มันช่างเป็นคืนที่ยาวนานเป็นพิเศษ ฉันได้แต่พลิกตัวไปมาอยู่พักใหญ่เพราะนอนไม่หลับ จนในที่สุด ทันทีที่แสงสว่างส่องเข้ามา ฉันก็ลุกขึ้นแล้วกำมือถือเอาไว้ในมือแน่น ขณะที่เดินวนไปมาอยู่ภายในห้องด้วยความวุ่นวายใจ 

 

 

วันนี้คือวันประกาศผลการคัดเลือกเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศของการแข่งขันที่โลซานน์ ผลจะถูกส่งมาที่โรงเรียน ดังนั้นครูประจำชั้นจะเป็นคนติดต่อมาว่าจะผ่านหรือไม่ 

 

 

ความจริงแล้ว ฉันเองก็ไม่ใช่พวกอัจฉริยะระดับรุ่นพี่อีกงหรือว่าเซจิน แล้วก็ไม่ใช่คนที่เริ่มเต้นบัลเลต์ตั้งแต่ยังเดินเตาะแตะเหมือนกับอีเซ หรือว่าจะเคยมีประสบการณ์ไปเรียนต่อต่างประเทศเหมือนกับซูฮยอนด้วย 

 

 

อีกทั้งฉันเองก็ไม่ได้มีทั้งพรสวรรค์ แล้วก็ความสมดุลของร่างกายเหมือนกับคนอื่นๆ ฉันก็เป็นเพียงแค่นักเต้นธรรมดาแบบสุดๆ ที่เห็นได้ทั่วไป ถ้าจะให้นับข้อดีจริงๆ จังๆ ก็คงจะเป็นท่าเทิร์นเอ๊าท์ดีกับไลน์ในการตั้งท่าที่ไม่เลวละมั้ง 

 

 

แล้วคนอย่างฉันเนี่ยนะจะไปโลซานน์ เมื่อไม่กี่เดือนที่แล้ว ฉันยังไม่กล้าแม้แต่จะฝันถึงด้วยซ้ำ แม้แต่ตอนที่ได้ยินว่ารุ่นพี่อีกงจะเลิกเต้นคลาสสิก ฉันก็ยังกังวลอยู่เลยว่าจะสามารถเต้นบัลเลต์ต่อไปได้หรือเปล่า 

 

 

แต่ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ ที่ฉันเริ่มจะจริงจังขึ้นมาทีละนิด แล้วพอฉันเริ่มตั้งสติได้ ภายในใจของฉันก็มีไฟอันเร่าร้อนเติบโตขึ้นมาใหม่อย่างไม่รู้ตัว ความหลงใหลที่พอๆ กับความฝันที่จะได้เต้นปาเดอเดอกับรุ่นพี่อีกง  

 

 

แม้ว่าฉันจะไม่สามารถเดินบนเส้นทางเดียวกันกับรุ่นพี่ได้ แม้ว่าจะอยู่ในโลกของคลาสสิกที่ไม่มีรุ่นพี่ บัลเลต์ก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของฉันไปเรียบร้อยแล้ว 

 

 

นั่นคงจะเป็นเพราะรุ่นพี่ด้วยละมั้ง ฉันมองหน้าของรุ่นพี่ที่อยู่บนจอโทรศัพท์พลางอมยิ้มออกมาเล็กๆ 

 

 

พอได้มองดูภาพของรุ่นพี่ที่ท้าทายสิ่งใหม่ๆ ไฟก็ลุกโชนขึ้น ฉันอยากจะกลายเป็นนักเต้นสุดเท่ที่ไม่เป็นตัวถ่วงของรุ่นพี่ เป็นเพราะรุ่นพี่ที่คอยกระตุ้น คอยให้กำลังใจ และสนับสนุนฉันอย่างอ่อนโยนเสมอ ฉันจึงได้รับความกล้าหาญนั้นมา 

 

 

ฉันอยากจะเดิมพันทุกอย่างของฉันกับการแข่งขันที่โลซานน์ ซึ่งกลายเป็นการท้าทายครั้งที่ใหญ่ที่สุดในตอนนี้ และทำมันออกมาให้ดีที่สุด  

 

 

เป้าหมายคือรอบชิงชนะเลิศ ฉันจ้องคำนั้นที่ติดอยู่บนโต๊ะในห้องอย่างไม่วางตา พร้อมกับพึมพำออกมาไม่หยุด ขณะที่กำโทรศัพท์มือถือเอาไว้ด้วยใจที่รุ่มร้อนมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

ในตอนนั้นเองเสียงเตือนสั้นๆ ที่บอกว่าได้รับข้อความใหม่ก็ดังขึ้น ฉันค่อยๆ กดปุ่มตรงกลาง แล้วตรวจดูชื่อผู้ส่งในหน้าต่างข้อความ ตรงหัวหน้าต่างสี่เหลี่ยมมีตัวอักษรเขียนว่า อาจารย์ประจำชั้น พร้อมกับข้อความสั้นๆ ว่า ‘ประกาศผลโลซานน์!’ 

 

 

“มาแล้ว!” 

 

 

หลังจากที่ฉันเผลอแผดเสียงดังออกมา ฉันก็ใช้นิ้วมือที่สั่นหงึกหงักกดลงที่ปุ่ม ‘ดูข้อความ’ ในหน้าต่างข้อความอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหลับตาสนิททั้งสองข้าง 

 

 

โอ๊ย ทนดูไม่ได้ ทั้งที่จนถึงเมื่อกี้ ฉันสัญญากับตัวเองเป็นร้อยๆ รอบอย่างใจเย็น กำชับแล้วกำชับอีกว่าจะเช็คผลโดยที่ไม่รู้สึกอะไร 

 

 

“ใช่แล้ว คิมฮวีกยอม! เป้าหมายของเธอคือรอบชิงชนะเลิศนี่นา! แล้วเธอจะมาสั่นกับอีแค่ผลรอบคัดเลือกเข้าสู่รอบชิงได้ยังไงกัน!” 

 

 

เป็นเพราะอาการสั่นที่ลามมาจนถึงขา เลยทำให้ฉันไม่สามารถหายใจได้อย่างเต็มปอด ถึงมันจะดูน่าสงสารจับใจ แต่ไม่ว่าฉันจะลองพูดกับตัวเองอย่างมั่นใจสักเท่าไหร่ เสียงของฉันก็ยังสั่นไม่หยุดเหมือนกับนักกีฬาที่ติดเครื่องรับแรงกระแทกเอาไว้ 

 

 

ฉันพยายามสงบสติอารมณ์ที่เหมือนกับว่าเส้นเลือดเล็กๆ ทั่วทั้งตัวกำลังกระโดดโลดเต้นไปมา ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ พลางค่อยๆ เปิดเปลือกตาที่กำลังปิดอยู่ขึ้นมา ตึกตัก ตึกตัก แม้แต่ที่ปลายนิ้วก็เหมือนมีเส้นชีพจรกำลังเต้นอยู่ 

 

 

ระหว่างนั้นที่สายตาของฉันเริ่มจะชินกับความมืดแล้ว สายตาที่มองเห็นเลือนรางอยู่สักพักก็เริ่มกลับมาเป็นเหมือนเดิม และทันใดนั้นภาพๆ หนึ่งที่ส่งมาพร้อมกับข้อความของอาจารย์ประจำชั้นก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้น 

 

 

“…!” 

 

 

วินาทีนั้น ฉันกลืนคำอุทาน เฮือก ลงไป พลางรีบเอามือข้างหนึ่งมาปิดปากตัวเองเอาไว้ แล้วจึงขยี้ตา กะพริบตา ขยี้ตา แล้วก็กะพริบตาอีก 

 

 

“…เป็นไปไม่ได้” 

 

 

ในที่สุดเสียงที่ใกล้เคียงกับเสียงถอนหายใจก็ดังออกมาจากปากของฉัน ในรูปภาพที่อาจารย์ประจำชั้นส่งมานั้น แถวสุดท้ายข้างใต้ข้อความสั้นๆ ในภาษาอังกฤษ มีชื่อของฉันเขียนอยู่ 

 

 

 

 

 

[ผ่านแล้วนะ ฮวีกยอม! ไปสวิตกันเถอะ!] 

 

 

 

 

 

ช่วงเวลาที่ฉันอ่านข้อความของอาจารย์ประจำชั้น ฉันก็อดไม่ได้ที่จะกรีดร้องออกมา ทำไงดีตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่แล้ว ทำไงดี ในตอนที่ฉันพูดพลางกระทืบเท้าไปมา และเอาแต่จ้องไปที่ข้อความนั้นอย่างไม่วางตา  

 

 

จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ที่หน้าจอมีข้อความเขียนว่า ‘คิมเซจิน’ เด้งขึ้นมา 

 

 

“เซจิน!” 

 

 

ทันทีที่ฉันกดปุ่มรับสาย ฉันก็เรียกชื่อเซจินเสียงดังลั่นออกมา แล้วเสียงกรีดร้องสูงแหลมที่มีลักษณะเฉพาะตัวของเซจินก็ดังกังวานออกมาจากหูโทรศัพท์ 

 

 

[เป็นไง! คิมฮวีกยอม! นี่! เพื่อน! พวกเราได้ไปด้วยกันจริงๆ ใช่ไหม ใช่ไหม] 

 

 

“เซจิน…” 

 

 

ฉันดีใจที่มีชื่อของตัวเองอยู่ในนั้น จนลืมแม้แต่จะตรวจสอบชื่อของผู้ที่ผ่านเข้ารอบคนอื่นๆ แต่ถ้าเป็นเซจินละก็ ฉันคิดว่าเธอน่าจะผ่านอย่างแน่นอน  

 

 

และคำว่า ‘ด้วยกัน’ ที่หลุดออกมาจากปากของเซจินก็ทำให้ฉันแน่ใจ ในตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งรู้สึกว่านี่คือเรื่องจริง จนน้ำตาเหมือนกำลังจะระเบิดออกมา 

 

 

[โอ๊ย อย่างกับฝันจริงๆ] 

 

 

“ฉันด้วย ฉันก็รู้สึกอย่างนั้นเหมือนกัน” 

 

 

พวกเราส่งเสียงดังโวยวาย ปนกับคำอุทานอยู่อย่างนั้นสักพัก จนเมื่อพวกเราหมดแรง พวกเราต่างก็แสดงความยินดีใส่กันไม่หยุดด้วยเสียงแหบพร่า 

 

 

[เออใช่ เธอควรจะโทรบอกรุ่นพี่อีกงนะ!] 

 

 

“อือ บอกอยู่แล้วละ ฉันว่าจะโทรไปหลังจากที่คุยกับเธอเสร็จน่ะ” 

 

 

[อีเซเองก็ติดนะ แล้วถ้ารวมชเวซูฮยอนเข้าไปด้วย ก็จะกลายเป็นว่ามีพวกเราที่เป็นนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งติดตั้งสี่คน นี่มันเหลือเชื่อชะมัด] 

 

 

เซจินตะโกนกรีดร้องสุดเสียงขึ้นมาอีกครั้ง อีเซกับซูฮยอนก็ได้ไปด้วยกันสินะ โอ๊ย มันค่อยๆ รู้สึกเหมือนกับความฝันขึ้นมาทีละนิด 

 

 

[อ๊ะ มีข้อความส่งมา แป๊บนะ!] 

 

 

เซจินพูดแต่คำว่า ‘เป็นไปไม่ได้’ ขึ้นมาซ้ำๆ อยู่อย่างนั้น ระหว่างที่เช็คดูข้อความอยู่สักพัก ในมือถือของฉันเองก็มีข้อความใหม่เด้งขึ้นมาเช่นกัน  

 

 

ฉันกำลังรอที่จะให้เซจินพูดขึ้นมาอยู่ แต่จู่ๆ เสียงของเซจินที่เต็มไปด้วยความมึนงงก็ดังออกมาจากปลายสาย 

 

 

[นี่… กยอมกยอม] 

 

 

“หือ ทำไมเหรอ” 

 

 

[…ไม่มีชเวซูฮยอน] 

 

 

“อ้าว หมายความว่าไง” 

 

 

[รายชื่อล่าสุดที่อาจารย์เพิ่งส่งมาไม่มีชเวซูฮยอน] 

 

 

“…จะเป็นไปได้ยังไง” 

 

 

ดูเหมือนเซจินจะงุนงงสุดๆ ฉันรีบเปิดดูข้อความใหม่ที่เพิ่งจะได้รับเมื่อกี้นี้ทันที 

 

 

“ชั้นปีที่สอง ห้องบี จองโซยอน, ชั้นปีที่หนึ่ง ห้องเอ คิมเซจิน ลีอีเซ คิมฮวีกยอม…เอ๋” 

 

 

จริงด้วย ไม่มีซูฮยอนจริงๆ ด้วย ฉันอดไม่ได้ที่จะสงสัย ทั้งที่ตามประวัติการได้รับรางวัลจากการแข่งขันต่างๆ ของซูฮยอนแล้ว เขาน่าจะถูกละเว้นในการแข่งรอบคัดเลือก แล้วถูกตัดสินให้ไปแข่งที่สวิตด้วยซ้ำ แล้วอีกอย่าง…ทำไมถึงต้องเป็นรุ่นพี่โซยอนด้วยนะที่ได้ไปด้วยกัน 

 

 

ฉันเอานิ้วมือนวดขมับที่ปวดตุบๆ พลางนั่งลงบนเตียง ปลายสายเงียบมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว ความเงียบที่ทั้งทำให้รู้สึกอึดอัดและหนักหน่วง ทำให้ฉันไม่รู้ว่าตัวเองควรจะพูดอะไรออกไปดี 

 

 

“คงเป็นการเข้าใจผิดแหละ แบบว่า อย่างชเวซูฮยอน ยังไงก็ต้องติดอยู่แล้วสิ” 

 

 

[…ที่จริงฉันก็มีอะไรบางอย่างที่ค้างคาใจอยู่นิดหน่อยน่ะ] 

 

 

แม้ว่าจะแกล้งทำน้ำเสียงสดใจเหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความหมายในคำตอบของเซจิน ก็ทำให้ฉันคาดเดาได้รางๆ  

 

 

วินาทีที่ฉันตรวจดูว่าไม่มีชื่อของซูฮยอนอยู่ในรายชื่อด้วยตาทั้งสองข้าง เรื่องเมื่อหลายเดือนก่อนก็ผุดขึ้นมา ที่ซูฮยอนแยกไปห้องพักอาจารย์เพราะว่ามีเรื่องอยากจะพูดกับอาจารย์ อีกทั้งสภาพเมื่อเร็วๆ นี้ก็ดูจะไม่ดีอย่างสังเกตได้ และเขาก็เริ่มจะขาดซ้อมในวิชาอิสระบ่อยขึ้น 

 

 

[…จะต้องเป็นผลข้างเคียงแน่ๆ] 

 

 

ไม่มีคำพูดใดดังลอดมาจากปลายสายอีกนอกไปจากเสียงหายใจเบาๆ ฉันกัดริมฝีปากล่างเอาไว้ พลางนอนลงบนเตียง เสียงสปริงดังเอี๊ยดอ๊าดไปทั่วห้องที่เงียบสงบ 

 

 

“ไม่ใช่หรอก ตอนงานแสดงประจำฤดูเขาก็ผ่านไปได้ด้วยดีไม่มีปัญหาอะไรนี่นา” 

 

 

ฉันพยายามที่จะไม่หวั่นไหว และหัวเราะออกมา ไม่ว่าจะยังไง คนที่ชอบความสมบูรณ์แบบอย่างชเวซูฮยอนเนี่ยนะ นักบัลเลต์ที่มักจะเป็นอันดับหนึ่งตอนซ้อมอย่างบ้าคลั่งอย่างชเวซูฮยอนเนี่ยนะ 

 

 

ซูฮยอนที่ฉันรู้จัก ต่อให้เป็นโรคที่เกิดจากผลข้างเคียงยังไง หมอนั่นก็คงจะเอาชนะมันด้วยใจที่หนักแน่น ซูฮยอนที่เป็นแบบนั้น กลับยอมแพ้เรื่องโลซานน์เพราะผลข้างเคียงเนี่ยนะ ให้ตายสิ ยังไงฉันก็ไม่มีทางเชื่อหรอก 

 

 

[…ฉันเองก็หวังว่ามันจะเป็นอย่างนั้น] 

 

 

เสียงของเซจินค่อยๆ จมดิ่งลงเรื่อยๆ 

 

 

[ถ้าหากว่าเขาเกิดมีผลข้างเคียงจริงๆ… ฉันคงจะไม่กล้ามองหน้าหมอนั้นอีกครั้งแน่ๆ ฉันอาจจะรู้สึกผิดจนอยากตายไปเลยก็ได้] 

 

 

“…เซจิน” 

 

 

[เพราะเขารู้ว่าฉันเป็นแบบนั้น ดังนั้นต่อให้เกิดผลข้างเคียงขึ้น เขาก็จะบอกว่าไม่ได้เป็น หมอนั่นเป็นคนอย่างนั้นแหละ] 

 

 

เสียงถอนหายใจของเซจินที่ปนกับเสียงหัวเราะชอกช้ำดังขึ้นมา ฉันไม่สามารถพูดอะไรออกไปได้ และทำได้เพียงหายใจนิ่งๆ 

 

 

[ฉันควรแกล้งทำเป็นไม่รู้ดีไหม แต่ว่าจะได้เหรอทั้งๆ ที่ฉันรู้สึกค้างคาใจขนาดนี้ ฉันควรจะทำยังไงดี ฮวีกยอม] 

 

 

เซจินเอาแต่พึมพำออกมาไม่หยุด ก่อนที่ในไม่ช้า เธอจะพูดคำว่าขอโทษ และเสริมด้วยคำว่า ฉันคงจะพูดเยอะไปแล้วสินะ น้ำเสียงของเซจินฟังดูเหนื่อยมากทีเดียว 

 

 

ฉันรีบบอกว่า ไม่เป็นไร อย่าพูดอย่างนั้นเลยน่า ขณะที่ตะโกนออกมาอีกครั้ง แต่สุดท้ายเซจินก็ไม่ได้พูดอะไรอีก แล้วก็วางสายไป 

 

 

ฉันหลับตาทั้งสองข้างลงพลางทิ้งมือข้างที่กำโทรศัพท์อยู่ลงไปบนเตียง ลายของเพดานที่จ้องมองมาจนถึงเมื่อกี้กำลังวนเวียนไปมาอยู่ในสายตาที่มืดมิด 

 

 

ฉันเงียบและเอาแต่หายใจเข้าออกอยู่สักพักใหญ่ๆ ก่อนจะเปิดหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้งด้วยท่าทางที่เชื่องช้า เสียงของรุ่นพี่อีกง ฉันอยากจะฟังเสียงของรุ่นพี่ที่ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจ จนจะบ้าตายอยู่แล้ว 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ฉันกับรุ่นพี่อีกง และเซจินกับอีเซนั่งล้อมวงอยู่ที่ร้านกาแฟเล็กๆ ในหมู่บ้าน พวกเราต่างก็เอาแต่นั่งถูถ้วยที่วางอยู่ตรงหน้าไปมาโดยไม่ยอมพูดอะไรอยู่สักพัก  

 

 

เซจินที่เอาแต่นั่งถอนหายใจอยู่นั่น ร้องไห้ไปเยอะขนาดไหนกันนะ หน้าถึงได้บวมเป่งขึ้นมาเหมือนกับลูกชิ้นบวมน้ำแบบนั้น ฉันไม่รู้เลยจริงๆ ว่าควรจะพูดอะไรออกไปดี 

 

 

อีเซเอาแต่ใช้นิ้วเคาะโต๊ะอย่างกระวนกระวายใจไม่หยุด ก่อนที่ในไม่ช้า หมอนั่นจะถอนหายใจออกมายาวๆ พลางเอนตัวลงไปพิงพนักเก้าอี้ ทั้งที่อุตส่าห์ได้ไปโลซานน์ตามที่หวังเอาไว้แล้วแท้ๆ แต่กลับไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิด บางทีทุกคนเองก็คงจะรู้สึกแบบนั้น 

 

 

ฉันกัดริมฝีปากพลางเอามือทั้งสองข้างที่เคยรวบไว้บนตักมาประสานกันแน่น ต่อจากนั้นรุ่นพี่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็กุมมือของฉัน พลางลูบที่หลังมือเบาๆ  

 

 

ท่าทางนั้นที่เหมือนจะพยายามปลอบประโลมความกังวลใจของฉัน ทำให้ฉันรู้สึกสบายใจขึ้นมาก ฉันจึงหันไปพยักหน้าให้กับรุ่นพี่ที่กำลังจ้องมองฉันอยู่ 

 

 

“…ก็อย่างที่ได้บอกไปในโทรศัพท์นั่นแหละ อาจารย์ได้เช็คดูปัญหาของซูฮยอนแล้ว”