คืนนี้
เยี่ยเม่ยหลับสนิทมาก ทั้งยังฝันเรื่องยาวๆ เรื่องหนึ่ง ในฝันนั้นเกี่ยวกับความวุ่นวายในราชสำนักจงเจิ้ง เกี่ยวกับการตายอย่างน่าอนาถของพ่อแม่ ทั้งยังฝันเห็นภาพน้องชายที่หน้าตาไม่ชัดเจนถูกประหาร
ทั้งยังมี
ภาพเหตุการณ์ที่นางตัดความสัมพันธ์กับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน
ด้วยเหตุนี้ แม้กระทั่งยามอยู่ในฝันนางยังคงมุ่นคิ้วแน่น จนถึงกระทั่งใช้มือกำสาบเสื้อตัวเองแน่นๆ เจ็บหัวใจจนแทบตื่นขึ้นมาเพราะขาดลมหายใจ นางรู้สึกถึงหยาดน้ำตาที่อยู่ตรงหางตา
นางลืมตาขึ้นอยู่เงียบๆ สักพัก หลังจากได้สติ ก็ยื่นมือปาดน้ำตาจนหมดสิ้น
เดิมทีคิดว่าตัวเองเตรียมใจไว้มากพอแล้ว ก่อนที่การแก้แค้นจะสำเร็จ จะไม่อ่อนแอ ทั้งไม่เสียน้ำตาอีก
ทว่านางคิดไม่ถึง ความโศกเศร้าคล้ายตัวหนอนชอนไชเข้ามาในความฝันคน ทำให้ต้องเสียน้ำตา
นางแค่นเสียงเบาๆ เพื่อสะกดอารมณ์เอาไว้
หวังแต่ว่าความฝันเช่นนี้ต่อไปจะถูกปิดกั้นไว้ ไม่เกิดขึ้นอีก
นางลุกขึ้นจัดการตัวเอง
ล้วงขวดกระเบื้องออกจากแขนเสื้อ นี่คือสิ่งที่ผู้เฒ่าเสี่ยวเถียนไช่มอบไว้ให้นางสำหรับป้องกันพิษ จิวมั่วเหอบอกว่าของสิ่งนี้มีฤทธิ์กันพิษนับร้อยชนิดภายในหนึ่งปี ซ้ำยังสามารถควบคุมหนอนพิษได้ด้วย
นางเปิดขวดกลืนของภายในลงไปอย่างไม่ลังเล
นางไม่ยินยอมพ่ายแพ้ เช่นนั้นย่อมต้องตัดโอกาสที่จะถูกเล่นงาน หลังจากกินแล้ว เยี่ยเม่ยหมุนกายเดินออกไป เวลานี้จิ่วหุนยืนรออยู่หน้าประตู
เมื่อเห็นจิ่วหุน เยี่ยเม่ยชะงักเล็กน้อย “เช้าขนาดนี้ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
จิ่วหุนเอ่ยเบาๆ “เจ้าบอกว่า วันนี้จะจู่โจมกลับ”
เยี่ยเม่ยเข้าใจทันที เพราะว่านางบอกว่าจะจู่โจม ดังนั้นเขาจึงตื่นแต่เช้าตรู่ เพราะไม่ต้องการให้เสียเวลาล่าช้า
เยี่ยเม่ยสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา ในขณะเดียวกันก็พยักหน้า ก้าวเท้าออกไป “พวกเราไปคิดบัญชีคืนกันเถอะ!”
“อืม” จิ่วหุนไม่ถามด้วยซ้ำว่าบัญชีอะไร เดินติดตามหลังเยี่ยเม่ยไป
ยามเยี่ยเม่ยเดินออกมาถึงหน้าประตูเรือน จิ่วหุนพลันเอ่ยปาก “เจ้า…”
เยี่ยเม่ยชะงักฝีเท้า รอฟังคำพูดต่อไป
จิ่วหุนรีบตอบ “ไม่มีอะไร”
เยี่ยเม่ยไม่ถามต่ออีก นางสาวเท้ากว้างๆ เดินต่อไป
ความจริงนางรู้ว่า จิ่วหุนคิดถามอะไร
เขาน่าจะอยากถามว่า เจ้า…ไม่อยากรู้บ้างหรือว่าเป่ยเฉินเสียเยี่ยนเป็นอย่างไรบ้าง
นับตั้งแต่นางตื่นขึ้นมาก็จงใจหลบเลี่ยงปัญหานี้อยู่ตลอด นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เรื่องที่เกี่ยวกับเป่ยเฉินเสียเยี่ยน นางจะไม่มองไม่คิดไม่ฟังไม่ถามอีก บางทีทำเช่นนี้จะได้ไม่ต้องเสียใจ
ดีที่จิ่วหุนไม่ถาม ดังนั้นยามนี้นางจึงรู้สึกคลายใจลงบ้าง
ความจริงเยี่ยเม่ยไม่อยากฝืนบอกว่าตัวเองไม่ใส่ใจ ไม่เป็นห่วงความเป็นตายของเขา
เยี่ยเม่ยคาดเดาไม่ผิด จิ่วหุนคิดถามปัญหานี้จริงๆ
แต่ว่า…
เมื่อคิดว่าเมื่อวานนางเสียใจปานนั้น วันนี้คงไม่อยากพูดถึงอีก ส่วนเป่ยเฉินเสียเยี่ยน…เดิมทีเขาก็ไม่ชอบอีกฝ่ายอยู่แล้ว ปล่อยให้เป่ยเฉินเสียเยี่ยนหายไปจากโลกของนางก็ดี
จิ่วหุนติดตามเยี่ยเม่ยไปเรื่อยๆ จนถึงหน้าประตูเรือนเจ้าเมืองหลิน จิ่วหุนค่อยเข้าใจว่าเยี่ยเม่ยคิดทำอะไร ยามนี้เจ้าเมืองหลินกำลังจัดแต่งชุดประจำตำแหน่ง เตรียมตัวออกจากบ้าน แต่เมื่อเดินออกมาเห็นเยี่ยเม่ย เขาตกใจจนแข้งขาอ่อน สีหน้าซีดขาว
อันที่จริงนับตั้งแต่ครั้งก่อนที่เขาพาคนไปบีบให้เยี่ยเม่ยส่งตัวจิ่วหุนออกมาไม่สำเร็จ หลังจากนั้นเขาก็กลัวว่าเยี่ยเม่ยและองค์ชายสี่จะมาคิดบัญชีกับตน หลายวันนี้ใช้ชีวิตอย่างอกสั่นขวัญแขวน…
ส่วนช่วงเวลาไม่กี่วันก่อนหน้าเป็นช่วงที่องค์ชายสี่อารมณ์ไม่ดีเป็นอย่างมาก ซ้ำยังกำชับให้อวี้เหว่ยมาตักเตือนเขาเป็นพิเศษให้คิดวิธีตายเสียตั้งแต่เนิ่นๆ
เขาย่อมรู้ว่าที่เป่ยเฉินเสียเยี่ยนส่งคนมาเตือนเขาเรื่องนี้ หาใช่เพราะความเป็นห่วง ไม่ลงมือกับเขาทันที หาใช่เพราะความรักปกป้อง อยากให้เขามีชีวิตต่อไปอีกหลายวัน
แต่เพียงเพราะ
จงใจปล่อยให้เขารู้ว่าตัวเองจะตาย จะได้มีชีวิตอย่างหวาดกลัว ความจริงความตายไม่น่ากลัว การรอความตายต่างหากที่น่ากลัว ความจริงไม่ใช่ครั้งแรกที่เขามีความคิดฆ่าตัวตาย แต่สองครั้งนั้นล้วนถูกบุตรสาวของตนหลินซูเหย่าห้ามเอาไว้
ครั้งนี้เมื่อเห็นเยี่ยเม่ย…
เจ้าเมืองหลินกลับเกิดความรู้สึกคลายใจลงภายใต้ความกังวลหวาดกลัว เขามองเยี่ยเม่ยหวาดๆ ทีหนึ่ง เอ่ยว่า “เยี่ยเม่ย แม่นางเยี่ยเม่ย…”
เยี่ยเม่ยไม่คิดอ้อมค้อม เอ่ยปากตามตรง “ข้าคิดว่าท่านน่าจะรู้ว่าข้ามาทำไม”
เจ้าเมืองหลินถอนหายใจหนักๆ ‘ตุบ’ เสียงคุกเข่าดังขึ้น “ข้าย่อมรู้! เป็นความโง่เขลาของข้า ไม่สมควรเป็นปรปักษ์กับแม่นางเยี่ยเม่ย หากแม่นางเยี่ยเม่ยจะสังหาร ข้าก็ไม่มีคำพูดใด เพียงแต่ว่าข้าหวังว่าท่านจะปล่อยครอบครัวของข้าไป!”
เจ้าเมืองหลินเอ่ยคำพวกนี้พลางโขกศีรษะให้เยี่ยเม่ยอยู่นาน ไม่ยอมลุกขึ้น ซ้ำยังเอ่ยทั้งที่ร้องว่า “นี่คือสิ่งเดียวที่ข้าขอร้องแม่นาง!”
“สาเหตุที่ท่านเป็นปรปักษ์กับข้า?” เยี่ยเม่ยถามนิ่งๆ
นางยืนตัวตรงราวกับพู่กัน ตั้งแต่ต้นสายตาแหลมคมคล้ายมีดจับจ้องเจ้าเมืองหลิน สร้างความกดดันไร้รูปร่างให้กับเขา
เมื่อก่อนเจ้าเมืองหลินรู้สึกว่า เยี่ยเม่ยเป็นสตรีที่ไม่ธรรมดา แต่มาวันนี้…ยามที่สายตาของอีกฝ่ายกวาดมาที่ร่างตน เจ้าเมืองยังมีความรู้สึกเฉียบคมรับรู้ได้ว่าเยี่ยเม่ยเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนมาก มีความเย็นชามากขึ้น คมกริบมากขึ้น ทั้งยังไร้น้ำใจมากขึ้น
สิ่งนี้ทำให้เจ้าเมืองหลินไม่มั่นใจ แต่เพื่อโอกาสของคนในครอบครัว เขาไม่กล้าไม่ตอบคำถามเยี่ยเม่ย เจ้าเมืองหลินรีบเอ่ยว่า “เพราะว่าบุตรสาวของข้าหลินซูเหย่ามีใจให้จิ่วหุน ข้าเคยเป็นพ่อสื่อ จิ่วหุนกลับไม่ไว้หน้าสักน้อย หลายปีมานี้น้อยคนนักที่จะไม่ไว้หน้าข้า เดิมทีข้าก็มีความโกรธเคืองอยู่แล้ว ภายหลังได้ฟังฐานะที่แท้จริงของคุณชายเสี่ยวจิ่วว่าเป็นจิ่วหุน ข้ากลัวว่าบุตรสาวจะหลงใหลไม่ลืมหูลืมตา ดังนั้น…”
ครั้นเอ่ยถึงตรงนี้ เจ้าเมืองหลินก็โขกหัวอีกครั้งหนึ่ง น้ำตาไหลนอง “หวังว่า แม่นางเยี่ยเม่ยจะเห็นแก่ความรักของบิดา ปล่อยคนในครอบครัวข้าไป!”
เยี่ยเม่ยเป็นคนอย่างไร เจ้าเมืองหลินรู้เสียยิ่งกว่ารู้ ตอนแรกแม้แต่ท่านหญิงซือถูเฉียงยังถูกนางอบรมเสียเป็นเช่นนั้น ประสาอะไรกับเจ้าเมืองอย่างเขา ดังนั้นยามเป็นศัตรูกับเยี่ยเม่ย เขาก็เตรียมใจยอมรับไว้แล้ว
เยี่ยเม่ยฟังแล้วกลับหันไปมองจิ่วหุนด้วยความแปลกใจ นางรู้ว่าเจ้าหนูนี่มีวาสนากับสตรีชายแดนผู้นี้ไม่เลว แล้วรู้ว่าหลินซูเหย่าก็ชอบเขา แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าเมืองหลินจะไปพูดคุยทาบทามด้วยตัวเอง
สายตาเยี่ยเม่ยมองจิ่วหุน ยามนี้เขาหน้าแดง ก้มหน้าไม่กล้ามองเยี่ยเม่ย
ทำเอาเยี่ยเม่ยรู้สึกน่าขัน
นางหันกลับไปมองเจ้าเมืองหลิน ถามว่า “ให้ข้าปล่อยคนในครอบครัวเจ้าไปไม่ใช่ไม่ได้ เพียงแต่เจ้าต้องเล่ามาว่า รู้ฐานะที่แท้จริงของจิ่วหุนได้อย่างไร”
ตอนนั้นเป่ยเฉินอี้ไม่ยอมบอก นางก็รู้แล้วว่าต้องมีหมากลับตัวหนึ่งอยู่ข้างกาย !