<เซจิน>
ฉันชอบเจ้าหญิงมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ก็เหมือนกับเด็กผู้หญิงส่วนใหญ่นั่นแหละ เส้นผมที่ยาวสลวย มงกุฎที่เป็นประกายระยิบระยับ และชุดกระโปรงแวววาว ด้วยความใฝ่ฝันในสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ฉันถึงกับเคยใช้ส้อมหวีผมตามแบบเจ้าหญิงเงือกน้อย แล้วก็เคยอ้อนวอนให้พ่อแม่ซื้อรองเท้าแก้วของซินเดอเรลล่าให้
ใช่แล้ว ดูเหมือนฉันจะเคยเชื่อด้วยนะว่าเรื่องราวในเทพนิยายน่ะเคยเกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นการเก็บหินก้อนเล็กๆ ที่มีสีสันจากสวนดอกไม้มาเก็บไว้ในกล่องอัญมณีของเล่นพลาสติก แล้วเชื่อว่ามันคือหินที่จะทำให้สมปรารถนา หรือการให้ความสำคัญกับแหวนพลาสติกที่ได้มาจากเครื่องหนีบของเล่น
สำหรับฉันที่ดูจะแปลกไปกว่าเพื่อนๆ ในรุ่นเดียวกันเป็นพิเศษแล้ว บัลเลต์น่ะ คือการเต้นรำแห่งเวทมนตร์ที่เหมือนกับจะทำให้เหล่าความฝันสีชมพูนั้นเป็นจริง ได้แต่งตัวเหมือนเจ้าหญิง แล้วก็ได้เต้นเป็นเจ้าหญิง สิ่งเหล่านั้นสำหรับฉันในวัยเด็กแล้ว ก็เหมือนกับฝันอันสมบูรณ์แบบที่กลายเป็นจริงนั่นแหละ และนั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้ฉันเริ่มเต้นบัลเลต์ เหตุผลง๊าย ง่ายที่เหมือนกับเด็กผู้หญิงในวัยเดียวกันส่วนใหญ่ที่เริ่มต้นเต้นบัลเลต์
“ได้ยินเรื่องนั้นหรือยัง ผู้ชายที่ได้ที่หนึ่งน่ะ เป็นเด็กที่ไปเรียนแลกเปลี่ยนที่อเมริกามาน่ะ”
“ทำไงดีล่ะ”
ฉันอ้อนวอนพ่อแม่ครั้งแล้วครั้งเล่าจนในที่สุดก็ได้มาเรียนต่อในโรงเรียนศิลปะเอกชน พอกลายมาเป็นนักเรียนมัธยมต้น แล้วก็ได้ลงแข่งขันในรายการแรก ฉันมักจะคิดอย่างนี้เสมอว่า ครั้งนี้ยังไงฉันก็จะต้องได้ที่หนึ่งอย่างแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเป็นที่อคาเดมี่ หรือว่าการแข่งขันที่ผ่านมา ฉันก็ไม่เคยพลาดที่หนึ่งเลยสักครั้งเดี่ยว
แต่ว่าคนที่พังทลายความภาคภูมิใจของฉันกลับไม่ใช่ผู้หญิง แต่ดันมาเป็นผู้ชายนี่สิ อีกทั้งยังเป็นเจ้าชายที่หล่อสุดๆ ไปเลยด้วย
“เรียนแลกเปลี่ยนงั้นเหรอ”
การเรียนแลกเปลี่ยนที่ฉันใฝ่ฝันมานานแสนนาน แต่ว่าฉันก็คิดว่ามันฟุ่มเฟือยเกินไปที่จะฝันถึง ดังนั้นฉันจึงยังคงเต้นต่อไปอย่างบ้าคลั่งกว่าเดิม กับอีแค่เรียนแลกเปลี่ยน ถึงจะไม่ได้ไปมา ฉันก็จะแสดงให้เห็นว่าฉันก็สามารถคว้าที่หนึ่งมาได้ ฉันเชื่อว่าต่อให้ฉันไม่ทำอย่างนั้นฉันก็ยังพิเศษ
แต่ว่าเจ้าหมอนั่นที่ทำลายความฝันของฉันในพริบตา ให้ตายสิ ดันเป็นไอ้คนที่เท่สุดๆ จนถึงขนาดที่ฉันไม่แม้แต่จะสามารถเกลียดได้อย่างสุดใจ
“ถ่ายรูปสักรูปดีไหมครับ”
ฉันยืนอยู่ข้างคนนั้น ในขณะที่กล้ำกลืนน้ำตาอย่างขมขื่น ความพ่ายแพ้ที่รู้สึกเป็นครั้งแรก และความเจ็บปวดหัวใจที่ร้อนขึ้นไปจนถึงจมูก ฉันยังไม่ลืมสัมผัสเมื่อครั้งที่ฉันจับมือของเจ้าหมอนั่นที่ยื่นมาอย่างไม่ใส่ใจ ฉันก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือความโกรธหรือว่าเป็นความอิจฉากันแน่ แต่มือและหัวใจของฉันในตอนนั้นกำลังสั่นไหวไม่หยุดเลยจริงๆ
หลังจากเรื่องนั้น ตัวตนของหมอนั่นก็เป็นเหมือนกับแผลเป็นของฉันซึ่งไม่เคยลบเลือนไป สำหรับฉันที่เต้นเป็นเจ้าหญิงแล้ว เจ้าหมอนั่นก็คือเจ้าชาย คือภูเขาที่ฉันจะต้องก้าวข้ามผ่านมันไปให้ได้
แล้วเจ้านั่นก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าฉันอีกครั้งราวกับเป็นเรื่องโกหก กลายมาเป็นเจ้าชายที่สมบูรณ์แบบยิ่งกว่าเดิม ไม่สิ กลายมาเป็นภูเขาที่ฉันคงจะไม่สามารถข้ามผ่านมันไปได้ต่างหาก
* * *
“เธอว่าใครหล่อที่สุดล่ะ”
“อุ๊ย ก็ต้องรุ่นพี่อีกงน่ะสิ!”
“อ๋อ รุ่นพี่ที่แสดงตอนงานปฐมนิเทศน่ะนะ ตอนนี้ก็อยู่แผนกมัธยมปลายสินะ”
“ไม่คิดว่าเขาหล่อสุดๆ ไปเลยเหรอ อย่างกับเจ้าชายแน่ะ”
“แต่ว่าชเวซูฮยอนก็หล่อออก ถ้าหน้าตา ฉันว่าชเวซูฮยอนดีกว่าหน่อยนะ”
“ก็จริง หมอนั่นดูจะหล่อเกินจริงไปหน่อย”
เวลาพักกลุ่มเพื่อนๆ ก็จะมานั่งล้อมวงกันพูดถึงเรื่องที่ไม่น่าพอใจสักเท่าไหร่ ฉันที่อยู่แถวนั้นด้วยก็มักจะรู้สึกขัดๆ หูทุกครั้งที่มีชื่อของชเวซูฮยอนดังขึ้นมาในบทสนทนา ไอ้เจ้าคนเฮงซวยแบบนั้น มันมีอะไรดีกันนักกันหนา
ฉันนั่งเงียบๆ อย่างหงุดหงิด แต่แล้วหนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็หันมาถามฮวีกยอมที่กำลังนั่งเงียบๆ อยู่ข้างๆ ฉัน
“ฮวีกยอมแล้วเธอล่ะ”
“หือ”
“เธอว่าใครหล่อสุด”
“…อืม”
ฉันที่กลัวว่าคำว่า ชเวซูฮยอน จะหลุดออกมาจากปากของฮวีกยอมที่ทำสีหน้าลำบากใจ
“แน่นอนว่าต้องเป็นรุ่นพี่อีกงสิ! เนอะ ฮวีกยอม”
“เอ๋ อือ…”
ฉันรีบมาขวางข้างหน้าฮวีกยอมแล้วตะโกนเสียงดัง
“คนอย่างชเวซูฮยอนน่ะ เทียบไม่ได้แม้แต่ขี้เล็บของรุ่นพี่อีกงด้วยซ้ำ ในสายตาของฉันรุ่นพี่อีกงน่ะ ทั้งเท่กว่า แล้วก็น่าตาดีกว่าตั้งเยอะ อีกอย่างเขาก็เป็นสุภาพบุรุษจะตายไป”
ฉันแกล้งตะโกนพูดชื่อรุ่นพี่อีกงออกมาเสียงดังๆ พลางเสริมด้วยถ้อยคำที่สละสลวยอีกมากมาย มันก็จริงอยู่หรอกที่ว่าฉันน่ะชอบรุ่นพี่อีกง แต่มันก็เพราะว่าฉันไม่อาจจะทนฟังคำวิจารณ์เรื่องของชเวซูฮยอนไปมากกว่านี้ได้น่ะสิ
“…นี่ เซจิน”
วินาทีนั้น เพื่อนที่นั่งข้างๆ ฉันก็ทำสีหน้าลำบากใจพลางจับมือของฉันเอาไว้
“ทำไม ฉันพูดผิดหรือไงล่ะ”
“ไม่ ไม่ใช่อย่างนั้น…”
พอฉันแกล้งทำเป็นพูดจาห้วนๆ ขึ้นมา เพื่อนคนนั้นก็ส่ายหน้าเลิ่กลั่ก พลางผลักให้ฉันหันหลัง ฉันที่หันหลังไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ ก็พบว่าชเวซูฮยอนมายืนอยู่ข้างหลังฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เจ้าหมอนั่นที่ทอดสายตามองมาที่ฉันด้วยสีหน้านิ่งเฉยค่อยๆ นั่งลงกับที่แล้วหยิบตำราเรียนออกมาจากกระเป๋า
“…ก็แค่นี้เอง”
รู้สึกหน้าชาไปหมดเลยแฮะ ฉันเกลียดตัวเองที่มักจะดูตัวเล็กลงเรื่อยๆ เมื่อเห็นหมอนั่น แต่ว่าจะให้ทำไงได้ละ ต่อให้ร้องเพลง ไม่ชอบ ไม่ชอบ ยังไง ฉันก็ยังเกลียดหมอนั่นไม่ลง
ถึงฉันจะไม่ชอบหมอนั่นเข้าไส้ ที่เอาแต่ทำลายศักดิ์ศรีที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของฉัน แต่ฉันก็ไม่สามารถเกลียดเขาได้ลง แต่หมอนั่นก็คงจะเกลียดฉันละสินะ บางทีน่ะนะ คงจะเป็นอย่างนั้นไม่ผิดแน่ๆ
รู้สึกเจ็บในใจยังไงบอกไม่ถูก
<ซูฮยอน>
หลังจากสิ้นสุดการใช้ชีวิตสั้นๆ ในอเมริกา ในวันที่ผมกลับมาเข้าเรียนในโรงเรียนใหม่เป็นวันแรก ผมก็ได้พบกับเด็กคนนั้นอีกครั้ง ถึงจะเคยเจอกันแค่เพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ผมก็สามารถจำเธอได้ เด็กผู้หญิงที่กัดริมฝีปากเพื่อที่จะกลั้นน้ำตาเอาไว้ มันเป็นสีหน้าประหลาดที่กำลังฉีกยิ้มอย่างเอาเป็นเอาตาย
สายตาของเด็กคนนั้นที่ได้บังเอิญเจอกันอีกครั้ง จ้องมองมาทางผมอย่างเย็นชา มันคือสิ่งที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดีเมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คนแปลกหน้า และห้องเรียนที่ไม่คุ้นชิน ความรู้สึกเป็นศัตรู ผมเริ่มคุ้นเคยกับสายตาแบบนั้นมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว
“นักเรียนใหม่ ไหนลองแนะนำตัวเองสิ”
“…ผมชื่อชเวซูฮยอนครับ”
ขณะที่ผมแนะนำตัวตามคำสั่งของอาจารย์ตามปกติ ผมก็ยังไม่อาจละสายตาไปจากเด็กคนนั้นได้ หรือจะเป็นเพราะความรู้สึกเป็นศัตรูที่รุนแรงนั่น ซึ่งผมสัมผัสได้อย่างเด่นชัดแม้จะอยู่ภายในห้องเรียนที่มีเสียงดังอึกทึกกันนะ
“ซูฮยอนเพิ่งจะกลับมาจากอเมริกา เพราะงั้นพวกเธอก็ช่วยเหลือเขาให้มากๆ หน่อยละ”
“ครับ/ค่ะ”
“ไหนดูสิ ที่นั่งก็…”
แม้แต่ในระหว่างที่สายตาของอาจารย์สอดส่องไปทั่วห้องเรียน ผมก็ยังคงมองจ้องไปที่เด็กคนนั้นอย่างไม่ละสายตา เด็กคนนั้นเองก็ไม่หลบสายตาของผมเช่นกัน ผมสงสัยจังว่าเธอกำลังคิดเรื่องอะไรอยู่ เด็กนั้นจะคิดยังไงกับผมกันนะ
“ให้นั่งข้างหลังเซจินก็แล้วกัน”
ผมเห็นเด็กคนนั้นสะดุ้งเมื่อได้ยินคำพูดของอาจารย์ เธอชื่อเซจินนี่เอง ผมเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว สีหน้าของเด็กคนนั้นที่จ้องมองมาที่ผมดูจะแข็งทื่อไปในทันที
“ซวยชะมัด”
วินาทีที่ผมเดินผ่านข้างๆ เด็กคนนั้นเพื่อจะไปนั่งประจำที่ ผมก็ได้ยินเสียงเบาๆ ดังเข้ามาในหู ถึงผมจะไม่ได้หันหลังไปดู ผมก็รู้ได้ว่ามันคือเสียงของเด็กคนนั้น
ซวยชะมัด บางทีในความคิดของเด็กคนนั้น ‘ผม’ คงจะเป็นอย่างนั้นสินะ ผมคิดว่ามันก็ดูน่าสนุกดี ทั้งท่าทางตั้งแง่ใส่ผมจนเหมือนจะกินผมเข้าไปทั้งตัว แล้วก็เสียงน่ารักๆ ที่ต่างจากท่าทางขี้โมโหนั่นก็ด้วย แต่นั่นมันก็คือก่อนที่ผมจะชอบเด็กคนนั้นน่ะนะ
* * *
ผมเต้นมาตั้งแต่เด็กๆ โดยที่ไม่รู้ว่าการเต้นมันคืออะไร ภายใต้เงาของพ่อแม่ที่เป็นทั้งผู้ออกแบบท่าเต้นที่มีชื่อเสียง อีกทั้งยังเป็นผู้กำกับศิลป์ ผมถึงกับเคยได้ยินว่า ตัวเองถูกเลี้ยงขึ้นมาเพียงเพื่อบัลเลต์เท่านั้น ผมเองก็ไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไรหรอก เพราะว่านอกจากการเต้นแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรแล้วนี่นา
พอมาคิดๆ ดูในตอนนี้แล้ว คงเป็นเพราะผมกลัวต่างหาก ถ้าแม้แต่สิ่งเดียวที่ผมมีอย่างบัลเลต์ ผมยังไม่สามารถทำมันให้ดีได้ ผมก็กลัวว่าแม้แต่พ่อแม่ก็คงจะทอดทิ้งผมไป
สำหรับผมที่เป็นอย่างนั้น คนที่ชื่อคิมเซจินนั้นเป็นเหมือนกับยากระตุ้นชั้นดีเลยละ สายตาของเด็กคนนั้นที่คอยระแวดระวังผม มันทำให้ผมรู้สึกถึงความโดดเด่นของตัวเอง ถึงแม้ว่าถ้าตอนนี้ผมมาคิดๆ ดูแล้ว มันจะเป็นความรู้สึกที่ปัญญาอ่อนก็เถอะ
ผมมักจะคุ้นเคยกับการรักษามนุษยสัมพันธ์ในแบบที่คลุมเครือ การเว้นระยะห่างพอประมาณ และการจัดการกับท่าทางที่แสดงออกมา ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป ผมจึงเข้ากันได้ดีกับผู้คนส่วนใหญ่ และผมก็คิดว่าอีกไม่นานผมก็จะเป็นอย่างนั้นกับคิมเซจินเช่นกัน
แต่เด็กคนนั้นแตกต่างออกไป จนจบการศึกษาในระดับมัธยมต้น ผมก็ยังไม่เคยได้คุยกับคิมเซจินเลยสักครั้ง เธอแตกต่างจากคนอื่นๆ ที่ส่วนใหญ่แล้ว พอเวลาผ่านไปก็จะสามารถเข้ากันไปได้เอง เด็กคนนั้นแผ่รังสีความเป็นศัตรูออกมาจากทั่วทั้งตัว จนผมเองก็ไม่รู้ว่าควรจะรับมือกับมันยังไง
และแล้ววันหนึ่ง ผมบังเอิญเห็นคิมเซจินอยู่ในย่านที่มีผู้คนพลุกพล่าน วินาทีที่ผมเห็นเธอเดินเข้าไปในโรงหนังด้วยกันกับรุ่นพี่ลีอีกงที่เด็กคนนั้นดูจะใฝ่ฝันเป็นพิเศษ หน้าอกข้างหนึ่งของผมก็รู้สึกเหมือนจะพังทลายลงไป ในตอนนั้นเองที่ผมเพิ่งจะรู้ตัวว่า ผมน่ะ กำลังชอบเด็กคนนั้นอยู่ กำลังชอบคิมเซจิน
“พอซะทีเถอะ”
“…ว่าไงนะ?”
“บอกว่าให้พอไง”
มันเป็นคำพูดที่ออกมาจากหัวใจที่เจ็บแปลบ นอกจากนี่จะเป็นการแสดงร่วมกันกับคิมเซจินครั้งแรกแล้ว มันยังเป็นการแสดงปาเดอเดออีกด้วย ผมที่เคยคิดเองเออเองว่าคงจะสามารถเข้าใกล้เด็กคนนั้นได้อีกสักนิด กลับรู้สึกเกลียดชังเด็กคนนั้นที่คอยแต่จะปามีดมาทางผมโดยไม่รู้จักหยุดหย่อน ผมพยายามอย่างที่สุดเพื่อที่จะเก็บกดความรู้สึกเอาไว้ สีหน้าของคิมเซจินดูจะบึ้งตึงอย่างรุนแรงเมื่อได้ยินคำที่ผมพูด
“แค่เวลาจะซ้อมยังไม่พอเลย อย่ามาเสียเวลาไปกับเรื่องแบบนี้เลยนะ”
“…วะ ว่าไงนะ”
คิมเซจินขย้ำคอเสื้อของผมอย่างแรงด้วยมือที่เรียวเล็ก เสียงของเธอแหลมขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
“ฉันเกลียดนายตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอแล้ว แค่ไปเรียนแลกเปลี่ยนกลับมา มันมีอะไรน่าภูมิใจนักเหรอ”
“…”
“ก็แค่มีเงิน กะอีแค่เรียนแลกเปลี่ยนน่ะเหรอ ใครก็ไปได้ทั้งนั้นแหละ เลิกแสร้งทำเก่ง ทั้งที่หลบอยู่ข้างหลังพ่อแม่ซะทีเถอะ!”
อ้า เพราะอย่างนี้เองสินะ อยู่ดีๆ ผมก็รู้สึกขมๆ ที่ปลายลิ้น
“คนอย่างนายน่ะ มันเฮงซวยที่สุดเลย”
“เซจิน พอเถอะน่า”
“พอนายกลับมา ทุกอย่างก็เพี้ยนไปหมด ทุนที่ตอนแรกฉันควรจะได้ นายก็มาแย่งไป”
“…”
“ก็แหงละ นายมันได้ท็อปอยู่ทุกวัน คงไม่เข้าใจความรู้สึกแบบนี้สินะ็แ”
ถ้อยคำที่เต็มไปด้วยความเกลียดชังเสียดแทงจิตใจของผมเข้ามาอย่างจัง
“ถ้าแข่งกันด้วยฝีมือ ฉันไม่มีทางแพ้คนอย่างนายหรอก”
“…”
“คนอย่างนาย ถ้าหายไปให้พ้นหน้าฉันได้ก็ดี”
ทำไมกันนะ ทั้งที่รู้สึกเจ็บปวดหัวใจเอามากๆ แต่ผมกลับเป็นทุกข์ยิ่งกว่าเมื่อได้เห็นสีหน้าเจ็บปวดของคิมเซจิน
“เธอนี่มัน สร้างบาดแผลให้คนอื่นโดยที่ตัวเองไม่รู้สึกอะไรเลยงั้นสินะ”
คำพูดที่มาจากใจอันบอบช้ำของผม กลับเป็นฝ่ายทิ่มแทงหัวใจผมเสียเอง ใบหน้ากระวนกระวายใจของคิมเซจินวนเวียนอยู่ในตาของผม ผมควรจะทำยังไงกับเธอดี