ตอนที่ 811 ราตรีนั้น

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 811 ราตรีนั้น

ฟู่เสี่ยวกวนพร้อมผู้ติดตามทั้งหลายพักอยู่ที่เมืองกูหยุน

ในอีกมิกี่วันข้างหน้า เขาจะไปยังเมืองสำคัญต่าง ๆ ในอาณาเขตโดยรอบนี้ เพื่อสำรวจว่ามีทรัพยากรใดควรค่าแก่การพัฒนาบ้าง จากนั้นค่อยหาวิธีแก้ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของชาวฮวง

ในปัจจุบันเมืองกูหยุนเกือบจะเป็นเมืองร้างไร้ซึ่งผู้คน คราหนึ่งเคยถูกกวนเสี่ยวซียกพลมาโจมตี และยังถูกเฟิงเสียนชูปล้นสะดมไปอีก เมื่อชาวฮวงไร้ที่ไปจึงแห่กันไปยังฮวงถิง ทว่าในระหว่างเดินทางก็ล้มตายกันมากกว่า 200,000 คนเลยทีเดียว

ดังนั้นจำเป็นต้องฟื้นฟูเมืองนี้เพื่อหาหนทางให้ชาวฮวงมีชีวิตรอดต่อไป

ราตรีนี้เงียบสงบ แสงไฟที่จวนเจ้าเมืองสว่างโร่ขึ้นมา

ในเวลานี้ฟู่เสี่ยวกวนมิได้คิดสิ่งใดเพราะกำลังกินมื้อค่ำอยู่กับอู๋หลิงเอ๋อร์ สวี่ซินเหยียน ซูซู และจางเพ่ยเอ๋อร์ด้วยความยินดี

อู๋หลิงเอ๋อร์เคยได้ยินนามของสวี่ซินเหยียนและคนอื่น ๆ มาบ้าง เวลานี้จึงเป็นการพบกันคราแรกอย่างเป็นทางการ อาจเป็นพิธีที่มิคุ้นเคยแต่ก็มิสามารถหลีกเลี่ยงได้ นางจึงคิดว่าถ้าได้ทำความรู้จักกันแล้วบรรยากาศก็จะดีขึ้นมาเอง

“…เทียนซื่อเป็นเยี่ยงไรบ้าง ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้นมาในระหว่างมื้ออาหาร อู๋เทียนซื่อนับเป็นบุตรชายคนแรกของเขาตั้งแต่ได้มายังโลกใบนี้ เขาจึงรู้สึกคิดถึงและเป็นห่วงมากยิ่งนัก

“ในด้านอื่นล้วนดีหมด เพียงแต่ซุกซนไปบ้าง บัดนี้เขาสามารถเรียกชื่อท่านพ่อได้แล้ว แต่ยังเดินมิค่อยคล่องเท่าใดนัก”

ฟู่เสี่ยวกวนหัวเราะออกมา “ลำบากเจ้าแล้ว”

อู๋หลิงเอ๋อร์หน้าแดงขึ้นมาทันที “ก็มิได้ลำบากอันใดหรอก แท้ที่จริงเป็นเรื่องที่น่ายินดี…ตอนให้เลือก เขาก็เลือกจับดาบ ความหมายของท่านพ่อคือให้เขาฝึกวรยุทธ์ เมื่อเขาอายุครบ 2 ขวบก็จะให้เขาฝึกวิชากับโหยวเป่ยโต้ว ท่านคิดเห็นว่าเยี่ยงไร ? ”

“สิ่งนี้ขึ้นอยู่กับตัวเขาว่าชอบหรือมิชอบ ข้าจะมิก้าวก่ายความชอบของลูกทุกคน”

“ถ้าเช่นนั้น…” อู๋หลิงเอ๋อร์กัดริมฝีปากและเงยหน้าขึ้น “ ข้าคิดว่าการฝึกวรยุทธ์คือสิ่งจำเป็น เขามีฐานะสำคัญจึงมิสมควรอ่อนแอ เมื่อถึงเวลานั้นก็ให้โหยวเป่ยโต้วฝึกฝนแล้วกัน”

มื้อค่ำจบลงอย่างรวดเร็ว สวี่ซินเหยียน อู๋หลิงเอ๋อร์ และคนอื่น ๆ ร่วมสนทนากันภายในจวน จากนั้นก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนส่งผลให้บรรยากาศในจวนเจ้าเมืองกลับมาเปล่าเปลี่ยวอีกครา

แสงเทียนสว่างขึ้นในห้องนอน ฉายเงาสะท้อนของคนสองคนบนหน้าต่างที่ค่อย ๆ ขยับเข้าใกล้กันจนหลอมรวมเป็นเงาร่างเดียว

“ท่านพี่”

“อืม”

“ข้าคิดถึงท่าน”

“…ข้าก็คิดถึงเจ้าเช่นเดียวกัน”

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยตรงกันข้ามกับความในใจ เดิมทีเขามิกล้าคิดถึงอู๋หลิงเอ๋อร์หรอก แม้ว่าบิดาอ้วนจะแจ้งความจริงไว้ในจดหมายเกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของอู๋หลิงเอ๋อร์แล้ว แต่ตัวเขาก็ยังมิสามารถยอมรับมันได้

ทว่าเมื่อได้พบกันที่ทุ่งหญ้าในวันนี้ จังหวะที่เขานั่งอยู่บนหลังอาชาแล้วอู๋หลิงเอ๋อร์พุ่งเข้ามาจนตกลงไปบนพื้น เขาก็รู้สึกได้ว่าสตรีนางนี้มีความรู้สึกหวงแหนต่อเขามากเสียเหลือเกิน

เขาจึงตระหนักได้ว่าความรู้สึกนี้ควรค่าแก่การเก็บรักษาไว้ชั่วชีวิตนี้

เขาดึงอู๋หลิงเอ๋อร์มาไว้ในอ้อมกอด จากนั้นก็ลูบศีรษะของนางอย่างเบามือ ศีรษะของนางพิงอยู่ในอ้อมอกของเขา ใจดวงน้อยพลันเต้นรัวมิยอมหยุด…ท่านจะทำอันใดก็รีบทำเถิด !

ฟู่เสี่ยวกวนกำลังเตรียมการอยู่ ทว่าเมื่อหายใจเข้าเพียงมิกี่คราอู๋หลิงเอ๋อร์ก็ยากที่จะควบคุมตนเองแล้ว นางจึงใช้แรงทั้งหมดโอบอุ้มร่างของฟู่เสี่ยวกวนแล้วเดินไปที่เตียง “อึ๊… ! ” นางโยนฟู่เสี่ยวกวนลงเตียงทันใด

นางมีใบหน้างดงามราวกับดอกท้อ บัดนี้ดวงตาเจ้าเล่ห์คู่นั้นน่ามองยิ่งขึ้นไปอีก…

“ท่านพี่…”

“ข้าอยากมีบุตรให้ท่านอีก ! ”

นางค่อย ๆ ถอดอาภรณ์สีแดงสดออกจากร่าง หลังจากนั้นชายผ้าม่านของเตียงก็กวัดแกว่งไป

ราวกับลมกระโชกใส่ยอดหญ้า และห่าฝนที่โหมกระหน่ำใส่ต้นไม้ใหญ่

ฟู่เสี่ยวกวนคือผู้ที่มีใจฝักใฝ่มุ่งมั่น คือผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ทั้งยังเป็นบุรุษหนุ่มหน้าอ่อนผู้ไร้เดียงสา……

แสงเทียนดับลง พายุฝนก็พลันสงบลงด้วยเช่นกัน

มือของฟู่เสี่ยวกวนคลอเคลียอยู่กับผิวกายเนียนละเอียด อู๋หลิงเอ๋อร์หดกายอยู่ในอ้อมแขนของเขามิต่างจากกระต่ายแสนเชื่อง

“ท่านพี่…”

“อือ”

“ข้าดูเหมือนสตรี…ทำนองนั้นหรือไม่ ? ”

หัวใจของฟู่เสี่ยวกวนยังหวาดผวามิหาย “…มิเหมือนหรอก แต่ข้าชอบมากยิ่งนัก”

ดวงตาของอู๋หลิงเอ๋อร์เปล่งประกายขึ้นมาทันใด นางเลียริมฝีปากแล้วเงยหน้าขึ้น “จริงหรือ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้าอย่างจำยอม “จริงสิ ! ข้าชอบความร้อนแรงเยี่ยงเจ้า”

อู๋หลิงเอ๋อร์พลิกขึ้นมาอยู่ด้านบน อืม…ราวกับนางกำลังควบอาชาแล้วขี่ออกไปอย่างรวดเร็ว !

……

……

สุริยาลอยเหนือทุ่งหญ้า

ฟู่เสี่ยวกวนลุกออกจากที่นอนตอนยามเฉิน ทว่าบัดนี้ประตูห้องยังคงปิดอย่างแน่นหนา

ซูซูและคนอื่น ๆ นั่งลงที่โต๊ะเพื่อกินมื้อเช้า ซึ่งสวี่ซินเหยียนเป็นผู้ลงมือทำ

ซูซูยกมือขึ้นเท้าคาง และเอ่ยถามอย่างประหลาดใจว่า “ เช้านี้เขาเป็นอันใดไป ? ”

สวี่ซินเหยียนลอบยิ้มออกมา “ยิ่งห่างไกลยิ่งทำให้รักกัน พวกเขาจากกันมานานกว่าหนึ่งปีแล้ว”

ซูซูหน้าแดงขึ้นมาทันพลัน ทันใดนั้นก็เอ่ยถามเสียงแผ่วว่า “เรื่องอย่างว่านั้น…มันน่าสนใจถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ? ”

“รอให้เจ้าได้ชิม ก็จะรู้ด้วยตนเอง… พวกเราลงมือกินกันเถิด มิต้องรอพวกเขาแล้ว”

ซูซูยังคงนั่งเท้าคางพลางเหลือบมองไปที่บานประตูแล้วหัวเราะออกมา

“เจ้าหัวเราะอันใดกัน ? ”

“ข้าอายุ 16 ปีแล้ว”

“…”

หลังจากสตรีทั้งสามกินมื้อเช้าเสร็จแล้ว บานประตูถึงได้เปิดออก

ฟู่เสี่ยวกวนเดินออกมาอย่างเชื่องช้า เพราะรู้สึกว่าแข้งขาแสนอ่อนแรง

เขาค่อย ๆ เดินไปที่โต๊ะ ซูซูเงยหน้าขึ้นมอง พบว่าเบ้าตาของเขาคล้ำขึ้นมากนัก หรือว่าเขาจะมิสบายกัน ?

จากนั้นอู๋หลิงเอ๋อร์ที่อยู่อาภรณ์สีแดงก็เดินตามมา ทว่าก้าวย่างของนางนั้นแสนผ่อนคลายราวกับหยดน้ำค้างในฤดูใบไม้ผลิ

นางนั่งลงที่โต๊ะ ตำแหน่งด้านข้างของฟู่เสี่ยวกวน

สายตาของซูซูเหลือบมองทั้งสองคน จากนั้นจึงเอ่ยออกมาว่า “วันนี้พี่สาวงดงามขึ้นมากเลยเจ้าค่ะ ! ”

“เหมือนดั่งบุปผาที่ได้รับน้ำฝนและน้ำค้างจนบานสะพรั่ง ! ”

อู๋หลิงเอ๋อร์เขินอายขึ้นมาทันใด สวี่ซินเหยียนถลึงตาใส่ซูซู เพียงแต่คนผู้นั้น…เหตุใดจึงมีท่าทีเศร้าสลดใจเยี่ยงนี้ นี่มิต่างอันใดจากมะเขือม่วงที่โดนน้ำค้างแข็งเกาะกุมเลยสักนิด

จางเพ่ยเอ๋อร์ลอบยิ้มออกมา พลางชื่นชมอู๋หลิงเอ๋อร์อยู่ในใจ หวนนึกไปถึงคราที่นางและสวี่ซินเหยียนถูกเขาจัดการอย่างฮึกเหิมประดุจมังกรผาดโผน ทว่าคืนที่ผ่านมาก็ประจักษ์ชัดแจ้งแล้วว่าเขาพ่ายแพ้ต่ออู๋หลิงเอ๋อร์เสียจนยับเยิน

วันข้างหน้ายังอีกยาวไกล ดังนั้นควรจะเรียนรู้จากพี่หลิงเอ๋อร์เอาไว้บ้าง

ฟู่เสี่ยวกวนกินมื้อเช้าอย่างตะกละตะกลามจากนั้นก็เอ่ยว่า “ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป ข้าต้องฝึกฝนคัมภีร์พระสูตรเก้าหยางต่อแล้ว”

สวี่ซินเหยียนหัวเราะคิกคัก อู๋หลิงเอ๋อร์รู้สึกเขินอายมากยิ่งนัก จางเพ่ยเอ๋อร์ถลึงตาใส่ฟู่เสี่ยวกวน ส่วนซูซูแสดงสีหน้างุนงง

เมื่อกินมื้อเช้าเสร็จสิ้น ก็พักผ่อนอีกราวครึ่งชั่วยาม ในที่สุดฟู่เสี่ยวกวนก็ฟื้นคืนสภาพ

เขาพาพวกนางทั้งสี่ออกมาจากจวนเจ้าเมือง บังเอิญพบเฮ้อซานเตากับเฉินเฉียนนั่งรออยู่หน้าประตู

“เหล่าเฉิน ข้าจะบอกเจ้าว่าเหตุใดบุรุษต้องมีสตรีไว้เคียงกาย ? เพราะบุรุษต้องการพลังจากร่างกายของสตรีเยี่ยงไรเล่า พวกนางสามารถมอบพลังมหาศาลอย่างหาที่สุดมิได้ให้กับพวกเรา ทำให้พวกเรารู้จักคำว่าต่อสู้อย่างสุดกำลัง…”

เขาตบไปที่ไหล่ของเฉินเฉียน “เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่ ? ”

เฉินเฉียนส่ายศีรษะด้วยใบหน้างุนงง “เหตุใดข้าถึงมิเคยรู้สึกเยี่ยงนั้นเลยเล่า ? ”

“ก็เพราะเจ้ายังมิพบสตรีในดวงใจเยี่ยงไรเล่า ก็เหมือนติ้งอันป๋อของพวกเรา เจ้ามิสงสัยหรือว่าเหตุใดเขาถึงมีสตรีงดงามอยู่ข้างกายตั้งหลายคน ? ”

“เจ้ายังมิเคยเห็นเขาฮึกเหิมประดุจมังกรผาดโผนอยู่ตลอดเวลา และนั่นคือพลังที่เขาได้รับมาจากร่างกายของบรรดาสตรีของเขา…”

เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านหลัง ทั้งสองจึงลุกขึ้นแล้วหันไปมอง…

เฉินเฉียนบังเกิดความสงสัยขึ้นมา เนื่องจากติ้งอันป๋อมิได้ฮึกเหิมประดุจมังกรผาดโผนแต่ดูเหมือนว่าจะไร้ชีวิตชีวาด้วยซ้ำไป