<เซจิน>
ขณะที่ฉันนอนเหม่อมองเพดานอยู่ภายในห้อง ใบหน้าของชเวซูฮยอนก็เอาแต่ลอยขึ้นมา ใบหน้าที่ดูเจ็บปวดแบบสุดๆ และน้ำเสียงที่ปนกับเสียงถอนหายใจเฮือกใหญ่
ฉันกอดหมอนที่กลิ้งไปมา พร้อมกับสูดหายใจเข้าลึกๆ อึดอัดจัง อึดอัดจะตายอยู่แล้ว นี่มันอะไรกัน หัวใจมันรู้สึกเจ็บแปลกๆ
“บ้าเอ๊ย”
อีตานั่นมารังควานฉันทำไมกันแน่เนี่ย ฉันเอาหน้าซุกหมอน พลางกรีดร้องออกมา อ๊ากกก แต่ว่าความอึดอัดก็ยังไม่หายไป
“ฉันไม่รู้สึกผิดหรอก ไม่รู้สึกผิด ไม่มีทาง”
ฉันพึมพำไม่หยุด ขณะที่พยายามสลัดชเวซูฮยอนออกไปจากความคิด ใช่แล้ว ฉันไม่รู้สึกผิดต่อหมอนั่นหรอก ก็มันเป็นความจริงทั้งหมดนี่นา ไม่ได้แต่งเรื่องขึ้นมาสักหน่อย แต่ว่า…
“โธ่เว้ย”
ขณะที่ถอนหายใจ ฉันไม่ได้รู้สึกผิดนะ ไม่ได้รู้สึกผิดจริงๆ แต่ว่าทำไมฉันถึงคอยเอาแต่นึกถึงสีหน้าของหมอนั่นที่เหมือนกับคนที่ได้รับบาดเจ็บกันนะ
“…ขอโทษดีไหมนะ”
คำที่จู่ๆ ก็หลุดออกมาจากปากของฉันทำให้ฉันสะดุ้งตกใจจนลุกพรวดออกจากที่ ขอโทษบ้าบออะไรเล่า ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดสักหน่อย! ฉันปลอบใจตัวเอง พลางนอนลงอีกรอบ แต่แล้วใบหน้าของชเวซูฮยอนก็ลอยขึ้นมาบนเพดานอีกครั้ง โอ๊ยยย ให้ตายสิ หัวมันอย่างกับจะระเบิดออกมา
<ซูฮยอน>
หลังจากวันนั้น สงครามเย็นก็ดำเนินต่อเนื่องไปอย่างยาวนาน ถ้าบอกว่าไม่รู้สึกเสียดายเลยสักนิดก็คงจะเป็นเรื่องโกหก แต่ผมก็ไม่ได้เสียดายถึงขนาดที่จะต้องโกรธหรอกนะ ก็แค่รู้สึกเจ็บปวดหัวใจเท่านั้นแหละ
ตอนนี้อาการเจ็บปวดหัวใจที่เกิดขึ้นค่อนข้างช้า เริ่มจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น แววตาดุดัน และใบหน้าเย็นชาของคิมเซจินที่ผมได้เจอทุกวัน เป็นเหมือนกับลูกศรน้ำแข็งที่คอยแต่ทิ่มแทงใจของผม
ผมมุ่งมั่นกับการฝึกฝนให้หนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม พอผมตั้งใจจะลงโทษหัวใจที่สับสนวุ่นวาย การอยู่เฉยๆ ก็ดูจะไม่ได้ช่วยอะไรเลย
แล้วในระหว่างนั้น ในตอนที่ผมกำลังเต้นอย่างบ้าคลั่งอยู่ในโรงเรียนตอนเช้าตรู่โดยที่ไม่เปิดไฟ ผมก็ได้เผชิญหน้ากับคิมเซจินอย่างไม่คาดคิด
คิมเซจินที่กำลังกัดริมฝีปากมายืนอยู่ตรงหน้าผม เธอลังเลอยู่สักพัก ก่อนที่จะขยับริมฝีปากที่แดงระเรื่อ
“ตอนนั้นฉันขอโทษ! ตั้งใจจะมาพูดแค่นี้แหละ”
“…”
“…ฉันขอโทษ ตอนนั้นฉันพูดแรงเกินไป”
แก้มทั้งสองข้างของคิมเซจินกลายเป็นสีแดงอย่างกับลูกแอปเปิ้ลสุก ผมเลยอดไม่ได้ที่จะมองเหม่อไปที่เธอ แม้แต่ใบหูที่แดงจนเท่ากับใบหน้าก็ยังเห็นเด่นชัดขึ้นมาในความมืด ท่าทางที่ดูแปลกตาไปของคิมเซจินทำให้ผมยืนนิ่งไม่ไหวติง ขณะที่ผมเผลอกลืนน้ำลายลงไปโดยไม่รู้ตัว อยู่ๆ ผมก็คิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง รู้สึกอย่างกับว่าภายในหัวมันกลายเป็นสีขาวโพลนไปหมด
“อือ”
ผมอาจจะกำลังหน้าเสียแบบสุดอยู่ก็ได้ ผมจึงรีบหันหน้าไปอีกทาง ก่อนจะบีบเค้นพลังทั้งหมดของร่างกายออกมา ถึงจะสามารถตอบรับออกไปได้ แต่น้ำเสียงแข็งๆ นั่นทำให้ผมรู้สึกเสียดาย
นี่ผมกำลังทำสีหน้าอะไรอยู่กันแน่นะ กำลังยิ้มอยู่หรือเปล่านะ ขณะที่ลังเลอยู่ว่าควรจะพูดอะไรออกไปอีกดี เสียงตะโกนโกรธๆ ของคิมเซจินก็ดังมาจากข้างหลัง
“หน็อย คนอื่นเขาขอโทษดีๆ แต่นายกลับตอบแค่นั้นเนี่ยนะ”
“…”
“ช่างเหอะ ฉันจะไปหวังอะไรจากนายได้ งั้นฉันไปก่อนนะ”
คิมเซจินที่หันหลังขวับไป สะพายกระเป๋าขึ้นมาแล้วเดินออกไปทางประตูหลัง ผมเห็นไหล่มนๆ และแผ่นหลังเล็กๆที่ค่อยๆ ห่างไกลออกไป วินาทีนั้น ผมไปเอาความกล้าแบบนั้นมาจากไหนกันนะ
“คิมเซจิน เดี๋ยวก่อน”
“ทำไม”
ชั่วขณะที่ผมเห็นใบหน้าของเธอที่หันหลังกลับมา ผมจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าผมกำลังพูดอะไรออกไป มันดูเหมือนจะเป็นอะไรสักคำที่วกไปวนมา แต่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงตัวเองดังเข้ามาในหูเลยสักนิด คิมเซจินที่กำลังจ้องเขม็งมาที่ผมด้วยสีหน้าไม่พอใจหันหน้ากลับไป แล้วเริ่มห่างไกลจากผมไปอีกครั้ง
ผมจะต้องรั้งเธอเอาไว้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ที่เสียงตะโกนที่ไม่มีที่มากำลังดังกึกก้องไปทั่วภายในใจของผม จับไว้ รั้งไว้สิ ผมจับไหล่มนๆ เล็กๆ นั่นเอาไว้แล้วพลิกตัวให้เธอหันกลับมา ดวงตาของคิมเซจินที่มองมาที่ผมเบิกโตด้วยความตกใจ
แก้มทั้งสองข้างที่กลายเป็นสีแดงแอปเปิ้ล ดวงตาที่เป็นประกายแม้อยู่ในความมืด ขนตาที่กำลังสั่นเล็กๆ และกลิ่นของแชมพูที่ยังไม่จางหายไป
ในตอนที่ผมรู้สึกได้ถึงมันทั้งหมด คือตอนที่ปากของผมประกบลงไปบนริมฝีปากของคิมเซจินเรียบร้อยแล้ว ข้อมือเล็กๆ ของคิมเซจินที่อยู่ในมือข้างหนึ่ง และริมฝีปากแดงๆ ที่เคยถูกกัด ผมสัมผัสได้ว่ามันกำลังสั่นไม่หยุด
“…อะ อะไรของนายน่ะ”
ผมนึกว่าอย่างน้อยผมน่าจะถูกชกสักหมัดด้วยซ้ำ แต่เซจินกลับมองผมด้วยแววตาที่สั่นเครือไม่หยุด และใบหน้าที่แดงจนเหมือนจะระเบิดออกมาอย่างไม่มีสาเหตุ สักพักใหญ่ๆ กว่าที่เธอจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก และนั่นก็ทำให้ผมดึงคิมเซจินเข้ามากอดอย่างไม่รู้ตัว พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ฉันชอบเธอ คิมเซจิน”
ดูเหมือนคิมเซจินจะตกใจเอามากๆ กับคำสารภาพรักอย่างกะทันหันของผม คิมเซจินที่เอาแต่จ้องหน้าผมนิ่งไม่วางตา ไม่ได้ตอบโต้อะไรกลับมา และเอาแต่ยืนหันหลังพร้อมกับปิดปาดเงียบสนิท ผมมองดูแผ่นหลังนั่นค่อยๆ เดินจากไป และได้แต่กำมือไว้แน่น
แม้ว่ามันจะเป็นความรักที่ไม่สมหวังก็ช่าง ยังไงผมก็ยังชอบเธออยู่ดี
<เซจิน>
นั่นมันเป็นอุบัติเหตุที่คาดไม่ถึงจริงๆ เสียงที่กรีดร้องจนหูแทบแตกทำให้ฉันต้องเงยหน้าขึ้นไปมองแสงไฟที่สาดส่องลงมาที่ตา
ทันทีที่ฉันรู้สึกได้ถึงแขนที่โอบกอดตัวฉันซึ่งแข็งทื่อจนกรีดร้องไม่ออกเอาไว้อย่างรวดเร็ว เสียงดังสนั่นที่ทำให้ขนลุกก็ดังขึ้น ฉันที่ล้มลงไปกองกับพื้นไม่สามารถตั้งสติเอาไว้ได้อยู่สักพัก นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกัน ฉันไม่เข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้เลยสักนิด
ฉันประคองร่างกายที่สั่นไปหมดแล้วเงยหน้าขึ้น ก่อนจะได้เห็นว่ามีเศษซากของโคมไฟแตกกระจายอย่างน่ากลัวอยู่บนเวที วินาทีนั้นฉันรู้สึกมึนอย่างบอกไม่ถูก
ขณะที่ฉันไม่สามารถขยับเขยื้อนได้อย่างใจนึก ฉันก็เห็นชเวซูฮยอนที่ล้มทับลงบนตัวฉัน วินาทีนั้น ภายในหัวของฉันขาวโพลนเหมือนกับกระดาษ
เสียงของผู้คนที่เข้ามามุงรอบๆ ดังอึกทึกอย่างกับเสียงของไซเรน มันทั้งเบาและฟังดูไกลออกไป ในตอนที่ฉันมองดูร่างของชเวซูฮยอนถูกเปลหามออกไป ฉันถึงได้ตั้งสติได้และกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่งในอ้อมกอดของอีเซ
“ฉันขอโทษ”
ใบหน้าของชเวซูฮยอนที่ได้เจอในห้องคนไข้นั้นซีดเซียวจนสังเกตได้ คำขอโทษที่ออกมาจากปากของฉันหลังจากที่ไม่ได้ยินมานาน ทำให้ชเวซูฮยอนยิ้มออกมานิดๆ
จู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมาจากตาของฉัน ตอนนี้ฉันควรจะทำสีหน้ายังไงตอนมองหน้านายดีนะ ฉันกุมหน้าอกที่เจ็บจี๊ดขึ้นมาจนเหมือนจะแตกสลายเอาไว้แน่น พลางพูดแต่คำว่าขอโทษไปเรื่อยๆ
ขอโทษนะที่ฉันไม่รู้ความรู้สึกของนาย ขอโทษนะที่ทำให้นายเจ็บปวด ขอโทษนะที่ต้องมาบาดเจ็บ
ทั้งๆ ที่มีคำอยู่ตั้งมากมายที่ฉันอยากจะบอกออกไป ทั้งๆ ที่มีคำที่ต้องพูดอีกตั้งเยอะแยะ นอกจากคำว่าขอโทษ แต่มันกลับไม่หลุดออกมาจากปากเลยสักนิด สัมผัสอันนุ่มนวลจากมือของชเวซูฮยอนกำลังลูบไล้หัวของฉันที่เอาแต่ขอโทษ
“ที่จริง ไม่ใช่ตรงหัวหรอกนะ ที่เธอทำให้ฉันเจ็บน่ะ เธอก็พิลึกเหมือนกันนั่นแหละ”
“…หือ”
“ตรงนี้ต่างหากละที่เธอทำให้มันเจ็บน่ะ แต่ทำไมเธอถึงเอาแต่ขอโทษเรื่องหัวอยู่ได้นะ พิลึกคนจริงๆ”
ท่าทางของชเวซูฮยอนที่ชี้ไปที่หน้าอกตัวเองพลางยิ้มแปลกๆ ดูเลือนรางในตาของฉัน ฉันมองเหม่อไปที่หมอนั่น ขณะที่กลืนน้ำลายแห้งๆ ลงคอ มือของชเวซูฮยอนที่เช็ดแก้มเลอะเทอะของฉันกำลังสั่นเล็กๆ
ฉันได้ยินเสียงอีเซ ฮวีกยอม และรุ่นพี่อีกงที่มาพร้อมกันเดินออกจากห้องไป พวกเราไม่พูดอะไรกันอยู่สักพัก และต่างเอาแต่จ้องหน้ากันไปมา ไม่สิ ดูเหมือนคำพูดจะไม่จำเป็นต่างหากละ
สายตาของชเวซูฮยอนที่จ้องมองฉันอย่างไม่ละสายตาดูแปลกใหม่สำหรับฉัน เมื่อเทียบกับสายตาที่มักจะมองตรงมาจนทำให้ฉันรู้สึกอึดอัดใจแล้ว ตอนนี้มันกลับให้ความรู้สึกอบอุ่นแทน ชเวซูฮยอนมีสายตาแบบนี้เองสินะ ไม่สิ บางทีอาจจะเป็นฉันเองก็ได้ที่ตลอดมาไม่เคยจะได้มองหน้าหมอนั่นตรงๆ น่ะ
ทั้งเสียงของชเวซูฮยอนตอนที่สารภาพว่ารักฉัน ทั้งแววตาของชเวซูฮยอนที่มักจะจ้องมองมาที่ฉัน รวมไปถึงริมฝีปากของชเวซูฮยอนที่สัมผัสลงมาอย่างไม่คาดคิด สิ่งต่างๆ ผุดขึ้นมาในหัวตามลำดับ ความทรงจำทั้งหมดที่เป็นเหมือนกับหนังม้วนหนึ่งท่วมท้นขึ้นมา จนทำให้ฉันทำได้เพียงแต่จ้องมองไปที่ชเวซูฮยอนอีกครั้งโดยไม่พูดอะไร
“ถ้าเกิดเธอบาดเจ็บละก็ ฉันคงจะทรมานยิ่งกว่านี้อีก”
“…”
“เพราะงั้นก็เลิกขอโทษได้แล้ว และก็ขอบใจนะที่เธอไม่บาดเจ็บอะไรน่ะ”
เสียงของชเวซูฮยอนดังขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มที่ถึงจะแปลกแต่ก็รู้สึกอบอุ่น ฉันเอาแต่กัดริมฝีปากไว้แน่นเพื่อกลั้นน้ำตาที่เหมือนจะไหลออกมาเพราะอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน แต่ซูฮยอนก็ค่อยๆ เอื้อมมือมาลูบริมฝีปากของฉัน
“ปากเน่าหมดแล้ว”
หางตายาวๆ ของชเวซูฮยอนที่โค้งต่ำลงทำให้เกิดเป็นเงาบางๆ ท้ายที่สุดฉันจึงก้มหน้าลง แล้วฉันก็สัมผัสได้ถึงสายตาของชเวซูฮยอนที่มองลงมาบนหัวของฉัน
“คิมเซจิน”
“…”
“พูดอะไรหน่อยสิ จะขี้โมโหเหมือนเดิม หรือจะบ่นไม่หยุด หรือจะด่าอะไรฉันก็ได้ ช่วยพูดอะไรออกมาสักหน่อยเถอะนะ”
น้ำเสียงที่ดูอ่อนแรงของชเวซูฮยอนดังเข้ามาในหูจนรู้สึกปวดไปหมด ฉันยังคงนั่งร้องไห้เงียบๆ ทำไมฉันถึงต้องผลักไสไล่ส่งนายขนาดนั้นกันนะ ทั้งที่นายอุตส่าห์รวบรวมความกล้ายื่นมือมาให้ฉัน ทำไมฉันถึงได้เอาแต่คอยสะบัดมือนั้นออกอย่างเย็นชากันนะ
“ถ้ารู้ว่าจะเสียใจแบบนี้ ฉันก็คงจะไม่ทำแบบนั้น”
เสียงงึมงำอย่างเหนื่อยล้าของฉันเบาเหมือนกับเสียงลม แต่ซูฮยอนก็ยังจับมือฉัน แล้วตั้งใจฟังนิ่งๆ
“ฉันคงจะไม่ทำตัวไม่ดีกับนาย ฉันไม่น่าทำเลย”
“คิมเซจิน”
“ทั้งที่ฉันเป็นคนไม่ดีขนาดนั้นแท้ๆ แล้วทำไมนายถึง…”
ทันใดนั้น ริมฝีปากที่เย็นและแข็งของฉันก็สัมผัสกับริมฝีปากอุ่นๆ ของชเวซูฮยอน ริมฝีปากของฉันที่ถูกกัดไปไม่รู้ตั้งกี่รอบกำลังสั่นเล็กๆ
ตาของฉันที่ยังไม่ทันจะปิดดี มองไปเห็นเปลือกตาหนาๆ ของชเวซูฮยอนที่หรี่ลงเล็กน้อย ลิ้นอุ่นของชเวซูฮยอนที่เลียลงมาบนริมฝีปากของฉันอย่างอ่อนโยนให้ความรู้สึกเหมือนกำลังลูบไล้อย่างเบามือ ช่างอ่อนโยนเหลือเกิน
“นี่รู้อะไรไหม”
เสียงหวานๆ ดังออกมาจากปากของชเวซูฮยอนที่ค่อยๆ ห่างออกไป
“เธอน่ะ คือเจ้าหญิงของฉัน ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
“…”
“ฉันเองก็อยากจะเป็นเจ้าชายที่เธอฝันอยู่หรอกนะ แต่ฉันคงจะเป็นไม่ได้น่ะสิ”
“…”
“เพราะฉะนั้นอย่างพูดคำนั้นอีกเลยนะ ฉันต่างหากละที่ไม่ดี เธอไม่ได้ทำผิดอะไรทั้งนั้นแหละ”
ชเวซูฮยอนอาจจะเป็นเจ้าทึ่มจริงๆ นั่นแหละ เจ้าชายทึ่มๆ น่ะ เจ้าชายสุดเซ่อผู้น่าสงสารกว่าใครๆ ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ซูฮยอนต่างหากละที่เป็นเจ้าชายน่ะ ส่วนฉันคงเป็นเจ้าหญิงคอยยืนเคียงข้างเขาไม่ได้หรอก เพราะฉันคอยแต่ทำตัวแย่ๆ ใส่เขา
“ฉันชอบนายนะ ชเวซูฮยอน”
ฉันมองไปที่ซูฮยอน แล้วรวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อพูดออกไป เรื่องเดียวที่ฉันสามารถทำให้กับเจ้าทึ่มชเวซูฮยอนได้ ก็คือการส่งผ่านความรู้สึกที่แท้จริงของตัวเองออกไปในตอนนี้
ฉันก็แค่ดันทุรังไปอย่างนั้นเพื่อไม่ให้นายได้เห็นว่าความจริงแล้วฉันชอบนาย ฉันไม่ชอบตัวเองที่ทำตัวไม่ดี ฉันเลยไม่กล้าที่จะบอกคำนั้นกับนายไป
ชเวซูฮยอนมองมาที่ฉันด้วยสายตาตกตะลึง ฉันมองไปที่ดวงตาคู่นั้นที่ทั้งลึกและหนักแน่น ดวงตาคู่ที่กำลังกลอกไปมาด้วยสีหน้าเลิ่กลั่ก พร้อมกับพูดออกไปอีกครั้งด้วยพลังทั้งหมด
“ฉันชอบนายจริงๆ”
ฉันชอบนาย เจ้าชายสุดทึ่มของฉัน