โรงพยาบาลมักจะให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเสมอ กลิ่นแอลกอฮอล์ที่แสบจมูกจนขนลุก อากาศแห้งที่เหมือนกับจะดูดความชื้นของทั้งร่างกายเข้าไป สีหน้าของผู้คนที่หม่นหมองและเย็นชา  

 

 

ฉันนั่งเป็นร่างไร้วิญญาณอยู่กลางโรงพยาบาลที่หนาวเหน็บนั่น มีเสียงร้องไห้และเสียงกรีดร้องดังไปทั่วทุกที่ในห้องฉุกเฉินที่วุ่นวาย 

 

 

“…ไม่มีผู้ใหญ่คนอื่นแล้วจริงเหรอ ถึงจะเป็นคนในครอบครัว แต่ผู้ที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะน่ะ เป็นเจ้าของคนไข้ไม่ได้หรอกนะ…” 

 

 

แพทย์หนุ่มที่ยืนอยู่ตรงหน้าฉันกำลังทวนคำถามเดิมซ้ำไปมาด้วยสีหน้าลำบากใจ ในชาร์ตที่เขาถืออยู่ดูเหมือนจะมีใบยินยอมหลายอย่างเพื่อให้ทำการรักษาคนไข้เสียบอยู่ 

 

 

“คุณปู่กับคุณย่าก็เสียไปแล้ว พี่น้องก็มีแค่คุณพ่อของหนู แต่ว่าเราไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้วค่ะ ส่วนญาติคนอื่นๆ หนูก็ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ” 

 

 

พอฉันตอบคำถามกลับไปแบบเดิม คุณหมอก็ถอนหายใจออกมาสั้นๆ ก่อนจะใช้ชาร์ตนั้นเกาหัวที่ยุ่งเหยิง พลางพูดขึ้น 

 

 

“เข้าใจแล้วครับ นี่เป็นเรื่องด่วนมาก ผมจะส่งตัวคนไข้ไปที่ห้องผ่าตัดก่อน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนอกจากรอให้คนไข้ฟื้นขึ้นมา” 

 

 

คำว่าฉุกเฉินเป็นเหมือนใบมีดที่ปักลงตรงกลางใจของฉัน ฉันเอามือทั้งสองข้างปิดหน้าซึ่งเปียกปอนไปด้วยน้ำตามาได้สักพักแล้ว พลางก้มหน้า เหมือนหัวหนักอึ้งจนแทบเงยหน้าไม่ขึ้น 

 

 

วันนี้ช่างเป็นวันที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตอันแสนสั้นของฉันจริงๆ ทั้งที่ไม่ใช่ฤดูร้อนที่มักจะนำพาโชคร้ายมาให้แท้ๆ แต่เรื่องหนักหนาสาหัสกลับถาโถมเข้าใส่ฉัน 

 

 

 “…ดื่มน้ำสักหน่อยสิ” 

 

 

ทันทีที่คุณหมอเดินจากไป รุ่นพี่อีกงที่นั่งเงียบๆ อยู่ข้างฉันมาสักพักก็เปิดฝาขวดน้ำเปล่าที่ถืออยู่ออก แล้วยื่นมาไว้ตรงหน้าฉัน ฉันร้องไห้ไปเยอะขนาดไหนกันนะ ตาถึงได้แห้งขนาดนี้ ฉันยื่นมือไปรับขวดน้ำที่รุ่นพี่ยื่นมาให้อย่างเชื่องช้า แต่ก็ไม่สามารถดื่มมันลงไปได้ 

 

 

เมื่อขาสั่นไม่หยุด แล้วมือก็เอาแต่กำขวดน้ำเปล่าไว้แน่น รุ่นพี่จึงโอบไหล่ฉันอย่างเงียบๆ กลิ่นตัวเองรุ่นพี่, เสียงหายใจบางๆ มันทำให้ฉันรู้สึกผ่อนคลายหน่อยๆ ฉันพยายามสะกดอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน พลางกำขวดน้ำเหมือนกับจะบีบให้แหลกคามือ 

 

 

“ไม่เป็นไรนะ ไม่เป็นไร” 

 

 

เสียงกระซิบของรุ่นพี่ที่ดังเข้ามาในหูนั้นเป็นเหมือนกับเวทมนตร์ ฉันกัดริมฝีปากแน่น พลางพยักหน้าเบาๆ ใช่แล้ว ไม่เป็นไรหรอก จะต้องไม่เป็นอะไร คุณป้าเข้มแข็งจะตาย ท่านมักจะทำหน้าเหมือนไม่เป็นอะไร แล้วก็ยิ้ม พร้อมกับบอกว่า ไม่มีอะไรหรอกน่า 

 

 

ฉันเอาแต่ท่อง แล้วก็ท่องซ้ำไปเรื่อยๆ ทำไมกลับยิ่งรู้สึกเศร้ายิ่งกว่าเดิมกันนะ จนสุดท้ายฉันก็เอนตัวพิงรุ่นพี่แล้วร้องไห้ออกมา 

 

 

“…ไม่เป็นไรนะ ทุกอย่างจะต้องเป็นไปด้วยดี” 

 

 

รุ่นพี่กระซิบคำที่เป็นเหมือนกับมนต์วิเศษ พลางตบไหล่ของฉันอยู่อย่างนั้นสักพัก จนฉันรู้สึกว่าตัวเองทำให้ไหล่ของรุ่นพี่เปียกชุ่มไปหมด 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

การผ่าตัดของคุณป้ากินเวลากว่าห้าชั่วโมง ใบหน้าของคุณป้าที่ฉันได้เห็นในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ที่ถูกย้ายไปยังห้องไอซียูดูซีดเซียวอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

ฉันเห็นสายต่างๆ ที่ห้อยระโยงระยาง เครื่องมือมากมายที่ฉันไม่รู้จักชื่อห้อยอยู่ตามตัวของคุณป้า และแม้แต่รอยเลือดที่ยังไม่ทันได้เช็ด 

 

 

ฉันจับมือของคุณป้าไว้โดยไม่พูดอะไร ก่อนจะเริ่มสวดมนต์ขอพรจากใครสักคน 

 

 

“ญาติของคุณลีฮยอนจองคะ นี่คือรายการสิ่งของที่จำเป็นสำหรับห้องผู้ป่วยโคม่านะคะ ของพวกนี้สามารถหาซื้อได้ที่ร้านค้าในโรงพยาบาล ดังนั้นกรุณาเตรียมแล้วนำขึ้นมาในตอนนี้เลยนะคะ” 

 

 

นางพยาบาลพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ ในโทนเดียว แล้วยื่นกระดาษแผ่นหนึ่งมาให้ ก่อนจะรีบก้าวเท้าเดินหายไปโดยที่ฉันยังไม่ทันได้ตอบอะไรสักคำ 

 

 

ฉันมองกระดาษแผ่นนั้นทั้งที่น้ำตายังคลอเบ้า พอได้อยู่ที่โรงพยาบาลเป็นเวลานานมากๆ แล้ว ความรู้สึกทั้งหมดก็เหมือนกับจะแห้งเหือดไป เพราะอย่างนั้นหรือเปล่านะสีหน้าของผู้คนที่โรงพยาบาลถึงได้เย็นชาเหมือนกับหุ่นยนต์กันไปหมด 

 

 

ไม่รู้ทำไม แต่ฉันรู้สึกเหมือนแรงทั่วทั้งร่างกายมันหายไป จนฉันต้องทรุดนั่งลงที่เก้าอี้ข้างหน้า รุ่นพี่หยิบกระดาษที่ฉันถืออยู่ในมือไป แล้วพูดว่า เดี๋ยวพี่กลับมานะ ก่อนจะมุ่งหน้าไปยังลิฟต์อย่างเงียบๆ 

 

 

ฉันไม่มีแรงแม้แต่จะเอ่ยคำว่า ขอบคุณ ขณะเอนหัวพิงพนักเก้าอี้ก็หลับตาทั้งสองข้าง แสงไฟในโถงทางเดินมืดๆ ราวกับจะแทรกเข้ามาในดวงตา 

 

 

เวลาผ่านไปนานแค่ไหนกันนะ ดูเหมือนฉันจะงีบหลับไปโดยไม่รู้ตัว ทันทีที่ฉันรู้สึกได้ว่ามีใครมาจับที่ไหล่ของฉันอย่างอ่อนโยน ฉันก็ได้สติ แล้วลืมตาขึ้น นาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงกำแพงชี้บอกเวลาตีสอง 

 

 

“เขาบอกว่าสามารถเข้าเยี่ยมได้พรุ่งนี้ตอนเที่ยงกับตอนห้าโมงเย็น แค่วันละสองรอบน่ะ” 

 

 

เมื่อได้ยินคำพูดของรุ่นพี่ซึ่งมานั่งอยู่ข้างๆ ฉันตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ ฉันจึงพยักหน้าแล้วค่อยๆ พยุงร่างกายที่หนักอึ้งเหมือนกับจมอยู่ในน้ำขึ้นมา ตอนนี้ฉันจะต้องทำอะไรนะ ฉันพยายามตั้งสติอันเลือนรางพลางกะพริบตาทั้งสองข้าง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นไปมองรุ่นพี่ ส่วนรุ่นพี่ก็มองฉันกลับมาด้วยสีหน้าที่ดูเหนื่อยหน่อยๆ พลางยิ้มเล็กๆ 

 

 

“…ขอโทษนะคะรุ่นพี่ เป็นเพราะฉันแท้ๆ เลยต้องมาอยู่จนดึก…” 

 

 

ในตอนนั้นที่ฉันเพิ่งจะรู้สึกตัวว่ารุ่นพี่ไม่ได้กลับบ้านเลยจนถึงเวลานี้ ฉันจึงรีบลุกขึ้นจากเก้าอี้ด้วยท่าทางลนลาน รุ่นพี่ที่เห็นแบบนั้นจึงจับมือฉันไว้ ก่อนจะยิ้มหวานขึ้นมา พลางบอกว่า ไม่เป็นไร 

 

 

“เดี๋ยวพี่ไปส่ง ไปเถอะ” 

 

 

น้ำเสียงของรุ่นพี่ที่กระซิบบอกอย่างนุ่มนวลดูแหบเล็กๆ จริงเหรอเนี่ย ที่รุ่นพี่อยู่ข้างๆ ฉัน มันรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก ฉันพยายามยิ้ม ขณะออกแรงจับมืออันแข็งแกร่งของรุ่นพี่ 

 

 

 

 

 

ตั้งแต่ขึ้นแท็กซี่กลับมาถึงบ้าน จนกระทั่งเปิดประตูทางเข้า รุ่นพี่ไม่ยอมปล่อยมือฉันเลย ข้างในบ้านที่มืดมิดซึ่งไม่ได้เปิดไฟ มันช่างดูน่ากลัวและเปล่าเปลี่ยวเป็นพิเศษ ฉันยืนถอดรองเท้าอยู่ตรงหน้าทางเข้า แล้วจึงค่อยปล่อยมือจากรุ่นพี่ 

 

 

“วันนี้ขอบคุณมากเลยนะคะ รุ่นพี่” 

 

 

ฉันพูดคำขอบคุณออกมาจากใจจริง พลางก้มหัวลง รุ่นพี่ส่ายหน้าเบาๆ พลางลูบหัวของฉัน 

 

 

“คงจะเหนื่อยน่าดู รีบเข้าไปเถอะ พรุ่งนี้เดี๋ยวพี่มารับนะ” 

 

 

“…รุ่นพี่ก็ด้วยนะคะ พ่อแม่ของรุ่นพี่คงจะโกรธใหญ่แล้วแน่ๆ” 

 

 

ฉันแกล้งทำเป็นหัวเราะออกมาขณะพูด รุ่นพี่จึงหัวเราะออกมาเบาๆ 

 

 

“ถึงจะน่าเศร้า แต่พี่น่ะไม่เหมือนเธอหรอก เพราะตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป พี่เป็นผู้ใหญ่ที่ไม่จำเป็นจะต้องได้รับอนุญาตจากผู้ปกครองยังไงละ” 

 

 

“…โอ๊ะ พอฟังแล้วก็เหมือนจะเป็นอย่างนั้นสินะคะ” 

 

 

“พอฟังแล้ว… งั้นเหรอ ช่วยสนใจแฟนสักนิดนึงได้ไหมครับเนี่ย” 

 

 

รุ่นพี่หัวเราะเบาๆ อีกครั้ง พลางเอามือขยี้หัวฉันเล่น ถึงจะแค่แป๊บเดียว แต่รอยยิ้มนั้นก็ทำให้ร่างกายที่เย็นเฉียบของฉันรู้สึกอุ่นขึ้น ฉันยักไหล่ ก่อนจะหันไปโบกมือให้รุ่นพี่ 

 

 

“ถึงงั้นก็เถอะ กลับบ้านดีๆ นะคะ” 

 

 

“เข้าใจแล้ว ปิดประตูบ้านดีๆ ด้วยละ” 

 

 

รุ่นพี่หันมายิ้มหวานให้ฉัน ก่อนจะค่อยๆ หันกลับไปเปิดประตูทางเข้า แล้วเสียงของเหล็กเก่าๆ ก็ดังขึ้น  

 

 

วินาทีนั้น ความรู้สึกหวาดกลัวทำให้ฉันตัวสั่น ขณะที่หันไปมองข้างในบ้าน ความมืดที่ดูจะมืดเป็นพิเศษ อากาศหนาวเหน็บที่ไม่รู้สึกถึงไออุ่นของคน เมื่ออยู่ดีๆ ฉันก็นึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่เคยถูกทิ้งให้อยู่บ้านคนเดียวในเวลาแบบนี้ ฉันก็เกิดกลัวขึ้นมา 

 

 

ถ้าเกิด ถ้าเกิดว่ามีบางอย่างผิดพลาด แล้วคุณป้าไม่สามารถกลับบ้านได้ ฉันจะทำยังไงดี ถ้าฉันถูกทิ้งให้ต้องอยู่ในบ้านที่ทั้งหนาวและน่ากลัวนี้ ฉันควรจะทำยังไง หากคุณป้าทิ้งฉันไป เหมือนที่ทั้งพ่อและแม่ทิ้งฉันไปละ… 

 

 

“ระ รุ่นพี่คะ!” 

 

 

พอฉันเผลอตัวเรียกรุ่นพี่ออกไปด้วยเสียงแหลมสูง รุ่นพี่ที่กำลังจะเปิดประตูเดินออกไปข้างนอกพอดีจึงหันกลับมามองฉัน ดวงตาของเขาที่เบิกโพลงด้วยความสงสัยเป็นสีดำสนิทเหมือนกับความมืด  

 

 

อึก ฉันกลืนน้ำลาย พลางยื่นมือไปจับแขนรุ่นพี่เอาไว้ 

 

 

“คือว่า… ฉัน…” 

 

 

ฉันเอาปลายนิ้วเกี่ยวที่เสื้อโค้ทของรุ่นพี่ทั้งหนาและนุ่ม ก่อนจะแสดงท่าทีลังเลอยู่สักพัก รุ่นพี่ก้มหน้ามองมาที่ฉันด้วยสีหน้าเป็นกังวล ฉันกลืนน้ำลายอีกครั้ง ก่อนจะรวบรวมพลังทั้งหมดออกมา แล้วพูดสุดเสียง 

 

 

“…ชะ ช่วยอยู่เป็นเพื่อนฉันหน่อยได้ไหมคะ” 

 

 

เพราะกลัวว่าจะดูเหมือนกับเด็กๆ ฉันเลยไม่กล้าพูดออกไปว่ากลัวที่จะอยู่คนเดียว และไม่กล้าพูดออกไปด้วยว่าฉันเอาแต่คิดถึงเรื่องไม่ดี  

 

 

คำพูดของฉันที่พูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สั่นไม่หยุดทำให้แววตาของรุ่นพี่ดูจะตกใจมาก รุ่นพี่ไม่พูดอะไรอยู่สักพัก ขณะที่ทอดสายตามองมาที่ฉัน สายตาของเขาดูจะสั่นไหวอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

“…ไม่ดีกว่าค่ะ รุ่นพี่ ถือซะว่าไม่ได้ยินก็แล้วกันนะคะ” 

 

 

ฉันที่สองจิตสองใจอยู่นั้น มือก็ค่อยๆ ปล่อยชายเสื้อที่จับอยู่ ถึงฉันจะอยากให้รุ่นพี่บอกว่าจะอยู่เป็นเพื่อน แต่ฉันก็รู้ว่ามันเป็นคำขอที่มากเกินไป และรุ่นพี่ก็อุตส่าห์มาอยู่เป็นเพื่อนจนดึกดื่นขนาดนี้แล้วแท้ๆ 

 

 

แต่แล้วรุ่นพี่ก็ยื่นมือมาจับมือของฉันที่ค่อยๆ ผละออก ฉันสะดุ้งโหยง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองรุ่นพี่ 

 

 

“อยู่สิ” 

 

 

อยู่ๆ น้ำเสียงหนักแน่นของรุ่นพี่ก็ดังขึ้น ฉันทำได้เพียงแต่ยืนจ้องหน้ารุ่นพี่ด้วยสีหน้ามึนงงโดยไม่พูดอะไร 

 

 

“พี่จะอยู่เป็นเพื่อนเธอเอง” 

 

 

ใบหน้าของรุ่นพี่ที่จ้องมองฉันมีรอยยิ้มบางๆ อยู่ 

 

 

 

 

 

* * * 

 

 

 

 

 

คงจะเป็นเพราะคลายความกังวลลงไปหน่อย ร่างกายถึงได้เพิ่งจะรู้สึกหนักอึ้งและเจ็บเหมือนกับถูกทุบตีไปทั่วทั้งตัว พอได้เอนตัวพิงลงบนโซฟา ความเหนื่อยล้าก็ก่อตัวขึ้นมา แต่ดูเหมือนกับว่าฉันคงจะไม่สามารถหลับลงได้ง่ายๆ 

 

 

รุ่นพี่ที่นั่งทิ้งระยะห่างอยู่ข้างๆ ฉันไปเล็กน้อยกำลังเอามือจับที่ท้ายทอย พลางบิดตัวไปมา ดวงตาที่ดูเหนื่อยล้าอย่างเห็นได้ชัดค่อยๆ กะพริบขึ้นลง จากนั้นจึงปลดนาฬิกาข้อมือวางไว้บนโต๊ะ 

 

 

ฉันเอนตัวพิงหมอนอิงพร้อมกับจ้องเขม็งไปที่การกระทำของรุ่นพี่ แต่จู่ๆ ฉันก็สบสายตากับรุ่นพี่พอดี ขนตาของรุ่นพี่ที่กะพริบอย่างเหนื่อยอ่อนดูเด่นชัดจนสะดุดตา ทั้งรูปตาเรียวยาว ทั้งริมฝีปากที่ปิดสนิทด้วย 

 

 

“มองอะไรอยู่น่ะ” 

 

 

พอฉันเอาแต่จ้องหน้ารุ่นพี่โดยไม่พูดอะไรออกมาอยู่สักพักใหญ่ๆ รุ่นพี่ก็ยิ้มเขินๆ แปลกๆ ก่อนจะยื่นมือออกมาขยี้หัวฉันเบาๆ มันต่างออกไปจากปกติ ฉันรู้สึกแปลกๆ กับสัมผัสมือของรุ่นพี่ที่ผละออกไปนั่น 

 

 

“ก็ชอบนี่คะ” 

 

 

ฉันนั่งกอดเข่าอยู่บนโซฟาพลางพูดลอยๆ ด้วยเสียงเบาๆ ภายในหัวที่ยุ่งเหยิงและวุ่นวายจนถึงเมื่อกี้นี้ดูเหมือนจะถูกเติมเต็มด้วยรุ่นพี่ในพริบตา การที่รุ่นพี่มาอยู่ตรงหน้าอย่างนี้ การที่รุ่นพี่ยอมมาอยู่ข้างๆ ฉัน มันทำให้ฉันมีความสุขจนไม่อยากจะเชื่อตัวเอง จนเกิดความรู้สึกผิดต่อคุณป้าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก 

 

 

“…รีบนอนได้แล้ว” 

 

 

พอรุ่นพี่ทำสีหน้าประหลาดออกมา เขาก็ดึงหมอนรองนั่งมากั้นระหว่างตัวเองและฉันเอาไว้ ก่อนจะตบเบาๆ ลงบนนั้น 

 

 

“มา เอนหัวพิงลงไปสิ” 

 

 

“…ก็มันนอนไม่หลับนี่คะ” 

 

 

“ถ้าไม่นอนงั้นพี่กลับนะ” 

 

 

เร็วเข้า รุ่นพี่เร่งด้วยเสียงเบาๆ ฉันแอบทำหน้างอนเพื่อไม่ให้รุ่นพี่ที่กำลังทำหน้าเคร่งขรึมเห็นเข้า พลางเอนหัวลงไปบนหมอนรองนั่ง  

 

 

ต่อจากนั้นรุ่นพี่ก็ปิดสวิตช์ไฟในห้องนั่งเล่น แล้วเปิดโคมไฟ แล้วเขาก็พิงตัวลงไปบนโซฟาขณะที่ลูบหัวของฉันที่ยุ่งเหยิงไปหมด 

 

 

“…นี่มันเหมือนกับทำกับลูกหมาเลยนะคะ” 

 

 

รุ่นพี่หัวเราะคิกคักให้กับคำพูดลอยๆ ปนหยอกล้อของฉัน เขานั่งเท้าคางกับที่วางแขนของโซฟาพร้อมก้มลงมองมาที่ฉัน พอได้นอนอยู่ใต้แสงไฟสลัวท่ามกลางความเงียบงัน หัวใจมันก็เต้นตูมตามเหมือนกับตอนที่ได้ไปค่ายเป็นครั้งแรกเมื่อตอนเด็กๆ ฉันกะพริบตาที่ค่อยๆ อ่อนแรงลงเรื่อยๆ ก่อนจะเริ่มพูดคนเดียวเหมือนกับว่าตัวเองกำลังละเมอออกมา 

 

 

“คุณป้าของฉันน่ะ ท่านไม่ได้แต่งงาน แล้วก็ยังเลี้ยงฉันมาเหมือนกับเป็นลูกแท้ๆ เลยละค่ะ” 

 

 

“…เป็นคนที่สุดยอดไปเลยเนอะ” 

 

 

“ค่ะ เป็นคนที่สุดยอดที่สุดในโลกนี้เลยละค่ะ” 

 

 

ฉันงอตัวที่กำลังสั่นด้วยความขนลุก พลางพูดจาพึมพำ 

 

 

“พ่อกับแม่ของฉันจำใจแต่งงานกันเพราะว่าพวกท่านมีฉันขึ้นมาน่ะค่ะ ถึงแม้ว่าจะอยู่ด้วยกันโดยที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส แต่แม่ก็ยังคิดว่าถ้าคลอดฉันออกมาแล้ว พ่ออาจจะเปลี่ยนไปน่ะค่ะ” 

 

 

เป็นเพราะเริ่มง่วงหรือเปล่านะ หรือว่าเป็นเพราะจู่ๆ ฉันก็รู้สึกซึ้งใจเรื่องของคุณป้าขึ้นมากันนะ ฉันถึงได้กำลังคายความลับต่างๆ ที่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้จนถึงตอนนี้ออกมา ในสภาพที่ตาแทบจะปิดสนิทอยู่แล้ว 

 

 

“แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอย่างนั้นน่ะค่ะ ขนาดในทะเบียนเกิดก็ยังเป็นนามสกุลของแม่เลยค่ะ พ่อไม่ค่อยกลับมาบ้านเท่าไรนัก ฉันเลยไม่ค่อยมีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อสักเท่าไร แต่ถึงอย่างนั้นก็เคยมีความทรงจำหนึ่งที่ฉันจำได้ ว่าบางครั้งที่พ่อกลับมาจากดื่มเหล้า เขามักจะกอดฉันเอาไว้แน่น” 

 

 

“…” 

 

 

“ตอนนั้นเป็นช่วงฤดูร้อนตอนอายุสิบขวบละมั้ง พวกเราไม่ได้ข่าวคราวจากพ่อ และท่านก็หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย หลังจากนั้นฉันก็ถูกส่งต่อให้คุณย่าเป็นผู้ดูแลน่ะค่ะ ส่วนแม่ก็มั่วแต่ทำงานจนยุ่ง พอคุณย่าเสีย แม่ก็แต่งงานใหม่ นั่นเป็นตอนที่ฉันได้พบกับคุณป้า เพราะว่าทางฝั่งที่แต่งงานใหม่กับแม่ เขาไม่อยากเลี้ยงดูฉันน่ะค่ะ” 

 

 

พอคิดถึงความทรงจำครั้งแรกที่ได้เจอกับคุณป้าซึ่งยังคงชัดเจนอยู่ จู่ๆ ฉันก็ยิ้มออกมา ฉันพยายามเปิดเปลือกตาที่เกือบจะปิดสนิทขึ้นมา พร้อมกับดึงสติที่กำลังลอยออกไปเอาไว้ 

 

 

“คุณป้าน่ะ เมื่อเห็นฉัน ทันก็พูดขึ้นมาทันทีเลยว่า ตั้งแต่นี้ไป ไปอยู่กับป้านะ ฉันยังไม่เข้าใจเหตุผลจนถึงตอนนี้เลยค่ะ ทั้งที่ไม่เคยเจอกันเลยสักครั้ง และตามเอกสารแล้ว ฉันกับคุณป้าก็ถือว่าเป็นคนแปลกหน้ากันด้วยซ้ำ แล้วทำไมท่านถึงอยากจะดูแลฉันกันล่ะค่ะ” 

 

 

“…” 

 

 

“ที่ฉันยังสามารถเต้นบัลเลต์ต่อไปได้ก็เป็นเพราะคุณป้านั่นแหละค่ะ ทั้งที่มีค่าใช้จ่ายมากมาย แต่ท่านก็ไม่เคยบอกให้ฉันหยุดเลยสักครั้ง แม้แต่ตอนที่บอกว่าจะไปโลซานน์ก็ด้วย ท่านก็ยังบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องค่าสมัครนะ…” 

 

 

อ้า พอมาลองคิดๆ ดูแล้ว นอกจากจะต้องจ่ายค่าสมัครแล้ว ก็ยังต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินด้วยนี่นา ค่าผ่าตัดของคุณป้าเองก็คงจะไม่น้อยด้วย จู่ๆ ภายในหัวมันก็ยุ่งเหยิงไปหมด ฉันพยายามทำเป็นง่วงนอนเพื่อที่จะสลัดความคิดที่เริ่มจะถลำลึกลงไปเรื่อยๆ ในตอนนี้ฉันไม่อยากจะคิดถึงเรื่องอะไรทั้งนั้น