ซูจิ่นซีทราบเกี่ยวกับสกุลเสวียนหยวน
เพื่อตามหาวิญญาณของเทพธิดาที่อยู่ในร่างของรัชทายาทหมิงเต๋อแห่งต้าฉิน จิ่วหรงได้เข้าไปในพระราชวังฉินในฐานะราชครู และใช้นามแฝงว่าเสวียนหยวน
ต่อมา เพื่อจัดการกับตัวตนนี้ จิ่วหรงได้วางคนไว้ในพระราชวังฉิน ภายหลัง สกุลเสวียนหยวนได้กลายเป็นขุนนางสูงศักดิ์แห่งจักรวรรดิต้าฉิน หรือก็คือตำแหน่งราชครูที่สืบทอดกันเรื่อยมา
สกุลเสวียนหยวนชำนาญด้านกลไก เบญธาตุ และการปกป้องราชวงศ์ต้าฉินจากรุ่นสู่รุ่น
ซูจิ่นซีไม่เข้าใจแม้แต่น้อย สิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับความแค้นระหว่างราชวงศ์ต้าฉินและสกุลมู่หรง
แม้สกุลมู่หรงจะเป็นตระกูลขุนนางในช่วงปลายราชวงศ์ต้าฉิน ทว่าเป็นเพียงขุนนางผู้น้อย อย่างไรก็ตาม พวกเขามีความสัมพันธ์อันดีต่อสกุลเสวียนหยวน ทั้งยังไปมาหาสู่กันอยู่เสมอ
ไม่คิดเลยว่าภายหลัง สกุลเสวียนหยวนจะทรยศราชวงศ์ต้าฉิน ซึ่งนำไปสู่การล่มสลายของราชวงศ์ ทั้งสกุลมู่หรงยังมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้
ในวันที่กองทัพบุกประตูเมือง สกุลเสวียนหยวนทั้งหมดได้อพยพออกจากเมืองหลวงไปแล้ว ในเมืองไม่มีคนของสกุลเสวียนหยวนแม้แต่ผู้เดียว
ฮ่องเต้ทรงกริ้วอย่างมาก พระองค์รับสั่งให้ฆ่าล้างสกุลมู่หรง
“สกุลเสวียนหยวนทรยศราชวงศ์ต้าฉินหรือ? เป็นไปได้อย่างไร? ”
เรื่องอื่นไม่ต้องเอ่ยถึง ผู้ที่จิ่วหรงทิ้งไว้ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้
แม้จะเป็นเวลาหลายร้อยปีมาแล้วที่จิ่วหรงก่อตั้งสกุลเสวียนหยวน จนกระทั่งสกุลเสวียนหยวน ‘ทรยศหักหลังราชวงศ์ต้าฉิน’ ทว่าซูจิ่นซียังคงเชื่อจิ่วหรง เชื่อว่าคนที่จิ่วหรงวางไว้ ไม่มีทางกระทำเรื่องเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม สกุลเสวียนหยวนไม่มีทางทรยศราชวงศ์ต้าฉินแน่นอน
“เข้าใจอันใดผิดหรือไม่? มีเอกสารบันทึกไว้หรือไม่? เรื่องราวในตอนนั้นตรวจสอบชัดเจนแล้วหรือ? ”
มู่หรงฉีส่ายศีรษะ “สถานการณ์ในตอนนั้นวุ่นวายอย่างมาก ไม่มีเบาะแสหลงเหลือพอให้เป็นประโยชน์”
แม้ภายหลังมู่หรงฉีจะส่งคนไปตรวจสอบ ทว่ากลับคว้าน้ำเหลว
“อย่างไรก็ตาม ข้าไม่เชื่อว่าสกุลเสวียนหยวนจะทรยศราชวงศ์ต้าฉิน”
ซูจิ่นซีมองสำรวจมู่หรงฉี เห็นได้ชัดว่านางสงสัยในสิ่งที่มู่หรงฉีพูด เรื่องราวผ่านมาหลายปีแล้ว ทั้งยังไม่มีผู้ใดเห็นเหตุการณ์ในตอนนั้นด้วยตาตนเอง
มู่หรงฉีเพียงพูดออกมาลอยๆ ว่าตนเชื่อในสกุลเสวียนหยวนอย่างไม่มีเหตุผล
มู่หรงฉีราวกับสังเกตเห็นความสงสัยของซูจิ่นซี
“แม้ข้าจะไม่ได้ติดต่อกับสกุลเสวียนหยวน ทว่าข้าได้อ่านเอกสารเกี่ยวกับสกุลเสวียนหยวนมาไม่น้อย และเคยตรวจสอบเรื่องนี้อย่างละเอียด ในตอนนั้น เรื่องราวเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน ยิ่งไปกว่านั้น สกุลเสวียนหยวนไม่มีแรงจูงใจให้ทรยศราชวงศ์ต้าฉิน”
เมื่อกล่าวมาถึงตรงนี้ มู่หรงฉีก็พูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “อย่างไรก็ตาม จิ่นซี ในเวลานั้น ราชวงศ์ต้าฉินสังหารสกุลมู่หรงจริง
ปู่ทวดของพวกเราเป็นผู้นำทัพ ท่านนำสกุลมู่หรงไปฆ่าล้างแค้นเชื้อพระวงศ์ ในสนามรบ กองทัพสกุลมู่หรงต่อสู้อย่างไม่คิดชีวิต ตอนนั้น ผู้ที่ล่วงหน้าไปก่อนไม่มีใครรอดกลับมาสักราย ภายหลังเพื่อยับยั้งการก่อกบฏ ราชวงศ์จึงเสียบศีรษะพวกเขาประจานบนกำแพงเมืองตลอดทั้งเดือน”
เรื่องราวเหล่านี้ไม่มีทางเป็นเรื่องหลอกลวง เหตุการณ์ใหญ่เช่นนั้น หากไปตรวจสอบก็ต้องพบบางอย่าง
ทว่าซูจิ่นซีไม่กล้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ ต่อให้พิสูจน์ไปก็เปลี่ยนแปลงความจริงอันใดไม่ได้ เช่นนั้นจะมีผลดีอันใด?
มู่หรงฉีเห็นซูจิ่นซีนิ่งเงียบไม่พูดอันใด จึงกล่าวต่อ
“จิ่นซี มีบางเรื่องที่พี่ไม่ควรพูดในตอนนี้ ทว่ารีบพูดก่อนดีกว่าพูดทีหลัง หากเจ้าเลิกรากับโยวอ๋องได้ ก็ควรตัดใจโดยเร็ว!
ยามนั้น ราชวงศ์ต้าฉินฆ่าล้างสกุลมู่หรง ข้อกล่าวหาคือสกุลมู่หรงสมรู้ร่วมคิดกับสกุลเสวียนหยวนเพื่อทรยศราชวงศ์ต้าฉิน กองทัพและผู้ที่ภักดีต่อต้าฉินไม่มีผู้ใดไม่ทราบเรื่องนี้ ตอนนี้ โยวอ๋องได้เปิดเผยเรื่องราวต่อกองทัพเป็นที่เรียบร้อย
ได้ยินมาว่า มีคนเขียนหนังสือร้องเรียนให้โยวอ๋องปลดเจ้าออกจากตำแหน่งพระชายา
แม้โยวอ๋องจะรักและเอ็นดูเจ้ามากเพียงใด ก็ไม่สามารถต่อต้านคนทั้งจักรวรรดิต้าฉินเพื่อสตรีเพียงผู้เดียว”
ซูจิ่นซียังคงนิ่งเงียบไม่พูดอันใด
ผ่านไปครู่หนึ่งจึงส่ายศีรษะเล็กน้อยและสบตามู่หรงฉี “นี่คือความคิดของเยี่ยโยวเหยาหรือ? ”
จะเป็นความคิดของเยี่ยโยวเหยาไปได้อย่างไร?
เมื่อทหารต่อสู้กันในสงคราม พวกเขาจะเห็นผู้บัญชาการของอีกฝ่ายได้โดยง่ายหรือ?
ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้มู่หรงฉีเห็นเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาก็ไม่มีทางแสดงความคิดเหล่านี้ เพื่อให้มู่หรงฉีมาบอกแก่ซูจิ่นซี
เมื่อถูกซูจิ่นซีถามตรงจุด มู่หรงฉีจึงมีท่าทีอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด
เขาพูดอันใดไม่ออกชั่วครู่
ซูจิ่นซีแสดงออกอย่างไม่ใส่ใจ นางลุกขึ้น “ช่างเถิด กลับไปก่อน! เรื่องเหล่านี้ วันหลังค่อยคุยกันอีกครั้ง”
พวกเขาเดินทางกลับแคว้นหนานหลี จนมาถึงเมืองเย่หลิน
เมื่อได้ข่าวว่าซูจิ่นซีกลับมาแล้ว มู่หรงอวิ๋นไห่จึงส่งคนไปรับซูจิ่นซีมาที่วังหลวงทันที
เนื่องจากมีประสบการณ์จากครั้งก่อนตอนที่มาพบมู่หรงอวิ๋นไห่ ซูจิ่นซีจึงระวังตัวมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้มู่หรงอวิ๋นไห่ไม่ได้กักขังซูจิ่นซี ทว่าเขาพูดเกลี้ยกล่อมนางอยู่นาน ซึ่งไม่มีอันใดมาก นอกจากต้องการให้ซูจิ่นซีเลิกรากับเยี่ยโยวเหยา
ซูจิ่นซีจัดการอย่างระมัดระวัง ไม่ว่ามู่หรงอวิ๋นไห่จะพูดอันใด ซูจิ่นซีก็ไม่ต่อต้านและไม่ตอบโต้
ทว่าสุดท้าย มู่หรงอวิ๋นไห่ก็ทำเรื่องที่น่ารังเกียจที่สุด
“จิ่นซี! ตอนนี้เจ้าก็รู้สถานการณ์ของแคว้นหนานหลีแล้ว ด้านหน้ามีแคว้นจงหนิง ตะวันออกมีแคว้นตงเฉิน ทั้งสองแคว้นต่างร่วมกันโจมตี สถานการณ์ของแคว้นหนานหลีไม่ใคร่จะดีนัก”
“พ่อประสงค์จะเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นเป่ยอี้… ”
มู่หรงอวิ๋นไห่พูดเพียงครึ่งประโยคแรก ซูจิ่นซีก็รู้แล้วว่าครึ่งประโยคหลังเขาจะพูดอันใด
นางไม่รอให้มู่หรงอวิ๋นไห่พูดจบ ก็เอ่ยขัดขึ้น “เสด็จพ่อยังมีธิดาองค์อื่นให้แต่งกับแคว้นเป่ยอี้ไม่ใช่หรือ? ”
“จิ่นซี เจ้าอย่าถามในสิ่งที่เจ้าทราบดีอยู่แล้วได้หรือไม่? พ่อมีเพียงเจ้ากับฉีเอ๋อร์สองคนที่เป็นบุตรธิดา จะมีธิดาองค์อื่นให้แต่งกับแคว้นเป่ยอี้ได้อย่างไร? ”
“เช่นนั้น เสด็จพ่อต้องการคัดเลือกสตรีสูงศักดิ์จากกลุ่มขุนนางชั้นผู้ใหญ่เพื่อแต่งตั้งเป็นจวิ้นจู่หรือ? ”
สุดท้ายแล้ว ในหมู่เชื้อพระวงศ์ก็ไม่มีสตรีที่สามารถแต่งงานได้
“คนของแคว้นเป่ยอี้มีสถานะสูงศักดิ์ ทั้งยังเป็นเรื่องของการเชื่อมสัมพันธ์ สตรีที่ได้รับการแต่งตั้งต้องอภิเษกกับท่านอ๋องน้อยเย่
ทว่าสตรีที่ได้รับเลือกจากขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนัก จะมีสถานะและสายเลือดที่คู่ควรกับท่านอ๋องน้อยเย่ผู้สูงศักดิ์ได้อย่างไร? ”
กล่าวมาถึงตรงนี้ หากซูจิ่นซียังไม่เข้าใจว่ามู่หรงอวิ๋นไห่หมายความว่าอย่างไร นางคงเติบโตมาอย่างน่าเวทนาแล้ว
เห็นได้ชัดว่าน้ำเสียงของนางมีความเย็นชาเล็กน้อย “เสด็จพ่อหมายความว่าอย่างไร? ”
มู่หรงอวิ๋นไห่มีน้ำเสียงอ่อนลง เขาเดินลงมาจากบัลลังก์
“ความหมายของพ่อคือ ระหว่างเจ้ากับโยวอ๋องต้องจบกันให้เร็วที่สุด ลงนามใบหย่าให้เร็วที่สุด… ”
มู่หรงอวิ๋นไห่ยังพูดไม่ทันจบ ซูจิ่นซีก็เอ่ยขัดขึ้นว่า “แล้วก็ไปดองกับแคว้นเป่ยอี้? ”
มู่หรงอวิ๋นไห่ตื่นเต้นจนเคราสั่น “นั่นคือสิ่งที่พ่อหมายถึง ธิดาข้า เจ้าต้องเห็นใจพ่อ พ่อทำเพื่อเจ้าและแคว้านหนานหลีของเรา”
หากซูจิ่นซีไม่มีสายเลือดเดียวกันกับมู่หรงอวิ๋นไห่ นางคงตบหน้าเขาให้สาแก่ใจ
ไม่รู้เพราะเหตุใด ในปีนั้น มารดาของนางหรือจงซีจือ จึงตกหลุมรักสวะที่ขายได้แม้กระทั่งบุตรสาวตนเองเช่นนี้
สงสารแต่จิ่วหรงที่ใช้ตบะพันปีเพื่อรวบรวมวิญญาณสร้างร่างของนาง
ช่าง… น่ารังเกียจ!
เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ซูจิ่นซีก็แทบอาเจียน
ทว่าใบหน้าของนางกลับปรากฏรอยยิ้มเป็นมิตร นางแย้มยิ้มไร้เดียงสาให้มู่หรงอวิ๋นไห่
“ตกลง! หม่อมฉันเชื่อฟังเสด็จพ่อทุกอย่าง! ”