ตอนที่ 812 เรื่องอดีตในลานเล็ก

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 812 เรื่องอดีตในลานเล็ก

รัชสมัยเซวียนลี่ปีที่สิบเอ็ด วันที่ห้า เดือนห้า เทศกาลตวนอู่

ราษฎรในราชวงศ์หยูกำลังฉลองเทศกาลตวนอู่ แต่ละเมืองเต็มไปด้วยบรรยากาศครึกครื้น ทว่าในเมืองชังถงทางใต้ของราชวงศ์หยูถูกปกคลุมไปด้วยเมฆแห่งสงคราม

เมืองชังถงถูกกองทัพ 600,000 นายจากราชวงศ์อู๋ปิดล้อมเอาไว้ทั้งเมือง นี่ก็เป็นวันที่สิบสองแล้ว

ทหารชายแดนใต้มีท่าทีตึงเครียดอยู่ตลอดเวลา พวกเขาเป็นกังวลว่าทหารชาวอู๋ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามจะจู่โจมเมืองชังถงในบางจุดเข้าสักวัน

มิมีผู้ใดรู้ว่าเหตุใดกองทัพราชวงศ์อู๋จึงยกทัพมาเช่นนี้ พวกเขารู้สึกสงสัยเป็นอย่างยิ่ง พลางคิดไปว่าติ้งอันป๋อเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ ทั้งยังมีอีกสถานะหนึ่งคือพระราชบุตรเขยของฮ่องเต้ มิว่าเยี่ยงไรทหารชาวอู๋ก็ไร้เหตุผลในการทำสงครามกับชาวหยู

แต่ในฐานะทหาร พวกเขามิผิดที่จะหวาดกลัวบ้างเพราะในเมื่อมันคือสงคราม พวกเขาต้องถือดาบและปืนเอาไว้ในมือให้มั่น

ทว่าวันนี้ สิ่งต่าง ๆ ดูเหมือนจะเปลี่ยนแปลงไป

แม่ทัพใหญ่หยูนำขบวนรถม้ามาที่ประตูเมืองทางทิศใต้ จากนั้นก็สั่งให้ทหารรักษาเมืองเปิดประตู รถม้าสิบกว่าคันทะยานออกจากเมืองมุ่งหน้าไปยังค่ายทหารชาวอู๋ ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้าม

แม่ทัพใหญ่หยูมิได้ติดตามขบวนนั้นไป ทว่าสีหน้าของเขาเคร่งขรึมยิ่งนัก

เขาเดินขึ้นไปบนหอคอย มองขบวนรถม้าที่เคลื่อนตัวไปช้า ๆ ด้วยกล้องส่องทางไกล

นั่นคือขบวนรถม้าของฮองเฮาซั่ง

ฮองเฮาซั่งมาถึงเมืองชังถงเมื่อวานนี้ หยูชุนชิวก็เพิ่งทราบในตอนนั้นเองว่า จักรพรรดิอู๋ก็เสด็จมาถึงเมืองเปียนเฉิงแล้วเช่นกัน

จักรพรรดิอู๋เชิญฮองเฮาซั่งไปพบ ณ เมืองเปียนเฉิง

เรื่องนี้ทำให้หยูชุนชิวรู้สึกเป็นกังวลมากยิ่งนัก เขาคิดที่จะห้ามทว่าฮองเฮาซั่งกลับมิหวาดกลัวใด ๆ ทั้งสิ้น

สิ่งที่พวกเขามิรู้คือสวี่หยุนชิงและซูฉางเซิงก็เดินทางไปที่เมืองชายแดนแห่งนี้ด้วยเช่นกัน

ทุกวันนี้เมืองเปียนเฉิงเต็มไปด้วยสถานการณ์อันตราย สีหน้าของผู้คนในเมืองนั้นดูเป็นกังวลยิ่ง… แท้จริงแล้วในช่วงเวลานี้ของทุกปี ถือเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับการค้าขาย ผู้คนในเมืองเปียนเฉิงส่วนใหญ่จะสามารถหาเงินได้จากพ่อค้าที่เดินทางมายังเมืองแห่งนี้ แต่คาดมิถึงว่าปีนี้จะมีสงครามเกิดขึ้นมาเสียอย่างนั้น

กองทัพของราชวงศ์อู๋เข้ายึดเมืองเปียนเฉิง บัดนี้พวกเขาส่งทหารรักษาการณ์ระดับเล็กมาประจำการอยู่ที่เมืองเล็ก ๆ แห่งนี้

ได้ข่าวว่าด่านหน้ากำลังเผชิญกับความตึงเครียดอยู่ แต่ก็ยังมิมีการต่อสู้เกิดขึ้น มันจะดีมากยิ่งนักหากมิเกิดขึ้นจริง ๆ เพราะพวกเขามิได้ต้องการความขัดแย้งเยี่ยงนี้ ดังนั้นอยู่เฉย ๆ ย่อมดีที่สุดมิใช่หรือ ?

เมื่อวานนี้ตรอกเจ็ดก้าวถูกประกาศให้อยู่ภายใต้กฎอัยการศึก ดูเหมือนว่าจะมีบุคคลสำคัญมาเยือน แม้มิรู้ว่าผู้มาเยือนจะนำโชคดีหรือภัยพิบัติมาให้ ทว่าผู้คนในเปียนเฉิงก็ยังคงรอฟังข่าวด้วยจิตใจที่มิสงบ

ณ ลานเล็กบริเวณสวนดอกท้อของตรอกเจ็ดก้าว ฟู่ต้ากวนร่วมสนทนากับสวี่หยุนชิงและซูฉางเซิง

สำหรับสวี่หยุนชิงที่ฟื้นจากความตายนั้น มิได้ทำให้ฟู่ต้ากวนแปลกใจแต่อย่างใด ตรงกันข้ามใบหน้าของเขากลับเต็มไปด้วยความยินดี “ในที่สุดเจ้าก็โผล่หน้ามาเสียที”

“นับตั้งแต่ที่ข้าทราบว่าเขายังมิตาย ข้าก็อยากมาดูบุตรของข้าบ้าง”

“พวกเจ้าเคยพบกันแล้วหรือยัง ? ”

สวี่หยุนชิงส่ายศีรษะ แล้วพยักหน้าตามมา “เคยเห็นในระยะไกลเท่านั้น”

“เหตุใดต้องทำเหมือนมิรู้จักกันด้วยเล่า ? ”

“…ในใจของข้ารู้สึกกลัวขึ้นมาน่ะสิ”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…” ฟู่ต้ากวนหัวเราะเสียงดัง “สวี่หยุนชิง คนเยี่ยงเจ้ากลัวเป็นด้วยหรือ ? ”

สวี่หยุนชิงรู้สึกเสียหน้ามากยิ่งนัก นางจึงเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ซั่งรั่วซุ่ยออกจากเมืองชังถงแล้ว เจ้าวางแผนใดไว้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฟู่ต้ากวนหยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากอกเสื้อ จากนั้นก็ยื่นให้สวี่หยุนชิง “นี่คือจดหมายจากบุตรชายของเจ้า ลองเปิดอ่านดูเถิด”

สวี่หยุนชิงยื่นมือออกไปรับ จากนั้นก็คลี่เปิดอ่านทันที อืม…ช่างเป็นตัวอักษรที่คุ้นเคยและเขียนได้น่าเกลียดมากยิ่งนัก

‘ท่านพ่อ ลูกสบายดี

แคว้นฮวงตกอยู่ในมือของลูกแล้ว ลูกตัดสินใจว่าจะมิยกดินแดนแห่งนี้ให้พ่อตาแล้ว พวกเราเก็บมันไว้เองเถิด ลูกเห็นว่าทิวทัศน์ของสถานที่แห่งนี้มิเลวเลย ต่อจากนี้ก็คิดเสียว่ามันเป็นสวนดอกไม้หลังบ้านของราชวงศ์อู๋ หากว่างก็มาชมทิวทัศน์ของทุ่งหญ้าแห่งนี้กันเถิด

ที่ลูกเขียนจดหมายฉบับนี้ถึงท่านเพราะมีสองเรื่องจะให้ท่านช่วย เรื่องแรกคือลูกได้ยินจากซูม่อว่าท่านแม่ยังมิตาย อีกทั้งนางยังเดินทางมาที่ฮวงถิงแล้วช่วยซูม่อจับกุมท่าป๋าเฟิงจักรพรรดิแห่งแคว้นฮวงอีกด้วย… แน่นอนว่าลูกมิเชื่อเพราะเคยกลับไปที่หลิงเจียงเพื่อเซ่นไหว้ท่านแม่เมื่อปลายปีที่แล้ว

แต่เจ้านั่นให้สัตย์สาบานที่เต็มไปด้วยความจริงจังน่าเชื่อถือ เขาเอ่ยว่าหากโกหกแม้แต่คำเดียวก็ขอให้สายฟ้าฟาด แน่นอนว่าฟ้ามิได้ผ่าลงมา ดังนั้นก็เหมือนว่าจะเป็นความจริง

เช่นนั้น ท่านบอกลูกได้หรือไม่ว่าท่านแม่ยังมิตาย ?

ลูกมีหน้าตาหล่อเหลาถึงเพียงนี้ ท่านแม่คงจะงดงามมากยิ่งนัก ลูกมีหลายสิ่งในใจที่อยากสนทนากับนาง และอยากพบนางสักครา’

เมื่อสวี่หยุนชิงอ่านถึงประโยคนี้ก็หลุดหัวเราะออกมา นัยน์ตาเต็มไปด้วยความรัก และหัวใจของนางก็มีความสุขยิ่งนัก

เจ้าเอ่ยถูก เพราะท่านแม่ของเจ้างดงามอย่างแท้จริง !

‘เรื่องนี้สำคัญยิ่ง หากท่านได้ข่าวคราวของท่านแม่ก็รีบส่งคนไปตามหานาง แล้วให้นางรอลูกกลับมาด้วยเถิด

เรื่องที่สองเกี่ยวข้องกับราชวงศ์หยู

ลูกคิดว่าตอนนี้ยังมิใช่เวลาทำสงครามกับราชวงศ์หยู เนื่องจากนางสนมและบุตรของท่านเดินทางไปยังราชวงศ์อู๋แล้ว ทว่าบรรดาฮูหยินของลูกยังอยู่ที่จินหลิง !

หากพ่อตาเปลี่ยนใจแล้วใช้อำนาจตัดศีรษะฮูหยินและบุตรของลูกขึ้นมา แม้จะยึดครองราชวงศ์หยูได้ แต่ย่อมมิคุ้มค่ากับสิ่งที่เสียไปอย่างแน่นอน ! ’

สวี่หยุนชิงขมวดคิ้วมุ่น สีหน้าของนางพลันเย็นเยียบขึ้นมา “หากเขากล้า ! ข้าจะสังหารเขาด้วยมือคู่นี้เอง ! ”

กิริยาที่คุ้นเคย เมื่อฟู่ต้ากวนเห็นเช่นนี้จึงหัวเราะออกมา

สวี่หยุนชิงหายใจเข้าลึกแล้วก้มหน้าอ่านต่อ

‘สงครามขึ้นอยู่กับรากฐานทางเศรษฐกิจ มิสามารถสู้รบแบบสุ่มสี่สุ่มห้าได้

สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการรักษาเสถียรภาพของเขตปกครองตนเองชื่อเล่อชวนให้ได้เสียก่อน ตามที่ลูกคาดการณ์ไว้คือจะมีชาวฮวงราวสองในสิบส่วนเสียชีวิตจากความอดอยากในปีนี้ แต่ก็จะมีชาวฮวงห้าสิบหรือหกสิบล้านคนอยู่รอดจากความอดอยากในปีนี้เช่นกัน อาจจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งปี เขตปกครองตนเองถึงจะสามารถดำเนินการพัฒนาในขั้นตอนต่อไปได้

ดังนั้นในปีหน้าจะเป็นปีที่สำคัญสำหรับการพัฒนาชื่อเล่อชวน ลูกยังคิดมิออกว่าจะจัดการเยี่ยงไร เอาเป็นว่าท่านรอฟังข่าวจากลูกก็แล้วกัน

ส่วนแคว้นอี๋ก็ต้องรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจเอาไว้ด้วย ลูกวางแผนแต่งตั้งจักรพรรดิหุ่นเชิดให้ขึ้นครองบัลลังก์ และเมื่ออำนาจทางเศรษฐกิจของราชวงศ์อู๋ก้าวไปอีกขั้น ค่อยเข้ายึดแคว้นอี๋อย่างเต็มรูปแบบก็ยังมิสาย

สำหรับการยึดครองราชวงศ์หยูควรรออีกสองหรือสามปี ทว่านี่เป็นเพียงการประเมินเพราะต้องค่อยเป็นค่อยไป

ครานี้ราชวงศ์หยูต้องมีค่าตอบแทนสำหรับเรื่องนี้อย่างแน่นอน

นี่คือสิ่งที่ลูกคิดไว้ทั้งหมด หากมีจุดใดที่อยากจะแก้ไขท่านสามารถจัดการได้ตามสะดวก…’

แม้ตัวอักษรจะน่าเกลียดไปบ้าง ทว่าจดหมายฉบับนี้ก็มีข้อมูลเชิงลึกอยู่แน่นขนัด

สวี่หยุนชิงหันไปด้านข้าง พลางยื่นจดหมายคืนฟู่ต้ากวน “เจ้าจะทำตามที่เขาต้องการหรือไม่ ? ”

“แน่นอนอยู่แล้ว เพราะเขาคือบุตรของข้า หากมิให้ข้าฟังเขาแล้วจะให้ข้าฟังผู้ใดกัน ? ”

สวี่หยุนชิงหน้าแดงขึ้นมาทันใด “มิยุติธรรมเอาเสียเลย…อู๋ฉางเฟิงตายแล้วจริงหรือ ? ”

“ข้าเคยสอบถามอัครมหาเสนาบดีทั้งฝั่งซ้ายและขวาแล้ว พวกเขาเอ่ยว่ามิสามารถพิสูจน์ตัวตนของซากศพนั้นได้”

“จี้หยุนกุยและหูฉินพาซูหยางหยางไปยังสุสานจักรพรรดิ จากนั้นก็ลอบเปิดตำหนักจื่อ ข้าได้แอบตามพวกเขาเข้าไป…”

ชายอ้วนส่ายศีรษะไปมา “หน้าตามิเหลือเค้าเดิม ข้าเองก็มิแน่ใจเช่นกัน”

“แล้วขุนนางผู้รับผิดชอบการชันสูตรศพในครานั้นเล่า ? เขาว่าเยี่ยงไร ? ”

“ขุนนางผู้ชันสูตรศพทั้งแปดคนเสียชีวิตทั้งหมดแล้ว เป็นเรื่องที่ข้าสงสัยมาโดยตลอด…แต่เขามิจำเป็นต้องใช้วิธีนี้เพื่อหลบซ่อนตัว เขาจะหลบซ่อนเพื่ออันใดกัน ? ”

สีหน้าของสวี่หยุนชิงเคร่งขรึมขึ้นมาทันใด “บางทีเขาอาจจะทราบข่าวที่ข้ายังมิตาย”

“ถ้าเช่นนั้นเขายิ่งมิควรหลบซ่อนตัว ! ”

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงปลีกตัวออกมาแล้วแสร้งตาย ? ”

ฟู่ต้ากวนตื่นตกใจ “มิใช่เพราะบันทึกหนานเคอทั้งสามบทนั้นหรอกหรือ ? ”

สวี่หยุนชิงหัวเราะเยาะตนเอง “บางเรื่องพวกเจ้าก็มิรู้หรอก”

นางสูดหายใจเข้าลึกแล้วเอ่ยว่า “หากเขายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องอยู่ที่แคว้นฝานเป็นแน่ ! ”

ชายอ้วนเบิกตากว้าง “เพราะเหตุใดกัน ? ”