ฉันยังคงมองดูเส้นขอบฟ้าที่ระยิบระยับสวยงาม ขณะที่พูดขึ้นมาเบาๆ อย่างจริงใจ และพยายามที่จะถ่ายทอดความรู้สึกของตัวเองออกไปอย่างเต็มที่ ส่วนรุ่นพี่ก็ส่งยิ้มหวานให้กับฉัน 

 

 

“พี่เองก็ขอบใจเหมือนกัน ที่เธอยอมมาด้วยกันน่ะ” 

 

 

เพลงรักที่มีท่วงทำนองอันแสนหวานซึ่งร้านค้าแถวๆ คงนั้นจะเปิดทิ้งเอาไว้ ผสมเข้ากับน้ำเสียงของรุ่นพี่ แล้วจึงส่งผ่านมาทางลมทะเล 

 

 

น้ำเสียงอันอ่อนโยนของรุ่นพี่ ดนตรีที่ไพเราะ อาทิตย์แรกของปี ทะเลที่กระทบกับแสงแดดจนเป็นประกาย กลิ่นอายสดชื่นของทะเล อากาศของฤดูหนาวที่แห้งกรอบ ทรายบนชายหาดที่นุ่มละมุน และไออุ่นจากมือที่แนบชิดกัน พร้อมกับหัวใจที่อัดแน่นจนเอ่อล้น ทั้งหมดนี้ได้กลายมาเป็นชิ้นส่วนจิ๊กซอว์ ประกอบกันเป็นภาพแห่งความทรงจำ 

 

 

นั่นน่ะ บางทีที่ความทรงจำนั้นเกิดขึ้นได้อาจจะเป็นเพราะ ‘วันนี้’ ก็ได้ ถึงจะมาที่นี่อีกครั้ง แต่บางทีมันอาจจะไม่รู้สึกเหมือนกับตอนนี้แล้วก็ได้ เพราะว่าเวลานั้นเดินไปเรื่อยๆ และความทรงจำก็คือการที่เรากลับมาหวนระลึกถึงเวลาที่ผ่านไปแล้วอย่างไรละ 

 

 

แต่ว่า… 

 

 

ฉันยักไหล่ขึ้นลง พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ แต่ว่า…ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังหวังอย่างแรงกล้า ต่อให้เป็นปีหน้าหรือปีถัดๆ ไป หรือจะเป็นอนาคตที่ไกลยิ่งกว่านั้น ก็ขอให้ฉันได้กลับมาด้วยกันกับรุ่นพี่ ณ ที่แห่งนี้ ได้ชื่นชมกับดวงอาทิตย์ขึ้นที่งดงามแบบนี้อีกสักครั้ง 

 

 

“โอ๊ะ กลิ่นชาขิงนี่นา” 

 

 

รุ่นพี่ที่เอาแต่มองไปที่ทะเลอย่างเงียบๆ จู่ๆ ก็ทำจมูกฟุดฟิด แล้วพึมพำขึ้นมาด้วยน้ำเสียงมีความสุข จะว่าไป ก็เหมือนจะได้กลิ่น ทั้งชาขิง และก็แน่นอนว่ารวมไปถึงกลิ่นโอเด้งและบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปด้วย แถมยังได้กลิ่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บางๆ ลอยโชยมาอีกต่างหาก 

 

 

“ดื่มอะไรหน่อยไหม หนาวใช่ไหมล่ะ” 

 

 

รุ่นพี่พันผ้าพันคอของฉันให้แน่นยิ่งขึ้น พลางถามด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง สัมผัสจากมือที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้ฉันเม้มปาก พลางกลั้นหายใจดัง ฮึบ ออกมา ท่าทางที่ยังดูประหม่าจนถึงตอนนี้ของฉันคงดูน่าขำเสียจน เกิดเป็นรอยยิ้มเล็กๆ ขึ้นบนใบหน้าของรุ่นพี่ที่กำลังจ้องมองมา 

 

 

“ชาขิง โอเคไหม” 

 

 

“…ค่ะ” 

 

 

ฉันพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว รุ่นพี่คลายผ้าพันคอที่พันอยู่ที่คอตัวเอง แล้วเอามาพันทับผ้าพันคอของฉัน ต่อจากนั้นเขาก็วิ่งไปยังร้านกาแฟที่อยู่ใกล้ๆ  

 

 

เมื่อมองภาพแผ่นหลังที่ดูแข็งแรงนั่น มันก็ทำให้ฉันเผลอยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ รุ่นพี่มักจะเอาใจใส่ฉันในเรื่องที่ฉันคาดไม่ถึงเสมอ 

 

 

ฉันเคยคิดว่า รุ่นพี่น่ะ อ่อนโยนมากเกินจำเป็น สัมผัสตัวฉันเกินจำเป็น แล้วก็จับมือฉันเกินจำเป็น เป็นเพราะหัวใจที่สิ้นหวังเลยทำให้ฉันกระวนกระวายใจและไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี ฉันจึงรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจกับความอ่อนโยนนั้นของรุ่นพี่ที่คอยแต่จะทำให้ฉันหวั่นไหว 

 

 

แต่ว่าตอนนี้เหมือนฉันจะเข้าใจขึ้นมาหน่อยๆ แล้ว ว่าทั้งหมดนั้นก็เป็นแค่การแสดงออกของรุ่นพี่เท่านั้น เพียงแค่การกระทำเล็กๆ น้อยๆ ที่สมกับเป็นรุ่นพี่นี้ มันก็ทำให้หัวใจของฉันรู้สึกขอบคุณและตื้นตันจนบอกไม่ถูก อีกทั้งรุ่นพี่ที่ทั้งอ่อนโยนและอบอุ่นไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็ช่างน่ารักซะจนทำให้หัวใจของฉันพองโต 

 

 

ใบหน้าของรุ่นพี่ขณะที่กำลังถือแก้วกระดาษที่มีไออุ่นๆ ลอยออกมาด้วยมือทั้งสองข้างเต็มไปด้วยรอยยิ้มสดใสเหมือนทุกครั้ง ท่าทางที่เดินมาหาฉันด้วยย่างก้าวที่ระมัดระวังดูช่างน่าหวาดเสียวจริงๆ ฉันจึงรีบวิ่งไปทางรุ่นพี่ด้วยความรวดเร็ว 

 

 

“กลิ่นหอมจังเนอะ” 

 

 

น้ำเสียงที่พูดขึ้นลอยๆ ของรุ่นพี่ขณะกำลังยื่นถ้วยกระดาษที่เต็มไปด้วยชาขิงใส่มือฉันดูตื่นเต้นเล็กๆ ฉันหัวเราะคิกคัก พลางพยักหน้า ก่อนจะเป่าไออุ่นๆ นั่น พร้อมกับจิบชาขิงในแก้วไปหนึ่งอึก 

 

 

แต่วินาทีที่ของเหลวอุ่นๆ ไหลผ่านลำคอลงไป ตัวฉันก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาแป๊บนึง ใบหน้าของรุ่นพี่ที่เพิ่งจะทาบปากลงไปบนถ้วยกระดาษ แล้วดื่มชาเข้าไปดูจะเหยเกอย่างแปลกๆ 

 

 

ทันทีที่พวกเราทั้งสองสบตากัน พวกเราก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่นโดยไม่ต้องปรึกษากัน 

 

 

“ไม่อร่อยเลยแฮะ!” 

 

 

“จริงด้วยค่ะ…” 

 

 

พวกเรายังคงกำแก้วกระดาษอุ่นๆ เอาไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง แล้วเริ่มหัวเราะอย่างสนุกสนานจนตัวงอ ชาขิงที่จืดจนไม่มีรสชาติ ซึ่งแตกต่างจากกลิ่นที่หอมหวนกำลังกระเพื่อมไปมาอยู่ในมือ  

 

 

 พวกเราหัวเราะกันอยู่แบบนั้นสักพักจนกระทั่งต้องเช็ดน้ำตาที่ไหลออกมา พร้อมกับนั่งลงบนม้านั่งว่างข้างหน้าร้านกาแฟ 

 

 

“เป็นตอนจบที่หักมุมจริงๆ” 

 

 

“คนคงเยอะ เขาก็เลยทำเอาไว้เผื่อๆ น่ะค่ะ” 

 

 

“นั่นสินะ แต่มันน่าเสียดายน่ะสิ จะทำไงกับเจ้านี่ดี” 

 

 

รุ่นพี่จ้องมองพลางหัวเราะใส่เจ้าชาขิงที่มีอยู่เต็มแก้วกระดาษ อ้า แล้วจู่ๆ เขาก็ตะโกนออกมาเบาๆ พลางหันหน้ามามองฉัน 

 

 

“พวกเรามาเป่ายิ้งฉุบกัน คนแพ้จะต้องดื่มเข้าไปทีละอึก ดีไหม” 

 

 

“จะเอางั้นเหรอคะ” 

 

 

ฉันพยักหน้าอย่างมีความสุขพลางนั่งหันหน้าเข้าหารุ่นพี่ รุ่นพี่ทำหน้าค่อนข้างจริงจัง พร้อมกับยกกำปั้นขึ้นมา เมื่อพูดคำว่าเป่า ยิ้ง ฉุบ! เขาก็ยื่นกำปั้นออกมาทั้งๆ อย่างนั้น 

 

 

“โอ๊ะ ดูเหมือนฉันจะชนะนะคะเนี่ย” 

 

 

หลังจากที่ฉันส่ายมือที่กางออกตรงหน้าของรุ่นพี่แล้ว ฉันก็แกล้งรุ่นพี่ด้วยการดันมือของเขาที่กำลังถือแก้วกระดาษอยู่ไปทางปาก ต่อจากนั้น สีหน้าของรุ่นพี่ก็ดูตึงเครียดขึ้นมาในทันที  

 

 

ท่าทางแบบนั้นมันดูน่าตลกจนฉันหัวเราะ หึหึ ในลำคอ รุ่นพี่จึงทำปากจู๋พลางดื่มชาขิงเข้าไปอึกนึง ก่อนจะกลืนเข้าไปอย่างรวดเร็ว 

 

 

“เอื้อก…” 

 

 

รุ่นพี่ที่หน้าผากยับยู่ยี่พร้อมกับขนลุกไปหมดทั้งตัว เร่งฉันต่อด้วยคำว่า มา อีกรอบ 

 

 

“เป่า ยิ้ง ฉุบ!” 

 

 

รุ่นพี่ออกค้อนอีกครั้ง ในครั้งนี้ฉันที่เลือกออกกรรไกรจึงได้แต่หลับตาปี๋ พร้อมกับกระดกชาขิงเข้าปาก หลังจากนั้นพวกเราก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน และพลัดกันดื่มชาขิงไปมาอยู่สักพักใหญ่ๆ 

 

 

แต่เมื่อถึงตอนที่รสชาติอันน่ากลัวของชาขิงทำให้ปลายลิ้นเริ่มไม่รู้รส ฉันก็เพิ่งจะสังเกตเห็นว่ารุ่นพี่เอาแต่ออกค้อนเหมือนเดิม 

 

 

“รุ่นพี่คะ รุ่นพี่นี่เล่นเป่ายิ้งฉุบไม่เก่งจริงๆ เลยนะคะ รุ่นพี่เอาแต่ออกค้อนอย่างเดียวเลยรู้ตัวหรือเปล่าคะเนี่ย” 

 

 

“อ๊ะ งั้นเหรอ” 

 

 

“อะไรกันคะ จะบอกว่าเป็นผู้ชายก็ต้องออกค้อนสิอย่างนั้นเหรอคะ” 

 

 

คำพูดหยอกล้อของฉันทำให้รุ่นพี่แสดงสีหน้าประหลาดออกมา พลางจ้องหน้าฉันเขม็ง 

 

 

“งั้นครั้งหน้าพี่จะออกกระดาษแล้วกัน” 

 

 

“เอ่อ นี่เป็นจิตวิทยาอย่างนึงเหรอคะ” 

 

 

“ก็อาจจะเป็นอย่างนั้นก็ได้นะ” 

 

 

คำพูดลอยๆ ของรุ่นพี่ทำให้ฉันหรี่ตาพลางจ้องหน้ารุ่นพี่ด้วยรังสีอำมหิต ต่อจากนั้นรุ่นพี่จึงหัวเราะเสียงดังออกมา พร้อมกับเอามือข้างที่กำอยู่มาดันหน้าผากฉันเบาๆ 

 

 

“ตาสุดท้ายละนะ พี่บอกไปแล้วด้วยว่าพี่จะออกกระดาษ” 

 

 

“…เอาจริงเหรอคะ” 

 

 

“อือ จริงสิ” 

 

 

รุ่นพี่ยกแขนขึ้นไปวางบนพนักพิงม้านั่งในท่าเท้าคางมองมาที่ฉัน พร้อมกับส่ายกำปั้นไปมา 

 

 

“มา จะเอาละนะ เป่า ยิ้ง ฉุบ!” 

 

 

ฉันรีบออกกระดาษไปอย่างรวดเร็ว เป็นเพราะฉันเคยได้ยินเซจินพูดว่า ‘ควรจะออกที่เหมือนกับคนที่บอกเอาไว้ว่าตัวเองจะออกอะไร’ แต่ว่าวินาทีที่ฉันเห็นมือที่รุ่นพี่ยื่นออกมา ฉันก็กลับรู้สึกตกใจ จนทำได้เพียงแต่ยืนนิ่ง 

 

 

“ยัยติ๊งต๊อง ก็บอกแล้วไงว่าพี่จะออกกระดาษน่ะ” 

 

 

รุ่นพี่พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเขาก็ออกกระดาษอย่างที่พูดจริงๆ แต่ว่าสิ่งที่ทำให้ฉันตกใจไม่ใช่กลอุบายอะไรนั่น แต่เป็นแหวนที่วางอยู่บนฝ่ามือของรุ่นพี่ที่แบออกมาต่างหาก 

 

 

“…นี่อะไรเหรอคะ” 

 

 

หลังจากที่ฉันอึกอักอยู่สักพัก ฉันก็จ้องไปที่ใบหน้าของรุ่นพี่ รุ่นพี่ลดมือที่เท้าคางลง แล้วเอื้อมมาจับมือข้างซ้ายของฉันที่กำลังนั่งตัวแข็งอย่างมึนงงอยู่ หลังจากที่เขาดึงมือฉันไป เขาก็สวมแหวนลงไปบนนิ้วกลางพลางกระซิบบอกว่า 

 

 

“ของขวัญ สีชมพูที่พี่เคยบอกไว้ก่อนหน้านี้ไง” 

 

 

แหวนสีเงินที่ถูกสวมอยู่ที่นิ้ว ตรงกลางมีอัญมณีสี่เหลี่ยมเล็กๆ สีชมพูอ่อนกำลังส่องแสงเป็นประกาย ฉันทำได้เพียงแต่อึ้งและมองดูเจ้าสิ่งนั้นอย่างนิ่งเงียบโดยไม่พูดอะไร 

 

 

“เขาบอกกันว่าถ้าสวมแหวนที่มีอัญมณีประจำเดือนเกิดไว้ที่นิ้วกลาง จะได้สามีที่ดีแหละ” 

 

 

“…” 

 

 

“ของขวัญที่เธอได้กลายเป็นบัลเลริน่าสุดเท่ยังไงล่ะ” 

 

 

รุ่นพี่ที่ทำตัวไม่ถูกเอามือมาลูบเบาๆ ที่หัวของฉัน พลางฉีกยิ้ม รอยยิ้มนั้นทั้งสดใสและอ่อนโยนตราตรึงลงมาภายในใจของฉัน ฉันกลืนความรู้สึกกระวนกระวายใจที่อัดแน่นอยู่ที่ลำคอลงไป ก่อนจะส่งยิ้มที่สดใสที่สุดออกไปด้วยพลังทั้งหมด 

 

 

“ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ ฉันสัญญาว่าจะพยายามให้เต็มที่ค่ะ” 

 

 

น้ำเสียงของฉันยังคงมีเสียงสะอื้นปนออกมาต่อให้พยายามอดกลั้นเอาไว้ เพราะถึงจะเป็นแค่ของขวัญ แต่มันก็มาจากใจของรุ่นพี่ และความหมายที่ซ่อนอยู่ก็ทำให้ฉันรู้สึกซาบซึ้งจนเหมือนน้ำตามันจะเอ่อล้นออกมา 

 

 

ฉันเม้มริมฝีปากเอาไว้แน่นเพื่ออดกลั้นความรู้สึกที่คอยแต่จะพลุ่งพล่านออกมา รุ่นพี่ทอดสายตามองมาที่ฉัน เขายิ้มเล็กๆ แล้วเอามือทั้งสองข้างมาจับที่แก้มเย็นเฉียบของฉันเบาๆ ก่อนจะเอาปากมาสัมผัสจนเกิดเป็นเสียง จุ๊บ 

 

 

ริมฝีปากของรุ่นพี่ที่เย็นขึ้นเพราะสายลมเย็นๆ ของฤดูหนาวทำให้ฉันรู้สึกจั๊กจี้ เพราะมัวแต่กลั้นน้ำตาเอาไว้ ฉันจึงจ้องมองดวงตาสีดำสนิทนั้นของรุ่นพี่ที่มาอยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าบึ้งๆ 

 

 

“นี่เป็นตราประทับสำหรับสัญญานะ” 

 

 

รุ่นพี่กระซิบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน จนเหมือนกับจะทำให้ร่างทั้งร่างของฉันละลาย ฉันหลับตานิ่งขณะที่ริมฝีปากของรุ่นพี่แตะลงบนริมฝีปากของฉัน สัมผัสนุ่มๆ นั่นที่บรรจบลงมาอีกครั้งทำให้ทั่วทั้งตัวมันสั่นสะท้านไปหมด 

 

 

รุ่นพี่คงจะตกใจในท่าทางที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันของฉัน เพราะฉันสัมผัสได้ว่าริมฝีปากของรุ่นพี่เองก็สั่นเล็กๆ แต่แล้วทันใดนั้นในตอนที่มือของรุ่นพี่ซึ่งแตะลงบนแก้มของฉันดูเหมือนจะออกแรงมากขึ้น ลิ้นอุ่นๆ ของรุ่นพี่ก็แทรกเข้ามาทางช่องว่างระหว่างริมฝีปากของฉัน 

 

 

ฉันได้กลิ่นอ่อนๆ ของขิงมาจากรุ่นพี่ที่กำลังแหวกว่ายอย่างวุ่นวายอยู่ภายในปาก ทั้งที่เป็นชาขิงที่ไม่อร่อยจนทำให้รู้สึกขนลุก แต่สิ่งที่ตลบอบอวลอยู่ภายในปากมันช่างหอมหวานซะจนรู้สึกวาบหวิว 

 

 

ฉันยื่นมือออกไปจับเอวของรุ่นพี่นิ่งๆ ตอนนี้ลมทะเลของฤดูหนาวที่ไม่ได้ทำให้รู้สึกหนาวอีกต่อไปพัดผ่านมากระทบลงเบาๆ ที่ข้างหูราวกับเสียงกระซิบ 

 

 

“รักนะ” 

 

 

เสียงกระซิบที่อ่อนหวานยิ่งกว่าคำใดๆ ออกมาจากริมฝีปากของรุ่นพี่ที่อ้าออกเล็กน้อย ตั้งแต่หัวจรดเท้า มันรู้สึกปลาบปลื้ม และมีความสุขเสียเหลือเกิน ฉันหัวเราะอย่างไม่มีเสียง ขณะที่เอาหน้าซุกลงไปในอ้อมกอดของรุ่นพี่ รุ่นพี่จะต้องเป็นนักมายากลไม่ผิดแน่ๆ