วันนี้เขายังต้องมาขายขี้หน้าอีกครั้ง สีหน้าของราชเลขาหลินโกรธกริ้ว ชี้นิ้วไปที่หลินหันเยียนด้วยความโกรธ “ดี ดี ดี นี่คือลูกสาวที่ข้าเลี้ยงมาหลายปี เพื่อเจ้าคนที่ไม่ได้เรื่องคนหนึ่ง แม้แต่พ่อแม่เจ้าก็ไม่ต้องการแล้ว ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ต่อจากนี้ไป เจ้าไม่ใช่ลูกสาวตระกูลหลินของข้าอีกต่อไป หลังจากนี้จะเป็นจะตายก็ไม่เกี่ยวกับพวกข้า”
ฮูหยินหลินตกใจแทบตาย ขอร้องแทนหลินหันเยียน “ท่านพี่ พวกเรามีลูกสาวเพียงคนเดียวนะเจ้าคะ”
ราชเลขาโกรธจนแทบจะเสียสติแล้ว คำพูดของฮูหยินหลินฟังขึ้นที่ไหนกัน ไม่มองหลินหันเยียนแม้แต่น้อย หันหลังเดินกลับไป
ฮูหยินหลินไม่ขยับ หลินจ้งก็ไม่ขยับ
ครานี้หลิวจยาเจิ้งไม่ยอม หลังจากยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดจมูกที่ยังมีเลือดไหลอยู่ แล้วก็รีบเดินไป กางมือแขนข้างออก ยืนขวางอยู่ตรงหน้าราชเลขาหลิน “เจ้าห้ามไป”
หลิวจยาเจิ้งรูปร่างหน้าตาดี ผิวขาว คิ้วเข้มตาโต แต่ตอนนี้โดนชนจมูกหักแล้ว เลือดไหลไม่หยุด โดยเฉพาะที่เขาเพิ่งเช็ดไปโดยไม่รู้ตัว เช็ดจนบนหน้ามีแต่คราบเลือด สภาพน่ากลัวมาก ราชเลขามองเขาด้วยความรังเกียจ ตำหนิเสียงแข็ง “ไสหัวไปให้พ้น”
“ข้าไม่ไป” หลิวจยาเจิ้งยืดตัวตรง ยังคงขวางอยู่ตรงหน้าราชเลขาหลิน “ในตอนแรกพวกเจ้ารับปากกับข้าแล้วว่า หากข้าหมั้นกับลูกสาวของพวกเจ้าแล้ว จะให้ตำแหน่งที่ดีกับข้าแน่นอน หากวันนี้ตัดความสัมพันธ์กับนางแล้ว ทำจะอย่างไรกับตำแหน่งของข้าล่ะ หากเจ้าไม่จัดการหาทางออกให้แก่เรื่องนี้ วันนี้เจ้าก็ห้ามไปไหน”
นี่น่ะหรือชายหนุ่มผู้ที่มีความสามารถ มีมารยาท สุภาพและอ่อนน้อมคนนั้น ชัดเจนแล้วว่านี่เป็นพวกอันธพาล ราชเลขาหลินรู้สึกว่าตัวเองมองคนผิดไปเป็นครั้งแรกในชีวิต อยู่จวนเดียวกันมาตั้งนาน คาดไม่ถึงว่าจะมองไม่ออกว่าเขาเป็นคนไร้เหตุผล ยังยอมให้ลูกสาวของตัวเองหมั้นกับคนเช่นนี้
เขาหัวเราะเยาะ ชี้กลับไปโดยไม่หันหลัง “ลูกเนรคุณนั่นถูกข้าไล่ออกจากบ้านไปแล้ว เจ้าคิดว่าข้ายังจะช่วยเจ้างั้นหรือ”
“ข้าไม่สน” หลิวจยาเจิ้งตะคอกเสียงดังขึ้น “ในตอนแรกพวกใช้เงื่อนไขนี้ล่อข้ามา วันนี้ลูกสาวเจ้าทำเรื่องระยำเช่นนี้ออกไป ข้ายังไม่คิดเล็กคิดน้อย พวกเจ้ายังคิดจะผลักข้าออกไปอีก ข้าขอบอกเลยวว่า ข้าไม่ไป” พูดจบแล้ว หายใจเข้าลึกๆ ข่มขู่เขา “ตอนนี้ข้าเป็นคนที่ทำคุณงามความดีมีชื่อเสียงแล้ว ถ้าหากว่าเจ้าพูดจากลับกลอก ไม่สนใจข้า ข้าก็จะไปตีกลองฟ้องร้อง แม้แต่ตำแหน่งราชเลขาก็จะรักษาไว้ไม่ได้”
ราชเลขาที่สูงส่งถูกชาวบ้านธรรมดาขมขู่ เรื่องเช่นนี้นับว่าเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่มีการก่อตั้งรัฐอู่มา ราชเลขาหลินโกรธมาก ไม่โมโหแต่กลับหัวเราะ พยักหน้า “ดีๆ เจ้าไปฟ้องร้องเลย ถึงแม้ว่าข้าจะต้องเสียตำแหน่งนี้ไป ข้าก็จะเอาเรื่องเจ้าให้ถึงที่สุด”
หลิวจยาเจิ้งข่มขู่เขาไม่ได้ แต่กลับตกใจเล็กน้อย จากนั้นกลอกตาไปมา ทรุดนั่งลงกับพื้น อย่างกับสตรีปากตลาดที่ไร้เหตุผล กอดขาของราชเลขาหลินไว้ “หากวันนี้เจ้าไม่สะสางเรื่องนี้กับข้า ก็ห้ามไปที่ไหนเด็ดขาด”
อย่าคิดว่าหลิวจยาเจิ้งไม่รู้วิชาต่อสู้แล้วจะอ่อนแอ กำลังเขากลับเยอะมาก ราชเลขาหลินลากขาสองสามครั้ง คาดไม่ถึงว่าจะสลัดมือของเขาไม่หลุด
แต่ว่านี่เป็นเหตุการณ์ขายหน้าของราชเลขาหลินที่ยากจะเห็นได้ในรอบพันปี คนที่หลบดูอยู่ในบ้านอย่างเงียบๆ ก็ไม่หลบอีกแล้ว ทยอยกันเดินออกมา ยืนอยู่ตรงประตูบ้านตัวเอง ชี้มายังด้านนี้ ต่างก็ออกเสียงวิพากษ์วิจารณ์
ตั้งแต่เข้ารับราชกาลจนเป็นราชเลขามาหลายสิบปี ราชเลขาหลินไม่เคยขายหน้าเท่านี้มาก่อน รู้สึกว่าวันนี้ขายหน้าหมดแล้ว เขาโกรธจนหน้าแดงก่ำ โน้มตัวลงโดยไม่คำนึงถึงอายุตัวเอง พยายามจะปัดมือของหลิวจยาเจิ้งออกไป
แต่หลิวจยาเจิ้งกลับกอดแน่นขึ้นไปอีก ยังตะโกนอย่างสุดชีวิตว่า “ช่วยด้วย จะถูกฆ่าแล้ว”
ราชเลขาหลินหัวร้อน ยืดตัวขึ้น ยกเท้าขว้าขึ้นกระทืบลงไปที่หัวของหลิวจยาเจิ้ง ในหัวตอนนี้คิดเพียงอย่างเดียวคือกระทืบเขาให้ตาย ปัญหาจะได้จบๆ ตัวเองจะได้ไม่ขายหน้าอีกต่อไป
“ท่านพ่อ อย่า” หลินจ้งรีบตะโกนออกมา อยากจะขวาง แต่ว่าสายไปแล้ว ดูจากที่เส้นเลือดของราชเลขาหลินปูดขึ้นมา ดวงตาที่เบิกโตแล้ว ครั้งนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ตามเขาจะกระทืบหลิวจยาเจิ้งให้ตาย
คนที่ออกมาดูต่างก็พากันอุทาน บางคนกลัวจนปิดตาแล้ว
แรงกดดันมหาศาลโถมใส่ ราชเลขาหลินประคองร่างกายไม่อยู่ โซเซจนล้มลงไปบนพื้น ทับอยู่บนตัวของหลิวจยาเจิ้งพอดี ได้ยินเพียง กึก ตามมาด้วยเสียงร้อง โอ้ย หลังสิ้นเสียงทั้งสอง หลิวจยาเจิ้งพยายามดิ้นอยู่สองสามครั้ง แล้วก็ไม่ขยับอีก
ราชเลขาหลินนอนตกใจอยู่บนตัวของหลิวจยาเจิ้ง
หลินจ้งและฮูหยินหลินวิ่งมาพร้อมกัน ตะโกน “ท่านพี่!” “ท่านพ่อ!” พยุงราชเลขาหลินซ้ายคนขวาคน
การล้มลงไปครั้งนี้ ราชเลขาหลินก็ได้สติคืนกลับมาแล้ว คิดถึงการกระทำเมื่อสักครู่ของตัวเอง ตกใจกลัวจนเหงื่อแตก หากตัวเองกระทืบหลิวจยาเจิ้งให้ตายภายใต้สายตาผู้คนจริงๆ หัวของตัวเองก็รักษาไว้ไม่อยู่แล้ว เขาหันกลับมามองไปยังประตูทางเข้าของจวนอ๋องฉี เห็นท่านอ๋องฉีและหวงฝู่อี้เซวียนทั้งคู่เอามือไขว้หลัง มองมาด้านนี้ด้วยท่าทางปกติ ดูไม่ออกว่าใครยื่นมือมาช่วยเขาไว้
ทำอะไรไม่ถูก ชำเลืองมองหลินหันเยียนที่ยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้น แต่หน้าแต่สีหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เขาตัดใจหันกลับไป กัดฟันสั่ง “พวกเราไป”
ครั้งนี้ไม่มีใครคัดค้าน ฮูหยินหลินและหลินจ้งพยุงเขาขนาบซ้ายขวาเดินไปยังรถม้า และไม่มีใครสนใจหลิวจยาเจิ้งที่สลบไป นอนนิ่งอยู่บนพื้น
ทั้งสามคนเพิ่งเดินมาถึงข้างรถม้า โจวอันพาคนคนหนึ่งเหาะมาอย่างรวดเร็ว เมื่อถึงประตูทางเข้าจวนอ๋อง ก็ปล่อยคนที่อยู่ในมือลง คนผู้นั้นยืนเซ เกือบจะล้มลงบนพื้น
โจวอันยื่นมือไปพยุงเขา
ชายคนนั้นตกใจมาก ตบหน้าอกของตัวเอง มองไปรอบๆ
ผู้คนมองเห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดแล้ว ถึงกับตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าชายคนนี้จะเหมือนหลิวจยาเจิ้งทุกประการ
ราชเลขาหลินและหลินจ้งไม่ได้หันกลับไปมอง ไม่เห็นหน้าของชายคนนั้น ฮูหยินหลินกลับอดทนต่อความอยากรู้ไม่ได้ จึงหันกลับไปมอง ตกใจจนเสียงเปลี่ยน “ท่านพี่”
ราชเลขาหลินได้ยินเสียงของนาง ขมวดคิ้วและหันกลับไป เพียงมองใบหน้าของชายคนนั้นอย่างไม่ตั้งใจ ก็นิ่งอึ้งไป
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลินจ้ง ตกใจจนอ้าปากค้าง แล้วหุบไม่ลงอีก
หลังจากชายคนนั้นได้ยินเสียงของฮูหยินหลิน ก็มองมาด้านนี้ พอมองชัดว่านั่นคือคนของจวนราชเลขาหลิน ก็อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นก้มศีรษะด้วยความรู้สึกผิด
ราชเลขาหลินกำลังจะขึ้นรถม้าแล้ว หลังจากได้สติ ผลักฮูหยินหลินและหลินจ้งออกไป หันหลังกลับเดินไปตรงหน้าชายคนนั้น จับคางเขาไว้ ให้เขามองตนเองตรงๆ ตะคอกถาม “บอกมา ว่าเจ้าเป็นใคร”
ชายคนนั้นสลัดไม่หลุด หลบสายตา อ้ำๆ อึ้งๆ ไม่พูดอะไรออกมา
หลินจ้งเดินไปตรงหน้าหลิวจยาเจิ้งที่หมดสติไป ดึงผมของเขาไว้ ดึงหัวของเขาขึ้นมา เพื่อให้ชายคนนั้นมองหน้าหลิวจยาเจิ้งได้อย่างชัดเจน
“น้องเล็ก”
ชายคนนั้นเรียกด้วยความตกใจ สลัดราชเลขาหลินออกโดยไม่สนอะไร วิ่งไปตรงหน้าหลิวจยาเจิ้ง มองไปที่ใบหน้าที่แทบจำไม่ได้ของเขา ถามด้วยความตกใจ “นี่เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
หลิวจยาเจิ้งหมดสติอยู่ ตอบคำถามไม่ได้
หัวของราชเลขาหลินส่งเสียงดังก้อง เรื่องมาถึงตรงนี้ มีความคิดหนึ่งผุดเข้ามาในหัวของเขา แต่เขาไม่อยากจะเชื่อ ตัวเองเป็นราชเลขา มีอำนาจชี้เป็นชี้ตาย ไม่มีใครกล้าใช้เล่ห์กลกับตนเอง โดยเฉพาะหลิวจยาเจิ้งยังเป็นคนของตระกูลแม่ยายตนเอง แต่ว่าในตอนแรกหัวหน้าตระกูลแม่ยายเป็นคนรับประกัน บอกว่าหลิวจยาเจิ้งเป็นเด็กกำพร้า ไม่มีพ่อแม่ ตั้งแต่เล็กโตมาจากความช่วยเหลือของคนอื่น อบอุ่นและสุภาพ กตัญญูรู้คุณ รู้จักประเมินสถานการณ์ ดังนั้นพวกเขาถึงเลือกเขามาเป็นสามีของหลินหันเยียน แล้วนี่จะมีคนสองคนที่เหมือนกันได้อย่างไร
ฮูหยินหลินก็โซเซ ถ้าไม่ใช่เพราะตาไวและมือของหลินจ้งเร็วจนพยุงนางไว้ทัน คาดว่านางคงจะล้มลงบนพื้นไปแล้ว
หลินจ้งยังไปไม่ถึงตรงนั้น ในหัวนึกย้อนถึงคำพูดของหวงฝู่อี้เซวียนที่เคยเตือนเขา ‘คุณชายหลิวคนนั้นเหมือนจะมีปัญหาบางอย่าง เจ้าระวังไว้หน่อยเถอะ’ ตอนนี้เขาเพิ่งเข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ที่แท้มีหลิวจยาเจิ้งสองคน ในใจทั้งโกรธทั้งเกลียด โกรธที่ตอนแรกหวงฝู่อี้เซวียนไม่พูดให้ชัดเจน เกลียดที่ตัวเองไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ ไม่ได้สอบสวนให้ละเอียด วันนี้จึงทำให้จวนราชเลขาต้องขายขี้หน้าต่อหน้าผู้คน
ชายคนนั้นซวนเซอยู่สักพัก หลิวจยาเจิ้งตื่นขึ้นมาอย่างมึนงง พอเห็นว่าคนตรงหน้าเป็นใครอย่าชัดแล้ว ผลักเขาออกไป “เจ้าไม่ได้กลับบ้านไปตั้งนานแล้วหรือ ทำไมเจ้ายังอยู่ที่นี่”
ชายคนนั้นยังไม่ได้ตอบ ขณะเดียวกันองครักษ์ลับหลายคนก็พาคนกลับมา หลังจากที่ถึงหน้าประตูทางเข้าแล้ว จึงโยนคนลงบนพื้น
คนที่ถูกโยนจนมึนหัว ลุกขึ้นแล้วส่ายหัวสองสามครั้ง จึงมองไปยังรอบๆ เมื่อมองเห็นหลิวจยาเจิ้งก็ทยอยคลานไปหาเขาอย่างรวดเร็ว ตะโกนด้วยความประหลาดใจ “คุณชาย”
หลิวจยาเจิ้งปฏิเสธ “ใครเป็นคุณชายของพวกเจ้า พวกเจ้าจำผิดคนแล้ว” พูดจบก็ชี้ไปที่ชายอีกคน เตือนพวกนั้น “เขาต่างหากที่เป็นคุณชาย”
ข้ารับใช้หลายคนอึ้งไปสักพัก ได้สติกลับมาเร็วมาก ก็เปลี่ยนทิศทางเล็กน้อยทันที คลานไปทางชายคนนั้น “คุณชาย ท่านเป็นอย่างไร ใครรังแกท่าน พวกข้าจะแก้แค้นแทนท่านเอง”
ชายคนนั้นอ้าปากจะโต้แย้ง เหมือนจะคิดอะไรออก ปิดปากอีกครั้ง ไม่ได้พูด ปล่อยให้บ่าวใช้คลานมาตรงหน้าของตัวเอง
คนที่ปลูกเรือนอาศัยอยู่บนถนนเส้นเดียวกับจวนอ๋องฉีได้ล้วนแต่เป็นขุนนางชั้นผู้ใหญ่ ล้วนแต่เป็นคนที่อยู่ในราชสำนักมาทั้งชีวิตแล้ว จากท่าทางของหลายๆ คน เดาอะไรบางอย่างได้ลางๆ ตั้งตารอดูเรื่องน่าสนุก
หลินหันเยียนก็ตะลึง ปิดปากตกใจจนพูดไม่ออก
หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเพิ่งจะรู้ว่า ทั้งสองคนนี้เป็นฝาแฝดกัน ร่วมมือกันมาหลอกคนบ้านราชเลขาหลิน มิน่าโจวอันมักจะรู้สึกว่าหลิวจยาเจิ้งไม่ปกติ ที่แท้คนหนึ่งเป็นบัณฑิตที่สง่างาม แต่อีกคนหนึ่งกลับเป็นพวกอันธพาล
หน้าประตูจวนอ๋องฉีเงียบอย่างแปลกประหลาด
สีหน้าตื่นกลัวของราชเลขาหลินเปลี่ยนไปไม่หยุด สีหน้าพอดูได้เพียงครู่เดียว สุดท้ายโกรธจนเหงื่อออกแล้วเดินไปตรงหน้าชายคนนั้น ระงับความโกรธไว้ไม่อยู่ เหมือนโทสะมาถึงปากปล่องภูเขาไฟแล้ว และกำลังจะปะทุออกมาทันที “ถ้าวันนี้เจ้าไม่บอกมาว่านี่มันเกิดอะไรขึ้น ข้าจะฟันเจ้าด้วยมือของข้าเอง”
ชายคนนั้นยังไม่ตอบ หลิวจยาเจิ้งคลานไปถึงตรงหน้าราชเลขาหลิน “ท่านพ่อตาโปรดตรวจสอบให้แน่ชัดด้วยเถิด ข้าไม่รู้จักเขา”