ตอนที่ 300 ทวงบุญคุณ

เล่ห์รักกลกาล [ส่วนที่ 1]

เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยถาม สีหน้าของเจ้าเมืองหลินแข็งทื่อ

 

 

ใบหน้าปรากฏแววประหลาดใจ เอ่ยว่า “พูดถึงเรื่องนี้ ข้าเองยังแปลกใจอยู่บ้าง! เรื่องนี้ข้ารู้มาจากสาวใช้ที่เพิ่งเข้ามาทำงานในจวนได้ไม่นาน นางบอกว่าเก็บกระดาษแผ่นหนึ่งได้ ในกระดาษนั้นเขียนว่าฐานะแท้จริงของเสี่ยวจิ่วก็คือจิ่วหุน”

 

 

คำตอบนี้ทำเยี่ยเม่ยชะงักงันไป

 

 

เมื่อเอ่ยเช่นนั้น คนที่เปิดเผยฐานะของจิ่วหุนออกไปตอนนั้น น่าจะไม่ใช่เป่ยเฉินอี้แล้ว หากเป็นเขาก็ไม่จำเป็นต้องทำอะไรอ้อมค้อมเช่นนี้

 

 

เจ้าเมืองหลินเอ่ยต่อ “ตอนแรกข้าก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จึงไปตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวกับจิ่วหุน ถึงได้รู้ว่าวรยุทธ์ของเขาเหมือนกับคุณชายเสี่ยวจิ่วที่ต่อสู้กับองค์ชายสี่บนกำแพงเมืองไม่ผิดเพี้ยน ข้าถึงมั่นใจเรื่องนี้ แล้วไปปรึกษากับแม่ทัพทั้งหลาย”

 

 

ตอนนั้นเขาคิดแค่จะกำจัดจิ่วหุน อย่างไรเสียองค์ชายสี่ก็ไม่ชอบจิ่วหุน จึงไม่มีทางมาแก้แค้นเขาเพื่ออีกฝ่าย ดังนั้นเขาจึงลงมืออย่างสบายใจ ใครจะรู้ว่า…

 

 

เอ่ยถึงตรงนี้ แววตาเยี่ยเม่ยนิ่งไป ถามว่า “เมื่อครู่เจ้าบอกว่า สาวใช้ที่เพิ่งมาใหม่ นางมาตั้งแต่ช่วงไหนกัน”

 

 

“น่าจะหลังจากท่านหญิงออกจากเมืองไปได้สองสามวัน” เจ้าเมืองหลินรีบตอบ แต่เมื่อเยี่ยเม่ยถามคำถามนี้ออกมา เจ้าเมืองหลินยามนี้สะดุ้งโหยง สติแจ่มใสเข้าใจขึ้นมาได้

 

 

ทำไมเขาถึงคิดไม่ถึงว่า เรื่องกำจัดจิ่วหุนความจริงก็เป็นหนึ่งในการต่อกรกับเยี่ยเม่ย ส่วนซือถูเฉียงเป็นศัตรูกับเยี่ยเม่ย หลังจากนางไปได้ไม่นาน สาวใช้คนใหม่ของจวนก็ค้นพบเรื่องนี้…

 

 

เมื่อคิดดูแล้วเรื่องนี้คล้ายกับสถานการณ์ที่เตรียมไว้ ส่วนเขาก็ถูกใช้เป็นปืนหรอกหรือ?

 

 

เมื่อเจ้าเมืองหลินคิดถึงตรงนี้ สายตาเยี่ยเม่ยค่อยๆ หรี่ลง จ้องมองเจ้าเมืองหลินเอ่ยว่า “ตอนนี้สาวใช้คนนั้นอยู่ที่ไหน”

 

 

เรื่องนี้ซือถูเฉียงคือคนบงการ เมื่อนางจากไปก็มีสาวใช้เข้ามาใหม่ สาวใช้คนใหม่บังเอิญเก็บกระดาษแผ่นหนึ่งได้ ในโลกนี้ไม่มีเรื่องราวบังเอิญขนาดนี้หรอก

 

 

แทนที่จะเชื่อว่าสาวใช้เก็บกระดาษปริศนาได้จริงๆ ยังไม่สู้…บอกว่าทุกอย่างมีสาวใช้เป็นตัวแสดง ยังจะน่าเชื่อถือมากกว่าอีก

 

 

“นางในยามนี้อยู่ในจวน ข้าน้อยจะรีบส่งคนไปจับนางเดี๋ยวนี้!” สีหน้าเจ้าเมืองหลินพลันไม่น่าชมขึ้นมา

 

 

เขาคิดไม่ถึงเลยว่า สาวใช้ผู้หนึ่งจะมีปัญหาได้ อีกทั้งตัวเองยังกลายเป็นปืนให้ผู้อื่นอย่างไร้เหตุผลอีกด้วย! ในโลกใบนี้ไม่ว่าใครก็ตาม หากกลายเป็นปืนให้คนอื่นโดยไม่รู้ตัวก็คงไม่มีทางยินดีแน่

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดเรื่องถูกหลอกใช้ เขายังต้องแบกรับผลทั้งหมดเอาไว้คนเดียว เจ้าเมืองหลินไม่มีทางยอมรามือแน่

 

 

เยี่ยเม่ยเองก็ไม่เร่งร้อน พยักหน้าน้อยๆ

 

 

เจ้าเมืองหลินลุกขึ้น สั่งให้คนไปจับตัวสาวใช้นางนั้นมา หลังจากสั่งการแล้วก็กลับมานั่งคุกเข่าเบื้องหน้าเยี่ยเม่ยอย่างสงบเสงี่ยม

 

 

จิ่วหุนมองอยู่ครู่หนึ่ง ทำตัวราวกับเป็นเจ้านายเดินเข้าไปในห้องของเจ้าเมืองหลิน ยกเก้าอี้ตัวหนึ่งออกมาให้เยี่ยเม่ยนั่ง

 

 

เยี่ยเม่ยมองเขาทีหนึ่ง ในใจรู้สึกว่าจิ่วหุนช่างเอาใจใส่นัก

 

 

จิ่วหุนกลับไม่กล้ามองตาเยี่ยเม่ย เบือนหน้าหนีไป ใบหูแดงเรื่อ เยี่ยเม่ยมองออกว่าเจ้าหนูนี่หน้าบาง จึงไม่หัวเราะหยอกเขา

 

 

รอได้สักพักหนึ่ง

 

 

บ่าวคนหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีรายงานว่า “ท่านเจ้าเมือง แย่แล้ว สาวใช้นางนั้นหายไปแล้ว!”

 

 

เจ้าเมืองหลินพลันตะลึงงัน มองเขาด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนัก“หายไปแล้ว?”

 

 

“ถูกต้อง!” บ่าวผู้นั้นหน้าตาร้อนรน รีบตอบว่า “เมื่อเช้ามีคนเห็นนางอยู่ ผ่านไปสักครู่เดียวก็หาไม่เจอแล้ว!”

 

 

เยี่ยเม่ยเงียบไปชั่วครู่ แค่นเสียงเย็น แสดงความเห็น “ดูท่า หากไม่ใช่มีภารกิจไปทำพอดี ก็คงรู้ว่าข้ามาที่นี่ จึงหนีไปแล้ว!”

 

 

อย่างไรเสียตอนนางเดินทางมา ก็มาเลยไม่ได้คิดมากถึงขั้นนี้ ทั้งยังไม่ปิดบังหูตาของใครทั้งนั้น ดังนั้นหากบอกว่าสาวใช้นางนั้นรู้ว่านางมาที่นี่ ก็ไม่แปลก

 

 

สีหน้าเจ้าเมืองหลินยิ่งไม่น่ามองเข้าไปใหญ่ รีบหันไปตำหนิบ่าวว่า “ไปหาสิ! ส่งคนในจวนทั้งหมดออกไปตามหา ไม่ว่าอย่างไรต้องเอาตัวนางมาให้ได้!”

 

 

“ขอรับ!” บ่าวรับใช้รีบวิ่งออกไป

 

 

เห็นเจ้านายนั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าแม่นางเยี่ยเม่ย ก็รู้ว่าคงเคราะห์ร้ายมากกว่าดี เขาคิดๆ ดูก็รีบวิ่งไปห้องคุณหนู

 

 

ในขณะที่บ่าวรับใช้ไปตามหาคน

 

 

เยี่ยเม่ยนั่งบนเก้าอี้ ศอกค้ำที่วางมือ นางนั่งเท้าคาง มองเจ้าเมืองหลินด้วยความเคร่งเครียด ถามว่า“อย่างนั้นเจ้าเมืองหลินคิดว่า เจ้ารู้สึกว่าข้าควรตอบแทนท่านอย่างไรดี”

 

 

น้อยครั้งที่จะได้เห็นนางมีท่าทีเกียจคร้าน แต่เจ้าเมืองหลินกลับเห็นจิตสังหารในดวงตานาง

 

 

เจ้าเมืองหลินกัดฟัน ก้มหน้าเอ่ยว่า “ไม่ว่าแม่นางเยี่ยเม่ยจะจัดการข้าอย่างไร ข้าก็ไม่โกรธเคือง แต่หวังว่าแม่นางยินยอมให้ข้ามีชีวิตอยู่เพื่อหาตัวที่หลอกใช้ผลประโยชน์จากข้าออกมาก่อน ต่อให้ตาย ข้าก็จะไม่ปล่อยมันไป !”

 

 

ความจริงในใจเขาสงสัยซือถูเฉียง ขาดก็แต่หลักฐาน

 

 

เยี่ยเม่ยครุ่นคิดสักพัก ในขณะที่วิเคราะห์อยู่ว่าจะให้โอกาสเจ้าเมืองหลินล้างแค้นให้ตัวเองหรือไม่

 

 

ในเวลานี้เองหลินซูเหย่าก็วิ่งเข้ามาอย่างร้อนรน

 

 

นางเห็นภาพตรงหน้า ก็รู้ว่าบ่าวรับใช้รายงานไม่ผิด หลังจากเข้ามาแล้ว ‘ตุบ’ เสียงคุกเข่าก็ดังขึ้นอีกครั้ง นางนั่งลงข้างบิดา เอ่ยกับเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ยขอให้ท่านปล่อยท่านพ่อข้าไปเถอะ ข้ารู้ว่าท่านพ่อข้าทำเรื่องนี้เกินเหตุไปแล้ว ก่อนหน้าข้าเองก็พูดจาทำลายท่านไปไม่น้อย แต่ว่า…แต่ว่าเห็นแก่ที่ข้าไปบอกข่าวท่านถึงช่วยคุณชายจิ่วหุนไว้ได้ ท่านปล่อยพ่อข้าไปเถอะ !”

 

 

เมื่อนางกล่าว ยามนี้เจ้าเมืองหลินหันไปมองหลินซูเหย่าอย่างไม่เชื่อสายตา “เป็นเจ้าที่ไปบอกข่าว?”

 

 

เขาสงสัยมาตลอดว่าเยี่ยเม่ยรู้เรื่องนี้ได้อย่าไร คิดไม่ถึงว่าคนที่แอบไปส่งข่าวกลับเป็นบุตรสาวของตัวเอง

 

 

หลินซูเหย่าเองก็ไม่กล้าสบตาเจ้าเมืองหลิน ก้มหน้ารีบว่า “ท่านพ่อ ขอโทษด้วย ท่านก็รู้ว่าลูกไม่อาจเห็นเขาตายโดยไม่ใส่ใจได้! แต่ว่า…ข้ายินยอมเชื่อฟังท่าน แต่งให้กับคุณชายที่เป็นบุตรของสหายคนไหนของท่านก็ได้ ขอให้ท่านอย่าเป็นศัตรูกับแม่นางเยี่ยเม่ยและจิ่วหุนเพราะลูกอีกเลย!”

 

 

ความจริงนางจำไม่ได้แล้ว คนที่เจ้าเมืองหลินบอกให้นางแต่งงานด้วยคือคนบ้านไหน ตอนนั้นในใจนางมีเพียงแค่จิ่วหุน ไม่อาจใส่ใครลงไปได้อีก ไม่สนใจใครอีก

 

 

ยามนี้…

 

 

ไม่ว่าเป็นใคร นางก็ยอมแต่งแล้ว

 

 

เจ้าเมืองหลินชะงักเล็กน้อย มองบุตรสาวอย่างไม่เชื่อสายตาอีกครั้ง “เจ้าไม่ดื้อดึงอีกแล้วหรือ”

 

 

หลินซูเหย่าได้ฟังน้ำตาก็ไหลลงมา นางเอ่ยกับเยี่ยเม่ย “แม่นางเยี่ยเม่ย ท่านพ่อทำไปเพราะข้า ถึงได้ถูกปีศาจครอบงำจิตใจเป็นศัตรูกับเจ้า ขอเพียงข้าเชื่อฟังเขา แต่งงานกับคนที่ท่านพ่อต้องการ ข้าก็จะไม่เป็นศัตรูกับเจ้าอีก ข้าให้เจ้าปล่อยเขาไปเถอะนะ!”