หลังจากความเงียบอันยาวนาน ริมฝีปากอันหนักอึ้งของรุ่นพี่อีกงก็เริ่มขยับ ใบหน้าของเขาดูเคร่งเครียดเป็นพิเศษ ขณะที่หลับตาทั้งสองข้างไว้แน่น ฉันไม่มีความกล้าแม้แต่จะฟังคำพูดต่อไปเลยสักนิด ไม่สิ ไม่มีความกล้าพอที่จะมองดูเซจินที่กำลังจะได้ฟังคำนั้นมากกว่า 

 

 

“ตามที่อาจารย์พูด ซูฮยอนเป็นฝ่ายมาบอกก่อนเองว่าจะไม่ไปโลซานน์น่ะ แน่นอนว่าอาจารย์ก็ถามไปว่าเป็นเพราะอะไร แต่เขาไม่ได้บอกเหตุผลที่แน่ชัดออกมา บอกแค่ว่าคงจะลำบากที่จะขึ้นไปยืนบนเวที…” 

 

 

“เขาจะต้องได้รับผลข้างเคียงแน่ค่ะ” 

 

 

เซจินคือคนที่พูดตัดบทรุ่นพี่อีกงขึ้นมา เซจินซ่อนใบหน้าแดงก่ำของตัวเองเอาไว้ภายใต้ผ้าพันคอ มองตรงไปที่รุ่นพี่อีกง แล้วพูดต่อด้วยเสียงแหบพร่า 

 

 

“เขาทำตัวแปลกๆ มาสักพักแล้วค่ะ ทั้งที่โรงเรียน แล้วก็ตอนที่เจอกันตามลำพังด้วย เขาดูจะเป็นกังวล ไม่เป็นตัวของตัวเองเลยด้วย” 

 

 

“…แต่ว่าหลังจากอุบัติเหตุเขาก็ขึ้นเวทีตามปกตินี่นา ตรงกันข้าม เขายังดูปกติดีกว่าเธออีกนะ เซจิน” 

 

 

เสียงทุ้มต่ำของอีเซทำให้เซจินปิดปากเงียบ พลางหลุบสายตาลงต่ำ เป็นอย่างที่อีเซพูด ซูฮยอนเมื่อตอนงานแสดงประจำฤดูดูไม่น่าจะมีปัญหาอะไรที่พอให้สงสัยว่าจะมีผลกระทบจากผลข้างเคียงเลย  

 

 

ถ้างั้น หรือว่าหลังจากนั่นจู่ๆ ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างงั้นเหรอ อาการเจ็บหรือเปล่า หรือจะเป็นโรคกลัวเวที ถ้าไม่ใช่ละก็… 

 

 

“หรือว่า…” 

 

 

ทันทีที่ฉันเปิดปากพูดออกมาอย่างระมัดระวัง สายตาของทุกคนก็มารวมกันที่ฉัน ฉันกลืนน้ำลายแห้งๆ ลงไปในลำคอที่แข็งและแห้งผาก อาจจะ ก็แค่อาจจะนะ… 

 

 

“เขาอาจจะกลัวที่จะทำผิดพลาดก็ได้นะ” 

 

 

“…หมายความว่ายังไงเหรอ” 

 

 

“มันคือเรื่องจริงนะ ที่ว่าหมู่นี้สุขภาพของซูฮยอนดูไม่ค่อยดีเลย เพราะงั้น บางทีเขาอาจจะรู้สึกกังวลว่าตัวเองจะทำอะไรพลาดไปก็ได้นะ” 

 

 

“สภาพร่างกายมันก็เปลี่ยนไปได้ทุกวัน แล้วเขาก็ไม่ได้มีอะไรที่แสดงออกมาเป็นพิเศษ เขาไม่มีทางที่จะรู้สึกกังวลหรอก อีกอย่างเขาจะยอมแพ้เรื่องโลซานน์แค่เพียงเพราะเหตุผลว่าเขารู้สึกกังวลเนี่ยนะ” 

 

 

“ทุกคนก็รู้ดีนี่หน่า ว่าชเวซูฮยอนน่ะ เป็นพวกชอบความสมบูรณ์แบบขั้นสุดน่ะ” 

 

 

เซจินกับอีเซทำหน้าเหลอหลา พลางถามกลับว่า แล้วมันทำไมล่ะ รุ่นพี่ที่เหมือนจะเข้าใจในความหมายของคำพูดของฉัน จึงได้แต่ขมวดคิ้ว พลางเอามือก่ายหน้าผาก 

 

 

“ต่อให้สภาพร่างกายไม่ดี ซูฮยอนเมื่อก่อนก็มีความมั่นใจว่าตัวเองจะสามารถควบคุมมันได้ แต่ว่าถ้าเกิดหลังจากอุบัติเหตุ ความรู้สึกกังวลทำให้เขาไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ละก็…” 

 

 

ฉันหยุดพูดพลางหายใจ แล้วเกร็งมือที่กำลังประสานกันอยู่ 

 

 

“ไม่สิ ไม่จำเป็นจะต้องเอาเรื่องสภาพร่างกายมาเปรียบเทียบก็ได้ ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือ อุบัติเหตุอาจจะสลักคำว่า ‘แผลเป็น’ ลงไปภายในหัวของซูฮยอนก็ได้ รอยขีดข่วนที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในโลกบัลเลต์ของชเวซูฮยอนผู้ที่ได้รับการขัดเกลามาอย่างสมบูรณ์แบบ และไม่เคยได้รับบาดแผลมาก่อนเลยสักครั้งยังไงละ” 

 

 

“…” 

 

 

“ตอนที่ขึ้นไปยืนบนเวที ไม่ใช่ด้วยสภาพที่รู้สึกหวาดกลัวเพราะภาพติดตาจากอุบัติเหตุ แต่ด้วยสภาพที่มีรอยแผลเป็น ซึ่งต่างจากก่อนหน้านี้ที่เคยสมบูรณ์แบบ บางทีเขาอาจจะกลัวว่าจะทำผิดพลาดลงไปก็ได้ บางทีเขาอาจรู้สึกปวดหัว หรือมึนหัวขึ้นมาเป็นบางครั้งก็ได้ การเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยอาจทำให้คนที่ยึดติดความสมบูรณ์แบบอย่างชเวซูฮยอนสั่นไหวก็ได้” 

 

 

“…PTSD(ภาวะผิดปกติทางจิตใจหลังจากเหตุการณ์รุนแรง)สินะ” 

 

 

พอรุ่นพี่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งๆ ใบหน้าของทุกคนก็แข็งทื่ออย่างเห็นได้ชัด 

 

 

“ถ้าเป็นปัญหาอย่างอาการเจ็บปวด เขาคงจะพยายามหาวิธีรักษา แต่ถ้าเป็นแผลเป็นทางจิตใจจากอุบัติเหตุ มันก็น่าจะแสดงออกมาตั้งแต่ในงานแสดงประจำฤดูแล้วด้วย” 

 

 

“งงชะมัด” 

 

 

อีเซยกมือทั้งสองข้างขึ้นมากุมใบหน้า พลางพึมพำเบาๆ แล้วความเงียบก็กลับมาลงตรงกลางวงของพวกเราอีกครั้ง 

 

 

โรคย้ำคิดย้ำทำที่เกิดจากภาวะผิดปกติทางจิตใจหลังจากเหตุการณ์รุนแรง เป็นโรคที่มีเกิดขึ้นอยู่บ้างกับเหล่านักเต้น อย่างเช่น หลังจากที่ได้รับบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ก็จะคิดว่าร่างกายของตัวเองเคลื่อนไหวได้ไม่เหมือนเดิม แล้วก็จะหมกมุ่นอยู่กับสิ่งนั้นเกินความจำเป็น 

 

 

บางทีถ้าซูฮยอนทำพลาดบนเวทีหลังจากที่ได้ไปยืนอยู่บนนั้นอีกครั้งหลังอุบัติเหตุ เขาอาจจะกลัวที่จะต้องยอมรับก็ได้ ว่าเกิดปัญหาขึ้นกับตัวของเขาเอง 

 

 

ถ้าเกิดมันเป็นแบบนั้น ซูฮยอนก็คงจะรู้ตัวเองดีว่า ต่อให้ใช้วิธีอะไร หรือต่อให้ต้องไล่ต้อนตัวเองจนจนมุมยังไง เขาก็จะพยายามกลับไปยืนที่เดิมให้ได้ และจุดสิ้นสุดของการกระทำนั้น ก็จะมีผลลัพธ์ที่ว่าร่างกายของเขาจะพังทลายลงจนไม่สามารถเต้นได้อีกต่อไปรออยู่อีกด้วย 

 

 

“…ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ฉลาดมากที่จะไม่ไปโลซานน์น่ะ” 

 

 

“แต่ว่านะพี่ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จะสามารถเลี่ยงได้ตลอดไปนี่นี่นา มันเป็นปัญหาที่สักวันหนึ่งก็ต้องเผชิญกับมันอยู่ดีนะ” 

 

 

“พี่ก็หวังแหละนะว่าซูฮยอนจะสามารถเตรียมใจยอมรับ ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นยังไงก็ตาม…” 

 

 

รุ่นพี่ยิ้มอย่างขมขื่น พลางพูดอย่างแผ่วเบาในตอนท้ายประโยค ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงดีอยู่หรอก ถึงความเป็นไปได้มันจะเลือนรางก็เถอะ 

 

 

ฉันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ พลางมองไปที่เซจิน เซจินกำลังจ้องไปที่หน้าของรุ่นพี่อีกงด้วยใบหน้าที่ดูเฉยเมยกว่าที่คิด ความเงียบกลับมาอีกครั้ง ก่อนที่เซจินจะยอมเปิดปากพูดออกมาในที่สุด 

 

 

“พวกเรามาสรุปกันเอาเองแบบนี้ก็ไม่ได้อะไรขึ้นมาหรอก” 

 

 

เซจินพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ก่อนจะยกถ้วยกาแฟที่ไม่ได้ดื่มสักหยดขึ้นมา แล้วลุกพรวดขึ้นจากที่นั่ง พอทุกคนเผลอลุกขึ้นตามเธอ เซจินก็ยักไหล่หนึ่งที พลางยิ้ม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสดใส 

 

 

“ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงละก็ ฉันก็จะตีชเวซูฮยอนสักป้าบ แล้วก็แก้ไขให้หายเป็นปกติให้ได้” 

 

 

“…เซจิน” 

 

 

“ฉันน่ะ เอาชนะความกลัวแล้วขึ้นไปยืนบนเวทีได้ก็เพราะชเวซูฮยอน แล้วคนที่ช่วยฉันจากอุบัติเหตุก็คือหมอนั่นด้วย เพราะฉะนั้นครั้งนี้ ก็ถึงตาที่ฉันจะต้องช่วยหมอนั่นบ้างแล้วละ” 

 

 

ใบหน้าของเซจินตอนที่พูดคำพูดเหล่านั้นออกมาอย่างหน้าตาเฉยดูหนักแน่นมาก ฉันจึงได้แต่จ้องหน้าเธอโดยไม่พูดอะไร ให้ตายสิ รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความมั่นใจสมกับเป็นเซจินนั่น สุดท้ายฉันจึงอดไม่ได้ที่จะระเบิดหัวเราะตามเซจินออกมา 

 

 

“ดังนั้นไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า รุ่นพี่ก็ด้วยนะคะ ไปตั้งใจฝึกซ้อมซะเถอะ ถ้าไม่อยากจะตกรอบทันทีที่เพิ่งเสียค่าสมัครไปน่ะ” 

 

 

ท่าทางของเซจินที่ทำสีหน้าตลกๆ ออกมาพร้อมกับตีไหล่ของฉันกับอีเซ ดูเป็นผู้ใหญ่มากเลยละ ฉันพยักหน้าพลางฉีกยิ้มกว้าง 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

ลมเย็นๆ พัดผ่านทั่วทั้งถนนที่ค่อยๆ มืดลง แม้ว่าจะถึงหน้าบ้านแล้ว แต่ฉันก็ยังทำใจปล่อยมือของรุ่นพี่ที่จับมาสักพักไม่ได้ เพราะจู่ๆ ความปลื้มปีติและความความกังวลที่เกี่ยวกับการผ่านรอบคัดเลือกที่โลซานน์ซึ่งถูกลืมไปซะสนิทเพราะปัญหาของซูฮยอนก็ถาโถมเข้ามา 

 

 

“ยังรู้สึกไม่ดี เพราะเรื่องของซูฮยอนงั้นเหรอ” 

 

 

“…ไม่ค่ะ เรื่องนั้นมันก็ใช่อยู่หรอก แต่ว่า…” 

 

 

ฉันพูดไม่จบประโยค พลางก้มหน้ามองต่ำลง 

 

 

“เอาเข้าจริง พอคิดว่าจะได้ไปโลซานน์แล้ว ฉันก็รู้สึกกังวลว่าจะสามารถทำได้ดีหรือเปล่าน่ะค่ะ ฉันเองก็อยากจะทำทุกอย่างให้ออกมาดีๆ รวมไปถึงในส่วนของซูฮยอนด้วย แต่ฉันไม่มีความมั่นใจเลยค่ะ” 

 

 

ฉันยืนเอาปลายเท้าเขี่ยพื้นไปมา ส่วนรุ่นพี่ก็กุมมือของฉันไว้ แล้วค่อยๆ ลูบหัวฉันช้าๆ พลางพูดขึ้น 

 

 

“ทำใจให้สบาย ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดีเอง” 

 

 

“…ฉันนี่มันน่าขำจริงๆ เลยนะคะ” 

 

 

ฉันรู้สึกอับอายกับท่าทีของตัวเองที่เอาแต่คอยเป็นกังวล ต่างจากใจที่เคยแน่วแน่ซะขนาดนั้น จนถึงกับพึมพำกับตัวเองออกมา แต่แล้วรุ่นพี่ก็ยิ้มบางๆ พลางกอดฉันเอาไว้แน่น 

 

 

“ไม่นี่ ไม่เห็นจะน่าขำเลย” 

 

 

“…” 

 

 

“ขนาดพี่เองยังตื่นเต้นสุดๆ ไปเลย ถึงขนาดฝันร้ายเลยนะ” 

 

 

“…โกหก” 

 

 

“จริงๆ” 

 

 

ฉันทำหน้างอนพลางมองไปที่รุ่นพี่ อัจฉริยะอย่างรุ่นพี่อีกงยังถึงขนาดตื่นเต้นจนฝันร้ายเลยเหรอ ไม่อยากจะเชื่อเลยแฮะ รุ่นพี่เอาแขนมาโอบคอฉันเอาไว้ ก้มตัวลงมาให้อยู่ในระดับสายตาเดียวกัน พลางพูดต่อด้วยเสียงเบาๆ 

 

 

“ทั้งกลัว ทั้งกังวลจนอยากจะบ้าตายเลยละ เป็นเพราะคนรอบข้างต่างก็คิดว่าพี่จะต้องเข้าไปจนถึงรอบสุดท้ายแน่ มันก็เลยรู้สึกหนักใจน่ะ ว่าถ้าทำให้พวกเขาผิดหวังล่ะ ถ้าเกิดว่าพี่ทำได้ไม่เต็มที่ล่ะ” 

 

 

“…พอลองฟังๆ ดูแล้ว ก็น่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แหละนะคะ” 

 

 

“แล้วที่แย่ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ถึงโลซานน์แล้ว คนอื่นๆ ก็ยิ่งชื่นชมพี่หนักเข้าไปอีก จนพี่คิดว่า อย่างพี่เนี่ยจะสามารถเอาชีวิตรอดที่นี่ได้หรือเปล่า แล้วมันก็เริ่มรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ…” 

 

 

รุ่นพี่ทำสีหน้าคลุมเครือเหมือนกำลังนึกย้อนไปถึงอดีต 

 

 

“แต่ว่ากลับกัน มันก็เกิดเป็นความอวดดีขึ้นมาแทนว่าพี่จะต้องทำออกมาได้ดีแน่นอน ว่าพี่อยากจะเป็นที่หนึ่ง อยากจะเอาทั้งหมดที่ได้ร่ำเรียนมาจากที่นี่ มาเป็นของตัวเองซะ” 

 

 

“…” 

 

 

“แม้ว่าสิ่งสำคัญจะเป็นผลลัพธ์ที่ดี แต่พี่ก็คิดว่าสิ่งที่พี่ได้เห็นด้วยตา และได้สัมผัสด้วยตัวเองนั้นสำคัญยิ่งกว่า มันตื่นเต้นจนทำให้หัวใจเต้นรัวเลยละ” 

 

 

รุ่นพี่ยิ้มสั่นๆ พลางจุ๊บลงเบาๆ ที่หน้าผากของฉัน ฉันจึงกอดเอวรุ่นพี่ไว้ พลางพยักหน้านิ่ง การได้อยู่ในอ้อมกอดของรุ่นพี่แบบนี้ ทำให้ฉันรู้สึกอย่างกับว่าตัวเองสามารถทำได้ทุกอย่างเลยจริงๆ  

 

 

“ขอบคุณนะคะ รุ่นพี่” 

 

 

ฉันเอาหน้าซุกลงไปที่หน้าอกของรุ่นพี่ พลางพูดขึ้นมาเบาๆ กลิ่นตัวของรุ่นพี่ที่ทำให้ปลายจมูกรู้สึกจั๊กจี้ เป็นเหมือนยาระงับความตื่นเต้นที่ทำให้ความกังวลซึ่งอัดแน่นอยู่เต็มหัวใจสลายหายไป 

 

 

“เอาละ รีบเข้าบ้านไปได้แล้ว อยู่ตรงนี้นานๆ เดี๋ยวเป็นหวัดเอานะ” 

 

 

รุ่นพี่ปล่อยฉันจากอ้อมกอดและดึงแก้มของฉันเบาๆ ฉันเก็บกอดความรู้สึกเสียดายเอาไว้ แล้วปล่อยมือจากเอวของรุ่นพี่ ในตอนนั้นเอง อยู่ดีๆ โทรศัพท์ที่อยู่ในกระเป๋าเสื้อก็เริ่มร้องเสียงดังขึ้นมา ฉันหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋าเสื้ออย่างลนลาน และที่หน้าจอก็มีเบอร์แปลกเด้งขึ้นมา 

 

 

“สวัสดีค่ะ” 

 

 

[ค่ะ สวัสดีค่ะ นี่ใช่ครอบครัวของคุณลีฮยอนจองหรือเปล่าคะ] 

 

 

ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ฉันจึงค่อยๆ กดรับโทรศัพท์สายนั้น แต่น้ำเสียงที่ไม่คุ้นเคยจากปลายสายกลับพูดถึงชื่อของคุณป้าด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูรีบร้อนแปลกๆ 

 

 

“ค่ะ… คุณป้าของหนูเอง ว่าแต่มีเรื่อง…” 

 

 

[คือ ที่นี่คือห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาลซองโมนะคะ เนื่องจากว่าเมื่อสักครู่นี่คุณลีฮยอนจองเพิ่งจะประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์…] 

 

 

ชั่วพริบตานั้น ฉันสงสัยว่าฟังผิดไปหรือเปล่า แม้ว่าปลายสายจะกำลังพูดอะไรสักอย่างออกมาอย่างรีบร้อน แต่หูของฉันกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยสักนิดเดียว หัวใจของฉันกำลังเต้นเร็วจนเหมือนกับจะระเบิดออกมา มึนหัวจัง มึนหัวมากจนรู้สึกคลื่นไส้ 

 

 

ฉันยืนเหม่อขณะที่กำลังถือโทรศัพท์ไว้ด้วยร่างกายที่สั่นจนไม่สามารถควบคุมได้ ฉันเห็นรุ่นพี่ประคองไหล่ฉัน และพูดอะไรสักอย่างด้วยสีหน้าวุ่นวายใจ เหมือนเขาจะบอกอะไรฉันสักอย่าง แต่ฉันกลับไม่ได้ยินเสียงอะไรทั้งนั้น 

 

 

จนสุดท้าย ฉันก็ทรุดฮวบลงตรงนั้น ฉันสัมผัสได้ถึงมือของรุ่นพี่ที่ประคองตัวฉันไว้ ภายในหัวที่นึกเรื่องอะไรไม่ออกสักอย่างกำลังมีเสียงวิ้งๆ ดังขึ้นมาไม่หยุด