจก็ไม่ได้สูง แต่นี่ก็หมายความว่าพวกมันปรากฏตัวขึ้นในดินแดนของอาณาจักรอีเทอร์นอลวินเทอร์แล้วจริงๆ แถมยังค่อยๆ คืบใกล้เข้ามาตามหมอกแดงที่ขยายตัวขึ้นเรื่อยๆ ด้วย
หลังจบศึกที่สันเขาโคลด์วินด์พวกเขาก็ได้รับคำสั่งให้รักษาการณ์อยู่ที่เมืองศักดิสิทธิ์เฮอร์มีสมาโดยตลอด ทีมของเนลไม่ได้เข้าไปร่วมรบในศึกทาคิลา ถึงแม้ลุงแซงจะได้ยินข่าวลือเกี่ยวกับปีศาจมาจำนวนไม่น้อย แต่นี่ก็เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้สู้กับปีศาจจริงๆ และข้อสรุปที่ได้มาจากสู้กับพวกมันในหลายวันนี้ทำให้เขารู้ว่าขอเพียงไม่ปล่อยให้ปีศาจเข้ามาถึงระยะน้อยกว่า 200 เมตร พวกมันก็ถือว่าจัดการได้ง่ายกว่าทหารอาญาสิทธิ์
ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่รู้สึกกังวลเมื่อเห็นสัญญาณควันไฟลอยขึ้นมา ในทางกลับกัน เขากลับสนใจแผนการหลังจากนี้ของเนลมากกว่า เห็นได้ชัดว่าด้วยเรือที่เหลืออีกสองลำนั้นไม่มีทางที่จะพาผู้อพยพทั้งหมดไปจากที่นี่ได้แน่ แล้วคนที่เหลือเหล่านั้น หัวหน้าจะจัดการอย่างไร? จะปล่อยพวกเขาไปตามยถากรรม หรือว่าพาพวกเขาลัดเลาะชายฝั่งหนีไปทางใต้?
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ปีศาจคุ้มคลั่งตัวหนึ่งได้ปรากฏตัวขึ้นด้านนอกรั้วลวดหนามที่อยู่ตรงเขตถนน
ลุงแซงขมวดคิ้วขึ้นมา
ท่าเรือนอร์ธเทินโมสต์นั้นไม่มีกำแพงเมืองเหมือนกับเมืองท่าส่วนใหญ่ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงตั้งแนวป้องกันเอาไว้บนถนนสายหลังของท่าเรือ นอกจากผู้อพยพแล้ว ชาวบ้านที่เหลือล้วนแต่ถูกกวาดต้อนออกมาจนหมด การที่ปีศาจจะถูกดึงดูดมาที่นี่จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร แต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกใจก็คือทหารที่รับผิดชอบในการเฝ้าสังเกตการณ์ยังคงไม่กลับมา ตามหลักแล้ว พวกเขาต้องถอยกลับมาหลังจากจุดไฟสัญญาณ พวกเขาควรจะกลับมาถึงแนวป้องกันก่อนศัตรูถึงจะถูก
ไม่นาน ปีศาจคุ้มคลั่งอีกหลายตัวก็ปรากฏตัวขึ้นตรงหัวมุมถนน และตรงมาที่ท่าเรือ
“ยิงได้!”
หน่วยปืนกลสองหน่วยสาดกระสุนไปที่ปลายสุดของถนนพร้อมๆ กัน แต่ศัตรูก็ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว พวกมันใช้อาคารบ้านเรือนที่อยู่รอบๆ เป็นเกราะกำบัง หลังฝุ่นควันสลายตัวไป บนรั้วลวดหนามก็มีศพของปีศาจห้อยอยู่สองตัว
ไม่นาน บนหลังคาก็มีเสียงปืนดังขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าศัตรูที่คิดจะอ้อมมาจากทางด้านบนเจอเข้ากับหน่วยซุ่มยิงที่เฝ้ารออยู่เป็นเวลานานแล้ว
นี่คือวิธีการแบ่งทีมเพื่อปกป้องท่าเรือ เมื่อคำนึงถึงว่าทัศนวิสัยในการทำศึกในเมืองนั้นไม่ดีเหมือนกับการทำศึกในที่โล่ง ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่เขาทำเยอะที่สุดก็คือจัดวางสิ่งกีดขวาง ไม่ว่าจะเป็นการเอาขยะมากองก็ดี หรือรื้อบ้านเรือนลงมาก็ดี ซอยที่มุ่งตรงมาที่ท่าเรือจำนวน 10 ซอยถูกปิดตายเอาไว้ 9 ซอย สิ่งกีดขวางเหล่านี้ไม่สามารถจำกัดการเคลื่อนไหวของศัตรูได้อย่างเด็ดขาด แต่มันกลับช่วยยื้อเวลาได้ ถ้าอีกฝ่ายไม่อยากเสียเวลาอยู่กับการรื้อถอนสิ่งกีดขวาง อย่างนั้นพวกมันก็ต้องลุยฝ่าห่ากระสุนเข้ามา
จำนวนของศัตรูดูแล้วเหมือนไม่เยอะ เมื่อวิเคราะห์ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ โอกาสที่พวกมันจะบุกเข้ามาถึงด้านหน้าแนวป้องกันแล้วปาหอกนั้นมีไม่สูงเท่าไร ในเวลาแบบนี้พวกมันควรเลือกที่จะถอยถึงจะถูก แต่ปีศาจยังคงพยายามหาที่หลบซ่อน เหมือนพวกมันอยากจะผลาญกระสุนของกองทัพที่หนึ่งอย่างไรอย่างนั้น
ในด้านความดื้อดึงที่จะต่อสู้ ศัตรูกลุ่มนี้เรียกได้ว่ามีความทรหดกว่ามาก…เหมือนว่าพวกมันเคยเห็นห่ากระสุนแบบนี้มาแล้ว
ลุงแซงหัวเราะหึหึออกมา ถ้าหากทหารอาญาสิทธิ์ทำแบบพวกปีศาจเป็น อย่างนั้นพวกเขาคงจะปวดหัวไม่น้อย เสียดายที่อาวุธที่กองทัพที่หนึ่งมีอยู่ในตอนนี้นั้นครบครันกว่าเมื่อก่อนนี้มาก แค่หน่วยเล็กๆ ของพวกเขาก็มีปืนกลถึง 4 กระบอกแล้ว กระสุนที่มีก็พอจะยิงไปได้ทั้งวันอย่างสบายๆ ถ้ายังสู้กันแบบนี้ต่อไป สุดท้ายศัตรูก็ต้องตายอยู่ที่นี่
แต่ทันใดนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงแปลกๆ ขึ้น!
เขาได้ยินเสียงดังสนั่นขึ้นมา บ้านเรือนที่ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของท่าเรือฝุ่นควันลอยฟุ้งขึ้นมา สัตวประหลาดขนาดยักษ์ที่หุ้มเกราะทั้งตัวชนกำแพงหินจนแตก ก่อนจะปีนขึ้นไปบนซากปรักหักพัง
“ปีศาจแมงมุม?” ทหารนายหนึ่งอุทานตกใจออกมา
“รีบเตรียมกระสุนระเบิดต่อต้านปีศาจ!”
หัวใจลุงแซงหล่นวูบทันที จริงอยู่ที่ในคู่มือมีการพูดถึงปีศาจที่คล้ายๆ แมงมุมอย่างนี้อยู่ แต่เมื่อดูจากภายนอกแล้ว ปีศาจที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าพวกเขาตอนนี้ดูแล้วไม่เหมือนกับปีศาจแมงมุมที่ผ่านๆ มา
หินสีดำที่ห่อหุ้มอยู่รอบๆ ขาของพวกมันดูเหมือนจะหนาขึ้นกว่าเดิมมาก แทบจะปกคลุมร่างกายกว่าครึ่งของมัน
…………………………………………………………….