ตอนที่ 810 บุปผาบานสะพรั่งหน้าสุสาน ( จบ )

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 810 บุปผาบานสะพรั่งหน้าสุสาน ( จบ )

“นี่คือสุสานของท่านแม่ทัพใหญ่เผิง”

“แม้จะดูธรรมดาไปหน่อยแต่ข้าคิดว่ามิเลวเลยล่ะ เพราะที่นี่ช่างกว้างขวางยิ่ง ทิวทัศน์ก็ดี ข้าคิดว่าเขาคงจะชอบมากเช่นกัน”

“ไปเคารพเขาเถิด เขาย่อมรู้สึกยินดีที่ได้เห็นพวกเจ้า”

เฉินเฉียนยืนอยู่หน้าสุสานพร้อมทหารหลายพันนาย เขาจ้องมองไปยังแผ่นศิลาที่ตั้งอยู่หน้าสุสานด้วยสายตาที่ว่างเปล่า และมิมีน้ำตาไหลออกมาแต่อย่างใด

“ท่านคิดว่า เมื่อท่านตายไปแล้ว เรื่องใหญ่สิ้นสุดลงแล้ว ปัญหาต่าง ๆ ก็จะพลอยสิ้นสุดลงไปด้วยเยี่ยงนั้นหรือ ถึงเยี่ยงไรข้าก็ยังมิให้อภัยท่าน”

“แม่ทัพหานเฟิ่งมิสมควรตาย หั่วฟูและจ้าวต้าหยวนก็ยังมิสมควรตาย ทหาร 30,000 นายของเสี้ยวเว่ยเฝ้าปกป้องด่านภูเขาเยี่ยนเอาไว้ได้นานถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ! หากท่านกล้าออกคำสั่งและปักหลักอยู่ที่นั่น ด่านภูเขาเยี่ยนจะถูกทำลายได้เยี่ยงไร ? ”

“และยังมีกองกำลังของหลัวหมิงและฉีคังอีก 60,000 นาย ส่วนอู๋ฉางและเจิ้งเถี่ยโถวนั้นสมควรตายอย่างแท้จริง แม้ว่าพวกเขาจะตกตายในระหว่างสู้รบกับชาวฮวง แต่พวกเขาก็สมควรที่จะได้รับมันแล้ว ! ”

“พวกเขามิควรเชื่อฟังคำสั่งของท่าน ! ”

“ท่านลืมอักษรที่สลักไว้บนแผ่นศิลาหน้าจวนอันกั๋วกงแล้วหรือเยี่ยงไรกัน ? ”

จากนั้นเฉินเฉียนก็นั่งลง ฟู่เสี่ยวกวนยื่นสุราให้เขาหนึ่งขวด เขารับมาถือไว้ทว่ามิได้เทลงพื้นหน้าสุสาน แต่กลับดื่มมันเข้าไปแทน

“หลัวหมิงของกองพันหูเปินโดนยิงที่ท้องจนสิ้นลม มันเป็นปืนที่ท่านขายให้ชาวฮวงโดยเจตนา ดังนั้นเขาตายด้วยน้ำมือของท่าน ! ”

“ฉีคังสั่งให้ทหารใต้บัญชาพาตัวหลัวหมิงออกจากเมืองซินโจว ส่วนเขาจัดการวางระเบิดสังหารทหารชาวฮวงในเมืองซินโจว เขาเองก็โดนระเบิดไปด้วยแม้แต่ผมสักเส้นก็ยังมิเจอเลย”

“ข้าพาพี่น้องอีก 3,000 นายที่เหลือจากกองพันถุนฉีไปยังภูเขาผิงหลิง ตอนนั้นเองที่ข้าได้พบหลัวหมิงที่อาการสาหัสและพวกพ้องที่เหลือของเขา ก่อนหลัวหมิงจะสิ้นลมเขาได้เอ่ยว่า เขามิสามารถให้อภัยท่านได้เพราะมีชาวเมืองซินโจวกว่า 500,000 คนเสียชีวิตจากการช่วยทหารปกป้องเมืองเอาไว้”

“ทหาร 3,000 นายซึ่งอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขาก็มิให้อภัยท่านเช่นกัน ณ ภูเขาผิงหลิง พวกเขาถอดชุดเกราะและทิ้งดาบ ข้ามิรู้ว่าพวกเขาไปที่ใด รู้เพียงแค่ว่าอดีตกองทัพชายแดนเหนือและจิตวิญญาณความเป็นทหารมิหลงเหลืออยู่อีกแล้ว พวกเราก็เหมือนวิญญาณเร่ร่อนใต้แสงสุริยา หลังของพวกข้าโค้งงอเพราะว่ากระดูกสันหลังของพวกข้าโดนท่านเหยียบย่ำเอาไว้ ! ”

เฉินเฉียนสูดหายใจเข้าลึก “ข้าพาพี่น้องไล่ตัดหญ้าไปทั่ว เพียงหวังว่าจะสามารถลบล้างความผิดที่ติดตัวพวกข้าได้บ้าง เดิมทีข้ามิคิดมาดูท่านหรอก เพราะเกรงว่าหากข้าเห็นหลุมศพท่านแล้วทนมิไหวขึ้นมา ข้าอาจจะขุดร่างท่านออกมาเอ่ยถามว่าเพราะเหตุใดถึงต้องทำเยี่ยงนี้”

“ท่านนอนอยู่ที่นี่อย่างสบายใจเถิด ท่านยังมีสหายร่วมรบกว่า 200,000 แสนนายถูกฝังไปพร้อมกับท่าน… เอ่ยมิได้ว่าพวกเขาอยากโดนฝังเป็นสหายท่านหรือไม่ ทว่าพวกเขามิสามารถยืนหยัดได้อีกจึงคิดว่าตาย ๆ ไปยังจะดีเสียกว่า”

เฉินเฉียนดื่มสุราไปพลางเอ่ยไปพลาง

เขาเอ่ยถึงอดีตของกองทัพชายแดนเหนือ เอ่ยถึงคำสอนที่เผิงเฉิงอู่เคยสอนพวกตน และเอ่ยถึงความผิดบาปของเผิงเฉิงอู่ที่มิอาจยกโทษให้ได้

ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ นิ่งฟังอย่างสงบ ทันใดนั้นเขาก็หันไปจ้องมองท่าป๋าเฟิงที่มีสีหน้ามืดครึ้มขึ้นมา ท่าป๋าเฟิงเข้าใจความจริงที่แฝงอยู่ในคำเอ่ยเหล่านี้ หากเผิงเฉิงอู่มิเชื่อฟังคำสั่งของฮ่องเต้แล้วละทิ้งหน้าที่ กองทัพดาบสวรรค์ของตนก็คงมิสามารถตีด่านภูเขาเยี่ยนจนแตกพ่ายได้อย่างแน่นอน

กองทัพชายแดนเหนือแต่เดิมมีจิตวิญญาณทหารและกระดูกสันหลังอันแข็งแกร่ง กองทัพดาบสวรรค์มิสามารถทำลายจิตวิญญาณนั้นได้ และมิอาจตัดกระดูกสันหลังนั้นได้ด้วย

น่าเสียดาย…พวกเขาถูกทำลายด้วยน้ำมือของแม่ทัพใหญ่ที่เฝ้าภักดี

จะว่าไปแล้วผู้ที่มีความผิดในเรื่องนี้ ผู้ที่ทำให้มันกลายเป็นเยี่ยงนี้ก็คือฮ่องเต้แต่เพียงผู้เดียว

ดังนั้นท่าป๋าเฟิงจึงมองไปที่ฟู่เสี่ยวกวนพลางครุ่นคิดในใจว่า เขาคือพ่อตาของเจ้า ถึงเยี่ยงไรเจ้าก็มิสามารถยกทัพไปปราบปรามเขาได้มิใช่หรือ ?

ฟู่เสี่ยวกวนยกยิ้มที่แฝงไปด้วยความนัย สัมผัสได้ว่าท่าป๋าเฟิงกำลังเดือดดาลอยู่ในใจ อยู่ ๆ เขาก็รู้สึกหนาวขึ้นมา เพิ่งจะตระหนักได้ว่าสุริยาลาลับขอบฟ้าไปแล้ว อากาศจึงเริ่มเย็นลง

ดูเหมือนว่าเฉินเฉียนก็เอ่ยสิ่งที่ต้องการจบแล้ว เขาลุกขึ้นและเทสุราไปเบื้องหน้าสุสาน

“ข้าจะไปแล้ว ต่อไปนี้ข้าจะมิมาดูท่านอีก ท่านอยู่ด้านล่างก็คงสบายดี เพิ่งจะผ่านไปมินานบุฝผาหน้าสุสานก็บานสะพรั่งแล้ว อีกทั้งยังมีพี่น้องกว่า 200,000 นายอยู่กับท่านที่นี่ จากนี้ไปท่านอยู่เบื้องล่างก็หัดมีความกล้าเสียบ้าง อย่าขี้ขลาดเหมือนตอนอยู่บนดินอีก ! ”

เขาทำความเคารพไปหนึ่งครา จากนั้นก็หันไปมองฟู่เสี่ยวกวน

“ขอบคุณสำหรับสุราขวดนี้ และขอบคุณที่ช่วยจัดการศพของกองทัพชายแดนเหนือ”

“พวกเจ้าจะทำอันใดต่อไปเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ทำอันใดต่อไปน่ะหรือ ?

ความสับสนปรากฏขึ้นในแววตาของเฉินเฉียน เขายิ้มแล้วส่ายศีรษะไปมา “มิมีแผนการใดหรอก พวกเราคงไล่ตัดหญ้าไปวัน ๆ จนกว่าจะตายจากกัน”

“ข้าคิดว่าตอนที่เผิงเฉิงอู่ได้รับคำสั่งลับจากฮ่องเต้ เขาคงลังเลอยู่นานเลยทีเดียวเพราะเขารู้ผลลับที่จะตามมาหากลงมือทำ เขามิต้องการทำเช่นนี้ ทว่าในฐานะข้าราชบริพารจึงต้องยอมทำตามบัญชา”

“เขาเลือกเส้นทางที่ผิดจนทำลายเกียรติแห่งกองทัพชายแดนเหนือ บัดนี้เจ้ากำลังทำผิดพลาดแบบเดียวกันกับเขา เจ้าและพรรคพวกคิดว่าการสังหารชาวฮวงมิกี่คนจะสามารถลบล้างบาปที่ติดตัวไปได้ แท้ที่จริงพวกเจ้ามิได้ตระหนักว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นไร้ความหมายยิ่ง”

“เมื่อพวกเจ้าตกตายไป ก็มิได้มีความหมายอันใด”

“เมื่อยามที่ข้าได้พบกับเผิงเฉิงอู่ในครานั้น ข้าเอ่ยกับเขาว่ามนุษย์ย่อมหนีความตายมิพ้น ความตายของบางคนหนักเยี่ยงขุนเขาไท่ซาน ส่วนความตายของบางคนก็บางเบาดั่งขนนก เขาเลือกเส้นทางที่จะตายเยี่ยงเขาไท่ซานและข้าหวังว่าเจ้าจะมิตายดั่งขนห่านป่า”

“ดังนั้น…หากพวกเจ้ายินยอมก็จงเข้าร่วมกับทหารดาบเทวะเถิด หากจะตายก็ต้องตายเยี่ยงผู้มีปัญญาและมีเกียรติ เช่นนั้น…พวกเราก็ไปสู้รบที่แคว้นอี๋ด้วยกันเถิด ตกลงหรือไม่ ? ”

คำชักชวนของฟู่เสี่ยวกวนดังก้องอยู่ในหูของทหารเร่ร่อนเหล่านี้ ทำให้หัวใจที่เงียบสงบมาเนิ่นนานบังเกิดคลื่นโหมซัดอีกครา…พวกเขาคือทหารที่ยังหลงเหลืออยู่ของกองทัพชายแดนเหนือ ทั้งยังภูมิใจที่ได้ชื่อว่าเป็นทหารชายแดนเหนือมาโดยตลอด พวกเขารู้ว่าสักวันหนึ่งจะต้องตกตายในสนามรบแต่ก็หวังว่าจะตายเยี่ยงเขาไท่ซาน

ดังนั้นทุกสายตาจึงมองไปยังเฉินเฉียน

เฉินเฉียนก้มศีรษะลง แล้วนิ่งเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นก็หันไปมองสหายร่วมรบทุกนาย ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ข้าคิดว่าสิ่งที่ติ้งอันป๋อเอ่ยมาถูกต้องยิ่ง ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะได้เป็นส่วนหนึ่งของทหารดาบเทวะ จงอย่าลืมว่าพวกเจ้าเคยฝันอยากเป็นทหารดาบเทวะมาก่อน”

“แล้ว…ท่านเล่า ? ” ทหารนายหนึ่งเอ่ยถามออกมา

“ข้าหรือ ? ข้าเหลือแขนเพียงข้างเดียว หากเข้าร่วมกองทัพดาบเทวะก็อาจจะเป็นภาระเอาได้…”

ก่อนที่เขาจะเอ่ยจบ เฮ้อซานเตาก็ได้ใช้มือตบลงที่ไหล่ของเขาเบา ๆ “สหาย ผู้ใดบอกกับเจ้าว่ามีแขนข้างเดียวแล้วจะมิสามารถสังหารผู้คนได้ ? เจ้าเคยเห็นผู้ที่ไร้แขนทั้งสองข้างแต่ยังสามารถปัสสาวะได้หรือไม่ ? การมีแขนมิครบแล้วจะหายใจมิออกจนตายหรือเยี่ยงไรกัน ? ข้าคือผู้บังคับการทหารดาบเทวะกองพลน้อยที่สาม ข้าชื่นชอบในความใจกล้าของเจ้า ขอเพียงเจ้าตอบตกลง ข้าจะให้เจ้าเป็นหัวหน้ากองพันที่หนึ่งคนแรกของข้า ส่วนทหารเหล่านี้ก็ยังเป็นของเจ้า ! ”

“เชื่อข้าเถิด หากพวกเจ้าผ่านการฝึกฝนแล้วตามข้าไปที่หอชุ่ยหง… ไอหยา มิใช่ ! ไปบุกสังหารที่แคว้นอี๋ด้วยกัน ไปคว้าอนาคตที่สดใส ! เยี่ยงนั้นก็ตกลงตามนี้ เมื่อกลับไปถึงเมืองยวี่ซิ่ว ข้า…เฮ้อซานเตาผู้นี้จะเชิญพวกเจ้ามาร่วมดื่มสุรา ! ”

เฉินเฉียนยังมิทันได้เอ่ยสิ่งใดออกมา เฮ้อซานเตาก็ลากแขนเขาเดินออกไปแล้ว อีกทั้งยังยื่นมือไปด้านหน้าแล้วเอ่ยว่า “ตั้งแต่นี้ พวกเจ้าเป็นทหารของกองพลน้อยที่สามของข้า ไปเถิด…ติ้งอันป๋อและฮูหยินเพิ่งได้พบกัน ราตรีนี้คงมีเรื่องให้สนทนากันอีกมากโข เมื่อดูจากสีหน้าของพวกเขาทั้งสองคน คาดว่าคงจะทนมิไหวแล้ว ! ”

ใบหน้าของอู๋หลิงเอ๋อร์แดงเรื่อขึ้นเรื่อย ๆ ฟู่เสี่ยวกวนเมื่อได้ยินดังนี้ก็หัวเราะออกมาเสียงดัง

เมื่อเฉินเฉียนมองย้อนกลับไปก็รู้สึกว่าบุปผาที่อยู่หน้าสุสานแห่งนี้ ดูมีสีสันขึ้นมาทันตา