ราชเลขาหลินถีบไปที่ยอดหน้าของหลิวจยาเจิ้ง

 

 

หลิวจยาเจิ้งกระอักเลือดออกมา

 

 

“น้องเล็ก” คนนั้นอุทาน แล้วคลานไปตรงหน้าของเขา

 

 

“คุณชาย” บ่าวรับใช้เหล่านี่ต่างก็ตกใจจนเสียงหลง และก็รีบคลานไปปยังตรงหน้าหลิวจยาเจิ้ง

 

 

หลิวจยาเจิ้งรู้สึกแค่ว่ามีเสียงดังในหัว หน้ามืด พยายามสั่นหัวอย่างสุดกำลัง พยายามทำให้ตัวเองฟื้นมีสติ และยังคิดที่จะเถียงกลับ “ท่านพ่อตา……”

 

 

“เจ้าหุบปาก หากยังกล้าพูดแม้แต่ประโยคเดียว ข้าจะฆ่าเจ้า” ราชเลขาหลินตะโกนด้วยความโมโห

 

 

หลิวจยาเจิ้งตกใจกลัวจนหุบปาก

 

 

ราชเลขาหลินใช้มือชี้ไปทางชายคนนั้นด้วยความโกรธ “เจ้าว่ามา ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่”

 

 

ชายคนนั้นมองหลิวจยาเจิ้ง แล้วมองราชเลขาหลิน เอ่ยปากอยากพูดเรื่องราวที่แท้จริง

 

 

หลิวจยาเจิ้งห้ามเขา “เซวียเหลียง อย่าลืมว่าเจ้าตกลงอะไรกับข้าไว้ หากว่าเจ้ากล้าพูดออกมา นับตั้งแต่บัดนี้เจ้าและข้าขาดกัน”

 

 

เซวียเหลียงพูดไม่ออก ก้มหน้าอย่างเงียบๆ

 

 

“ดี ดีมาก” ราชเลขาหลินพยักหน้า แล้วเดินอย่างโซเซไปตรงหน้าทหารรักษาจวน ไปเอาดาบในมือแล้วเดินกลับไปมาด้วยสีหน้าที่เศร้าหมอง ไม่ลังเลใจเลยแม่แต่น้อย ฟันไปที่เซวียเหลียง

 

 

เลือดกระจาย มาพร้อมกับเสียงกรีดร้อง เซวียเหลียงเอามือปิดหู นอนร้องครวญครางอยู่บนพื้นกลิ้งไปกลิ้งมาอย่างเจ็บปวด

 

 

ผู้คนต่างก็ตกใจ โดยเฉพาะหลิวจยาเจิ้ง ตกใจกลัวจนต้องรีบไปหลบที่หลังของบ่าวรับใช้ที่มีรูปร่างสูงใหญ่

 

 

ทั้งร่างราชเลขาหลินเต็มไปด้วยความโหดร้ายเหมือนยมทูต เขายกมีดเปื้อนเลือดแล้วชี้ไปทางเขา “จะพูดหรือไม่พูด ถ้าไม่พูดนี่คือจุดจบของเจ้า”

 

 

หลิวจยาเจิ้งไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ที่ไหนมาก่อน ตกใจกลัวจนฉี่ราด แล้วพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าวสาร “นายท่านโปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด นายท่านโปรดไว้ชีวิตข้าด้วยเถิด ข้าพูด ข้าพูดแล้ว”

 

 

ราชเลขาหลินจ้องด้วยความโกรธ ตะโกนด้วยความโมโห “พูด!”

 

 

“ข้ากับเซวียเหลียงเป็นฝาแฝดกัน” หลิวจยาเจิ้งตกใจจนหลุดปากพูดออกมา

 

 

เกิดเสียงดังวุ่นวายในกลุ่มคนที่มามุงดู

 

 

หน้าของฮูหยินหลินซีดเผือด นางไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่าหัวหน้าตระกูลแม่ยายตนเองจะโกหกนาง

 

 

ราชเลขาหลินเงียบ ท่าทางในการถือดาบไม่เปลี่ยนแปลง

 

 

หลิวจยาเจิ้งเอนตัวพิงบ่าวรับใช้ ท่ามกลางเสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดของเซวียเหลียง พูดต่อไป “เซวียเหลียงเป็นคนพี่ ข้าเป็นคนน้อง ตอนพวกข้าอายุสามขวบ ที่บ้านเกิดเหตุไม่คาดคิด พ่อและแม่เสียชีวิตทั้งคู่ พวกข้าสองคนพี่น้องเอาตัวไม่รอด จึงมีผู้เฒ่าผู้ใหญ่ในตระกูลตัดสินใจ แยกพวกข้าสองคนให้คนอื่นเลี้ยง ข้าตกไปเป็นคนในตระกูลหลิวที่มีฐานะร่ำรวย กลายเป็นคุณชายคนเดียวในครอบครัวของพวกเขา ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมาก็กินดีอยู่ดี เติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่ดี ส่วนพี่ชายตกไปอยู่ในตระกูลเซวีย ตระกูลเซวียเป็นตระกูลที่ชอบเล่าเรียน ให้ความสำคัญกับความรู้ เมื่อพี่ชายอายุสิบหกปี สอบได้ตำแหน่งซิ่วไฉ และยังแต่งงานกับภรรยาและมีลูกอีกด้วย ข้าก็จะตัดสินใจที่จะแต่งงานเช่นกัน เดิมทีมีแผนที่จะแต่งงานในปลายปีนี้ แต่บังเอิญว่าปีนี้ฮูหยินหลินกลับมาที่บ้านเกิดเพื่อไหว้วานผู้ใหญ่จัดการเรื่องงานแต่งงานของคุณหนูหลิน หลังจากที่ได้ฟังเรื่องราว พ่อของข้าก็ใจเต้น ติดสินบนหัวหน้าตระกูลสองสามร้อยตำลึง ไหว้วานเขาให้ช่วยเรื่องนี้ให้สำเร็จ และสัญญาว่าเมื่อข้าได้ตำแหน่งขุนนางชั้นสูงเมื่อไหร่ ข้าจะสนับสนุนและคอยค้ำจุนตระกูลหลิว หัวหน้าตระกูลได้ยินเรื่องนี้ก็ใจเต้น ทั้งสองคนจึงวางแผนให้พี่ใหญ่เข้าเมืองหลวงไปเข้าร่วมการสอบจอหงวนแทนข้า หลังจากที่ได้รับตำแหน่งและหมั้นหมายกับคุณหนูหลิน เขาจะพาคนเหล่านี้กลับบ้านเกิด และข้าก็จะอยู่ที่เมืองหลวงเพื่อแต่งงานกับคุณหนูหลิน”

 

 

หน้าประตูจวนอ๋องเงียบสงัด ไม่มีเสียงแม้แต่นิดเดียว

 

 

ไม่ใช่แค่ผู้คนที่มาดู แม้แต่คือท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีก็ตกใจจนพูดไม่ออก

 

 

ฮูหยินหลินล้มลงนั่งที่พื้น รู้สึกใจหายอยู่พักหนึ่ง

 

 

หลินหันเยียนพยายามคลานไปหา “ท่านแม่ ท่านไม่เป็นไรใช่หรือไม่”

 

 

มือของฮูหยินหลินสั่นระริก กอดไปที่นาง “เยียนเอ๋อร์ แม่เกือบจะทำร้ายเจ้าแล้ว”

 

 

หลินจ้งโกรธมาก บีบกำปั้นจนมีเสียงดัง กรอบ ก้าวเดินไปหาหลิวจยาเจิ้ง

 

 

เดินไปเพียงไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นราชเลขาหลินยกดาบขึ้น จึงรีบส่งเสียงห้าม “ท่านพ่อ อย่า”

 

 

แต่ก็สายไปแล้ว ดาบของราชเลขาหลินฟันลงไปแล้ว ฆ่าคนสองคนด้วยดาบเล่มเดียว หัวของคนรับใช้คนนั้นกับหลิวจยาเจิ้งกลิ้งลงไปกับพื้น

 

 

“น้องเล็ก”

 

 

“คุณชาย”

 

 

เสียงตกใจดังขึ้นพร้อมกัน

 

 

หลังจากที่เซวียเหลียงกรีดร้อง มองค้างไปที่หัวของหลิวจยาเจิ้งที่อยู่ตรงหน้า ตาปิดลงแล้วสลบไป

 

 

บ่าวรับใช้หลายคนก็กลัวมากเช่นกัน แทบอยากจะเป็นลมตามเซวียเหลียง เมื่อวานซืนคุณชายได้สั่งให้พวกเขาไปปกป้องเซวียเหลียงที่เดินทางกลับบ้านเกิดแล้วไป แต่เซวียเหลียงเป็นห่วงคุณชาย เลยอยู่ต่อไปอีกสองสามวัน พวกเขาไม่มีทางเลือก จำใจต้องอยู่ต่อ ไม่อย่างนั้น วันนี้ก็ไม่ต้องถูกคนเหล่านี้จับได้ สูญเสียชีวิตของคุณชายไป

 

 

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ถึงแม้ว่าหวงฝู่อี้เซวียนต้องการหยุดยั้งเหตุการณ์นี้ด้วยกำลังภายใน แต่มันก็สายเกินไปเสียแล้ว ทำได้แค่มองราชเลขาหลินฟันหัวสองคนนั้น

 

 

ผู้คนก็ต่างตกตะลึงอีกครั้ง ไม่คิดว่าราชเลขาหลินจะฆ่าสองคนนั้นอย่างโจ่งแจ้ง รอฝ่ายตรวจการฟ้องร้องในวันพรุ่งนี้ แน่นอนว่าตำแหน่งราชเลขานี้รักษาไว้ไม่ได้ ดีไม่ดี… แม้แต่ชีวิตก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้

 

 

ฮูหยินหลินคิดถึงจุดๆ นี้ หน้ามืดแล้วเป็นลมไป

 

 

มองไปที่หัวสองหัวที่กลิ้ง ที่ศพทั้งสองมีเลือดไหลบริเวณคอ หยดลงต่อหน้าต่อตาตัวเอง ในที่สุดความพยาบาทที่อยู่ในใจของราชเลขาหลินก็คลายออกมา ถอนหายใจ แล้วโยนดาบที่มือทิ้ง หันไปสั่ง “จ้งเอ๋อร์ คุ้มกันแม่ของเจ้ากลับจวน พ่อจะไปรับโทษต่อพระพักตร์ฮ่องเต้”

 

 

ผู้คนมาดูเยอะมาก ตัวเขาเองจะรับโทษแทนท่านพ่อก็ไม่ได้ ขานตอบด้วยสีหน้าที่กังวล “ขอรับ ท่านพ่อ”

 

 

ราชเลขาหลินเดินไปที่รถม้าและเข้าไปนั่งด้วยสีหน้าที่นิ่งเฉย แล้วสั่งคนขับรถม้าว่า “ไปพระราชวัง”

 

 

มองดูรถม้าที่ไปไกลจนสุดสายตา หลินจ้งเม้มริมฝีปาก เดินไปยังฮูหยินหลินที่เป็นลมอยู่กับพื้น เขาก้มลงอุ้มนาง หันหลังเดินไปที่รถม้า

 

 

“พี่ใหญ่” หลินหันเยียนพยายามที่จะลุกขึ้นยืน อยากจะตามเขาไปที่จวนราชเลขา

 

 

หลินจ้งหยุดชะงัก แล้วหันมาพูด “เยียนเอ๋อร์ ท่านพ่อได้ตัดขาดความสัมพันธ์กับเจ้าแล้ว หลังจากนี้เจ้าไม่ใช่คนของจวนราชเลขานี้อีกแล้ว ดูแลตัวเองให้ดี”

 

 

หลินหันเยียนทำไมจะไม่รู้ว่าหลินจ้งกำลังปกป้องตนเอง เรื่องราวของวันนี้ ไม่รู้ว่าฮ่องเต้จะพิจารณาตัดสินยังไง ถ้าหากเดือดร้อนไปถึงครอบครัวจริงๆ ตัวนางอาจจะหนีเอาตัวรอดไปได้ แต่นางจะทำเช่นนี้ได้อย่างไร คนเหล่านั้นคือญาติพี่น้องของนาง พวกเขาล้วนแต่เป็นคนที่มีบุญคุณกับนางมาตั้งแต่เด็กไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในจวนราชเลขา นางควรที่จะอยู่เคียงข้างคอยช่วยเหลือและเผชิญหน้ากับอุปสรรคไปด้วยกันกับพวกเขา

 

 

นางเดินอย่างโซเซไปข้างหน้าไม่กี่ก้าว “พี่ใหญ่”

 

 

หลินจ้งไม่ได้พูด หันไปสั่งอย่างเคร่งขรึม “หงเอ๋อร์ ดูแลคุณหนูดีๆ อย่าให้นางกลับไปที่จวนราชเลขาอีก”

 

 

หงเอ๋อร์ขานตอบ เดินไปดึงหลินหันเยียนอย่างสุดกำลัง

 

 

“พี่ใหญ่ อย่า!” หลินหันเยียนไม่สามารถขยับหนีได้ ขอร้องด้วยเสียงสั่นสะอื้น

 

 

หลินจ้งไม่ฟัง วางฮูหยินหลินไว้บนรถม้าเบาๆ หันไปแล้วกระโดดขึ้นหลังม้า สั่งทุกคนว่า “กลับจวน”

 

 

คนบ้านนี้ตอนมา ล้วนมาด้วยท่าทางที่โหดร้าย แต่กลับจากไปอย่างเงียบๆ

 

 

หลายคนลอบถอนใจ จวนราชเลขาจบสิ้นแล้ว จากนี้เป็นต้นไป ราชเลขาหลินชื่อนี้จะไม่มีคนเอ่ยถึงอีก จากนั้นตาสว่างทันที ใช่แล้ว มีตำแหน่งราชเลขาว่าง ข้าใช้โอกาสนี้เลื่อนขั้นได้หรือไม่

 

 

ไม่เพียงคนเดียวที่คิดเช่นนี้ ดั้งนั้นในชั่วพริบตาผู้คนที่ออกจากจวนมาสอดส่องเหตุการณ์ต่างก็จากไปอย่างไร้ร่องรอย ล้วนรีบกลับจวนเพื่อที่จะเตรียมมอบของขวัญ

 

 

ตรงหน้าประตูจวนอ๋องเหลือเพียงหลินหันเยียนที่ถูกหงเอ๋อร์ลากไว้อย่างสุดชีวิต และร่างไร้วิญญาณนั้นยังคงมีเลือดไหลออกมา พร้อมทั้งเซวียเหลียงที่เป็นลมไปและบ่าวรับใช้ที่ตกใจอยู่ไม่กี่คน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนสั่งโจวอันว่า “เชิญกองกำลังรักษาความสงบมาดูแล และเจ้าส่งคนไปเฝ้าคนเหล่านี้ พวกเขาเป็นพยานสำคัญ เลี่ยงไม่ได้ที่ฮ่องเต้จะส่งคนไปไต่สวน”

 

 

โจวอันใช้กำลังภายในเหาะไปอย่างรวดเร็ว

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่งสายตาให้ชิงหลวนและจูหลี บอกใบ้ให้สองคนนั้นจับหลินหันเยียนมา

 

 

ชิงหลวนกับจูหลีเดินผ่านไป ขนาบข้างหลินหันเยียนพยุงนางเดินมาที่ประตูจวน

 

 

หลินหันเยียนไม่ขัดขืน ยืนนิ่งๆ ปล่อยให้พวกนางพยุงกลับไป หงเอ๋อร์เดินตามไปอย่างเงียบๆ

 

 

ท่านอ๋องฉีไม่ส่งเสียงพูดจา พระชายาฉีถอนหายใจเบาๆ สองคนหันกลับมาพร้อมกัน แล้วกลับเข้าไปในจวน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวตามหลังมา

 

 

ติดตามมาด้วยชิงหลวนและจูหลี

 

 

เข้ามาในจวนได้ไม่ไกล หวงฝู่อวี้วิ่งมาด้วยสีหน้าที่ตื่นตระหนก เมื่อมองชัดว่าทุกคนเดินกลับมา ก็ตะลึงเล็กน้อย แล้วเขาก็ยื่นคอไปมองด้านหลังทันที เมื่อเห็นหลินหันเยียนตามหลังมา ก็รู้สึกโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด จึงเดินเข้าไป “เสด็จพ่อ เสด็จแม่”

 

 

ท่านอ๋องฉีไม่สนใจเขา แล้วเดินผ่านเขาไป

 

 

พระชายาฉีถอนหายใจ “อวี้เอ๋อร์ พาเยียนเอ๋อร์ไปที่เรือนของเจ้า แล้วดูแลนางดีๆ”

 

 

หวงฝู่อวี้ขานตอบว่า “ขอรับ เสด็จแม่”

 

 

หันกลับไปมองหลินหันเยียนที่ยังไม่ได้สติกลับมา พระชายาฉีถอนหายใจอีกครั้ง แล้วเดินไปที่เรือนของตัวเอง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามไปอย่างเงียบๆ

 

 

เมื่อทั้งสี่คนเดินผ่านไป หวงฝู่อวี้ไปรับหลินหันเยียนจากชิงหลวนกับจูหลี เขาและหงเอ๋อร์พยุงนางกลับไปที่เรือนด้วยกัน

 

 

พระชายาฉีเดินไปถึงทางเดิน หันกลับมาพูดว่า “เซวียนเอ๋อร์ โยวเอ๋อร์ ไท่จื่อยังอยู่ในจวน พวกเจ้าไปต้อนรับเขาทีเถิด แม่รู้สึกเหนื่อยเล็กน้อย ต้องการพักผ่อน”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเผยอปาก อยากจะชวนนางไปทานอาหารกลางวันก่อนแล้วค่อยไปพักผ่อน หวงฝู่อี้เซวียนเดินไปชนแขนนางเบาๆ หยุดนางไม่ให้พูด พูดว่า “ลูกทราบแล้ว เสด็จแม่พักผ่อนให้เต็มที่เถิดขอรับ”

 

 

พระชายาฉีอดไม่ได้ ถอนหายใจอีกครั้ง หันกลับไปที่เรือนของตัวเอง

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวก็กลับไปที่เรือนของตัวเอง

 

 

หวงฝู่ซวิ่นนั่งไม่เป็นสุข เดินออกจากเรือนไป เดินเล่นกลับไปกลับมา เห็นสองคนนั้นกลับมา รีบถามว่า “ข้าได้ยินว่า…”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพูดขัดเขา “คุยในเรือนเถอะ”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นกลืนสิ่งที่จะพูดลงไป หันหลังกลับเข้าไปในเรือนก่อน

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยวเดินตามเข้าไป

 

 

รอให้สองคนนั้นนั่งลงบนเก้าอี้ หวงฝู่ซวิ่นถามต่ออย่างร้อนรน “ข้าได้ยินพวกบ่าวรับใช้พูดว่า ราชเลขาหลินฆ่าคน ตกลงเกิดอะไรขึ้นกันแน่ พวกเจ้ารีบเล่าให้ข้าฟังที”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้เขาฟังอย่างละเอียด

 

 

หวงฝู่ซวิ่นฟังจบ แล้วเขาตะลึงอยู่นานกว่าจะลุกขึ้น พรวด แล้วพูดว่า “ข้าจะเข้าไปดูในวัง”

 

 

“สายไปแล้ว เวลานี้ราชเลขาหลินคงถึงห้องทรงพระอักษรแล้ว คาดว่าตอนนี้เสด็จลุงกำลังโกรธอยู่ หากเจ้าไป ก็ไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อย บางทีเสด็จลุงอาจจะเอาความโกรธมาลงที่เจ้าก็ได้” หวงฝู่อี้เซวียนส่ายหัวเบาๆ

 

 

หวงฝู่ซวิ่นตะลึงอยู่สักพัก จากนั้นก็นั่งลง แล้วถามหยั่งเชิงว่า “เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อจะจัดการอย่างไร”

 

 

“ราชเลขาหลินดำรงตำแหน่งมานานหลายปี มีความรับผิดชอบตลอด ขยันหมั่นเพียร แก้ปัญหามากมายให้แก่ราชสำนัก เสด็จลุงคงไม่ลงโทษเขาหนัก แต่เพื่อเป็นแบบอย่างให้แก่ขุนนางในราชสำนัก ก็จะไม่ลงโทษเขาเบาเกินไป”

 

 

“เจ้าหมายความว่าราชเลขาหลินจะถูกปลดออกจากตำแหน่ง แต่จะไม่ถูกไต่สวนหรือ”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้พูดอะไรต่อ หลีกเลี่ยงการพูดคุยในหัวข้อนี้ “ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเสด็จลุง พวกเรารอฟังข่าวเถิด”

 

 

หวงฝู่ซวิ่นไม่ได้ถามอะไรต่อ ขมวดคิ้วทำหน้าบึ้งพิงเก้าอี้

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้พูดอะไร ในขณะเดียวกันก็ขมวดคิ้วและก็คิดไตร่ตรอง

 

 

เมิ่งเชียนโยวยื่นมือไปดึงเขา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนตกใจ ตื่นจากภวังค์ มองไปที่นาง

 

 

เมิ่งเชียนโยวทำหน้าบึ้ง อึดอัดเล็กน้อย “ข้าหิวแล้ว”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนเพิ่งจะรู้ตัว ไม่ต้องมองไปข้างนอกก็รู้ว่าเวลานี้เลยเวลากินข้าวไปแล้ว ตามปกติเวลานี้ เมิ่งเชี่ยนโยวได้พักกินข้าวไปตั้งนานแล้ว จึงรีบสั่งเสียงดัง “เตรียมสำรับ”

 

 

ชิงหลวนขานตอบ และไปที่ห้องครัวเพื่อสั่งอาหาร

 

 

หวงฝู่ซวิ่นก็ได้สติและตามสองคนนั้นไปที่ห้องอาหาร

 

 

ท่านอ๋องฉี พระชายาฉีและหวงฝู่อวี้ไม่ได้มา ในห้องอาหารมีเพียงแค่พวกเขาสามคน หวงฝู่อี้เซวียนยุ่งอยู่กับการคีบอาหารให้เมิ่งเชี่ยนโยว เลยไม่ได้กินอะไรมาก หวงฝู่ซวิ่นกำลังกินอย่างสบายอกสบายใจ

 

 

เมื่อกินอิ่มแล้ว หวงฝู่ซวิ่นเดินไปอย่างอิ่มอกอิ่มใจ ทำตามคำสั่งของหวงฝู่อี้เซวียน ไปที่วังด้วยสีหน้าที่ร้อนรน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหาว หวงฝู่อี้เซวียนจึงพานางไปพักผ่อน

 

 

ไม่นานหลังจากสองคนนั้นลงนอน เมิ่งเชี่ยนโยวผล็อยหลับไปอย่างสะลึมสะลือ ด้านนอกก็มีเสียงเรียกของหวงฝู่อวี้อย่างร้อนใจ “พี่ใหญ่ พี่สะใภ้ใหญ่ เยียนเอ๋อร์หายไปแล้วขอรับ”