“ผู้คุมกฎถูกแต่งตั้งขึ้นใหม่หลายคนเพื่อตามหาคนร้ายด้วยกำลังทั้งหมดที่มี”
“ผู้คุมกฎอาวุโสลำดับหกสิบลงมามีสิบห่วยที่เข้าร่วมการสืบสวน”
หยางไท่ฟังเงียบๆ เขาถาม
“แล้วตระกูลเทพกระเรียนล่ะ?”
“ไม่มีข่าวคราวการเคลื่อนไหวเลยพวกเขากำลังรอข้อความจากคนร้าย”
“แล้วตัวเทพกระเรียนล่ะ?”
“นางไม่ได้ทำอะไรเลยเหมือนกัน”
หยางไท่ละสายตาจากตำราลับและพูด
“ความเงียบคือพลังอันไร้เสียงตระกูลเทพกระเรียนกำลังโกรธแค้น”
“เอาเถอะแล้วเจ้าเด็กนั่นล่ะ? ที่ซ่อนของเขาถูกพบหรือไม่?”
“เอิ่ม…เขากำลังท่องเที่ยวอยู่น่ะ” หยางไท่แปลกใจ
“เจ้าแน่ใจรึ?”
“ข้าแน่ใจชายคนนั้นกำลังท่องเที่ยวในดินแดนเทพกับภรรยาของเขา แต่ทุกครั้งที่เขาปรากฏตัว เขาจะจากไปในไม่นาน ผู้คุมกฎคลาดจากเขาครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะเขาจงใจเดินทางแบบไม่มีเป้าหมายเลย”
เมื่อได้ยินว่าซือหยูกำลังท่องโลกแทนที่จะเก็บตัวเงียบหยางไท่ผิดหวัง
“เขากล้าทำเรื่องใหญ่อย่างลักพาตัวลูกหลานเทพตั้งแต่ขึ้นฝั่งข้าเลยคิดว่าเขาจะมีอะไรพิเศษ แต่สุดท้ายเขาก็แค่คนกล้าที่ไร้กลยุทธ์ เสียดายเวลาข้านัก”
ผู้เฒ่าแอบสงสัยซือหยูตอนที่เรือสินค้ากลับมา ซือหยูได้ช่วยนายน้อยของเขาในระหว่างทาง และยังสั่งให้ดูแลซือหยูในตอนที่เขาขึ้นฝั่งด้วย
แต่ก่อนที่ฝ่ายการค้าจะได้ดูแลเขาเขาก็ทำเรื่องใหญ่อย่างการลักพาตัวลูกหลานเทพ! นายน้อยที่เกือบจะลืมซือหยูไปแล้วต้องกลับมาสนใจซือหยูอีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่านายน้อยยอมรับเขาในความรวดเร็วเฉียบขาด
ใครจะไปคิดเล่าว่าเขาเป็นแค่ชายประมาทที่กล้าทำเรื่งอุกอาจโดยไม่คิดอะไร?
“เจ้าไม่ต้องติดตามเขาอีกต่อไปแล้ว…”
หยางไท่กล่าวเขาไม่สนใจซือหยูอีกต่อไป
แต่ทันทีที่ผู้เฒ่ากำลังจะขอตัวหยางไท่ก็ปิดตำราในมือ เขาขมวดคิ้ว
“ให้ข้าดูข้อมูลชัดๆ ก่อน ข้าเอาแต่รู้สึกว่าเขาไม่ใช่ชายบ้าบิ่นอยู่เรื่อย”
ไม่นานนักกองเอกสารมากมายก็ปรากฏตรงหน้า
ข้อมูลเรื่องซือหยูตลอดสองเดือนถูกบันทึกเอาไว้อย่างน่าอัศจรรย์
ตำแหน่งที่เขาเดินทางไปชุดที่เขาสวมใส่ สิ่งที่เขาคิด คนที่เขาพูดคุยด้วย เขาเดินทางไกลเพียงใด จูบเซี่ยนเอ๋อกี่ครั้ง และรายละเอียดอื่น ๆ
ข้อมูลเล็กๆ เหล่านี้ดูจะเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหยางไท่ แต่อะไรคือการค้าขายล่ะ? การค้าขายก็คือเรื่องของข้อมูล!
เครือข่ายข่าวกรองจากศูนย์การค้านั้นมีอยู่ทุกที่ในดินแดนเทพมีศูนย์กระจายจ่าวอยู่ทุกที่ตั้งแต่เมืองใหญ่ไปจนถึงหมู่บ้านคนสามัญ
นี่เป็นเหตุผลของเกียรติยศอันยาวนานที่เทพการค้าสามารถครองความมั่งคั่งในพันธมิตรบูรพาอยู่ได้
หยางไท่รีบเปิดดูกองเอกสารข้อมูลเล็กน้อยทุกบรรทัดสะท้อนผ่านแววตาของเขา
ครึ่งชั่วโมงต่อมาหยางไท่หลับตาช้า ๆ เมื่อลืมตาอีกครั้ง เขาก็ยิ้มอย่างเป็นสุข
“ข้าดูหมิ่นเขาไปเสียแล้ว”
“โปรดชี้แนะข้าด้วยเถิดนายน้อย”
ผู้เฒ่าสับสนชายบ้าบิ่นที่เอาแต่ท่องสำราญผู้นี้ปิดบังอะไรอยู่?
หยางไท่ชี้กองเอกสารด้วยดัชนีและพูดพลางหัวเราะ
“อย่าแงรกเลยมีคนรอบตัวเขาหายไป และก็มีคนอื่นมาแทนที่!”
ม่อเทียนฉวนหายตัวไปขณะที่ฉินเซี่ยนเอ๋อที่ไม่เคยปรากฏตัวมาก่อนได้มีตัวตนอยู่ในภาพเขียน
“เราบอกไม่ได้เลยว่าเขามีโลกใบเล็กอยู่กับตัวหรือมีฐานที่มั่นใจดินแดนเทพอยู่แล้ว”
“แล้วสตรีในชุดดำหายไปไหน?นี่คือจุดบอด!”
“ประการที่สองสถานที่ที่เขาไปนั้นมีบางอย่างที่เหมือนกัน!”
ผู้เฒ่าคิดแต่เขาก็ไม่รู้ว่าสิ่งใดที่เหมือนกัน
“แปดเมืองขึ้นชื่อที่เขาไปสามารถต่อเรือกระดูกเทพได้ส่วนอีกสองเมืองก็เป็นเมืองที่แลกเปลี่ยนข่าว…หึ เขาดูเหมือนจะท่องเที่ยว แต่แท้จริงแล้วเขากำลังเตรียมหาทางหนี!”
ผู้เฒ่าตกใจ
“เขาคิดว่าเขาจะจ่ายค่าเรือกระดูกเทพที่เดินทางข้ามจักรวาลไหวหรือ?ไม่ต้องพูดถึงราคา คงไม่มีเมืองไหนขายเรือกระดูกเทพให้เขาเพราะขัดต่อกฎที่เทพร้อยคนตั้งเอาไว้ เขาไม่มีทางซื้อเรือได้เลย”
หยางไท่โต้แย้ง
“เขาฉลาดกว่าเจ้า!แน่นอนว่าเรือกระดูกเทพซื้อขายไม่ได้ แต่ชิ้นส่วนเรือน่ะซื้อได้!”
“เขาไม่มีพิมพ์เขียวของช่างต่อเรือ….”
ผู้เฒ่าหยุดพูดเมื่อจำได้ว่าซือหยูยังไปอีกสองเมืองที่แลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร
ที่นั่นไม่ต่างกับดินแดนสีเทาตราบเท่าที่จ่ายมากพอ การได้พิมพ์เขียวก็ไม่ใช่เรื่องยาก
“แล้วเรื่องเงินล่ะ?เขาเป็นคนนอก เขาจะได้ระดับการเงินที่มากพอหรือ? ต่อให้เป็นข้าเก็บเงินตลอดชีวิตก็ซื้อเรือกระดูกเทพไม่ได้เขาก็น่าจะทำไม่ได้เหมือนกัน”
ดัชนีหยางไท่กรีดกระดาษต่อไป
“บังเอิญนักข้าเห็นยอดสรุปการเงินที่ไหลเวียนในโรงประมูลจากหลายพื้นที่ ที่น่าตกใจกว่าคือข้าเห็นว่าบุตรชายที่สามแห่งเทพผีกลับมาแล้ว”
“เขาจงใจขายสมบัติสมุนไพรที่มีอายุระหว่างร้อยปีถึงพันปีมีแม้กระทั่งไผ่เงินกล้วยไม้สวรรค์อายุพันปีเต็ม แค่กิ่งเดียวของมันก็ขายได้สิบล้านเหรียญเทพ!”
“รวมกับวัตถุดิบอื่นเขาได้ไปอีกสามสิบล้านเหรียญเทพ รวมเป็นมากกว่าสี่สิบล้านเหรียญเทพ”
สี่สิบล้านหรือ?ผู้เฒ่ามือสั่น เขาตาแดงก่ำ เหรียญเทพนั้นคือสกุลเงินกลางของพันธมิตรบูรพา เพียงเหรียญเดียวก็แลกแก้วพลังได้ล้านดวง
เราที่เขารู้สี่สิบล้านนั้นคือปริมาณมหาศาลที่เขาไม่มีทางเก็บได้เลยในชั่วชีวิตนี้! “เจ้าประมาณดูสิสี่สิบล้านเหรียญเทพจะต่อเรือได้กี่ลำ?”
หยางไท่ยิ้ม
ต่อให้เขาซื้อพิมพ์เขียวและจ้างช่างจากตลาดมืดมันก็มากพอที่จะต่อเรือกระดูกเทพได้สิบลำ!
“แต่นายน้อยทำไมท่านคิดถึงว่าบุตรแห่งเทพผีกำลังรวบรวมเงินให้เขาเล่า? สองคนนี้เกี่ยวข้องกันอย่างไรหรือ?”
หยางไท่หัวเราะ
“บุตรชายที่สามแห่งเทพผีออกจากพันธมิตรไปเมื่อร้อยปีก่อนเขากลับมาในร้อยปีให้หลังกับเจ้าเด็กนั่น”
หยางไท่ยืนขึ้นเอามือไพล่หลังเขายิ้มเล็ก ๆ ที่มุมปาก
“ไม่มีเรื่องบังเอิญเช่นนี้มากมายนักหรอกนะ”
เมื่อฟังจบชายแก่หายใจเข้าลึกและชื่นชมด้วยความทึ่ง “ชายคนนั้นคิดอย่างถ่องแท้!เขาถึงกับเตรียมแผนหนีอย่างไร้ปัญหา!”
ผู้เฒ่าเริ่มคิดแล้วว่าแผนของซือหยูจะสำเร็จ
แม้กระนั่นหยางไท่ก็ส่ายหน้าเบา ๆ
“แผนหนีไร้ที่ติหรือ?ก็ไม่ใช่เสียทีเดียว เขาอาจจะฉลาด แต่คนฉลาดมักจะมีสิ่งที่ขาดหายไปแบบเดียวกัน…คนเหล่านั้นมักจะคิดว่าตัวเองสูงส่งจนดูหมิ่นคนรอบข้าง!”
ผู้เฒ่าพูดกับตัวเอง
“นายน้อยท่านไม่ได้ดูหมิ่นเขาอยู่หรอกหรือ?”
“ตั้งแต่โบราณกาลมีมนุษย์ชั้นสูงสักกี่คนกันที่ดินแดนเทพสร้างขึ้นมาได้? ต่อให้เป็นเทพในวันนี้ก็ได้ครอบครองปัญญาที่มนุษย์ต้องใช้เวลาหลายปีในการได้มา หากเขาแอบต่อเรือกระดูกเทพเพื่อเตรียมหนีได้ เจ้าจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเทพกระเรียนทำไม่ได้?”
“ที่ข้าจะพูดก็คือเขายังอ่อนวัยเกินไป” ผู้เฒ่ากล่าว
“นายน้อยเช่นนั้นเรา…”
หยางไท่หยุดพูดไปครู่หนึ่ง
“ไม่ต้องคิดมากคนฉลาดยากที่จะมาถึง และจะมีคนฉลาดน้อยลงไปอีกคนหากเขาตาย เจ้าไปแอบช่วยเขาเสีย แต่จงล้มเลิกหากเรื่องเกินมือ อย่าลืมบอกข่าวคราวกับข้าด้วย”
…
ในป่าแห่งหนึ่งซือหยูจับมือเซี่ยนเอ๋อเดินเล่นไปตามแมกไม้
เซี่ยนเอ๋อดีใจมากนี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างยาวนานตั้งแต่ได้รู้จักกัน นางอดคิดถึงเซี่ยจิงหยูไม่ได้
“พี่ซือหยูพี่ว่าพี่จิงหยูจะอยู่ในพันธมิตรบูรพาหรือไม่?”
ซือหยูส่ายหน้า
“ไม่หรอกถ้านางอยู่ เราคงจะได้ข่าวไปแล้ว” ฉินเซี่ยนเอ๋อคิดครู่หนึ่ง
“ใช่จริงด้วย พี่จิงหยูงดงามเช่นนั้น ถ้าหากมีใครได้เห็น ทั้งดินแดนจะต้องตกตะลึงแน่ สตรีงามอันดับหนึ่งจะต้องเป็นนางแทนที่จะเป็น…อะไรนะ? หัวหน้าผู้คุมกฎอาวุโสนั่นน่ะ”
ซือหยูลูบหัวนางพลางหัวเราะ
“เซี่ยนเอ๋อของข้าก็เป็นสตรีงามอันดับหนึ่งแห่งดินแดนเทพใยไม่มีใครเคยได้ยินชื่อเจ้าเล่า?”
เมื่อถูกซือหยูแซวเซี่ยนเอ๋อชกแขนของเขาเบา ๆ ด้วยกำปั้นเล็ก ๆ แต่ใบหน้าของนางนั้นก็น่าจดจำไม่ต่างจากต้นท้อที่ดอกบานเต็มต้น
ซือหยูแอบหาข่าวของเซี่ยจิงหยูแล้วแต่เขาก็ไม่พบอะไรเลย
เหมือนกับที่เซี่ยนเอ๋อพูดสตรียอดเยี่ยมอย่างนางย่อมไม่ไปไหนมาไหนโดยไม่มีใครพูดถึง “ถ้าหากเราได้พี่จิงหยูกลับมาเราจะต้องพานางไปท่องโลกแบบนี้เหมือนกัน”
เซี่ยนเอ๋อเอนกายกับไหล่ของซือหยูและหลับตาด้วยความพอใจ
ซือหยูถาม
“หืม?ทำไมกันล่ะ?”
เซี่ยนเอ๋อหลับตาตอบ
“เพราะเซี่ยนเอ๋อมีความสุขขนาดนี้ถ้าพี่จิงหยูไม่ได้รับสิ่งนี้ด้วย มันก็ไม่ยุติธรรม”
นังโง่เอ้ยซือหยูยิ่งหลงรักนางมากกว่าเดิม
มนุษย์นั้นเห็นแก่ตัวจะมีคนใจกว้างที่พร้อมแบ่งสิ่งที่ตนครอบครองกับคนอื่นหรือ? เซี่ยนเอ๋อจะต้องรู้สึกเศร้าหมองอยู่ในใจ นางจึงคิดว่าตนอยู่ในสถานะที่ต่ำกว่าเพื่อคงความสัมพันธ์เอาไว้
“หลังหนีออกไปจากที่นี่สู่โลกใบที่ใหญ่กว่าเราจะหาจิงหยูให้เจอ แล้วเราสามคนจะท่องโลกไปด้วยกันจากนี้ไป เจ้าว่าอย่างไรล่ะ?”
เซี่ยนเอ๋อยิ้มอย่างอ่อนหวานราวกับได้อยู่ในดินแดนแห่งความฝัน
แม้จะเป็นยอดฝีมือก็ยากที่จะทนเดินทางหลายวันเช่นนี้
ซือหยูจูบหน้าผากนางเบาๆ และพานางกลับมุกวิญญาณเก้าหยก
เมื่อเขาออกมาอีกครั้งความรักที่แสดงออกผ่านใบหน้าได้หายไป
“ถึงเวลาเริ่มแผนแล้ว!”
ซือหยูหายตัวไปจากป่าทิ้งไว้เพียงเงาร่างของเขา
หลังจากรอคอยมาอย่างยาวนานหยกสื่อสารจากตระกูลเทพกระเรียนก็เริ่มส่งสัญญาณ
สิบวันต่อมาพวกเขามาถึงจุดนัดพบบนโลกของเทพปี่ พวกเขามาพบกันที่ภัตตาคารแห่งหนึ่งเพื่อต่อรอง
แต่ซือหยูไม่ได้มาตามเวลานัดพบ “เจ้าพาคนมาเกินร้อยคนเกินกว่าที่ตกลงกันไว้ สั่งยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่ให้ออกไป”
คนที่มาต่อรองในครั้งนี้คือจางยี่หมิงรองหัวหน้าหน่วยคุมกฎที่ก่อตั้งโดยเทพกระเรียน
เมื่อเห็นข้อความที่หยกสื่อสารจางยี่หมิงเหลือบมองรอบ ๆ ด้วยสายตาเยือกเย็นแต่ก็ไม่พบซือหยู
แต่สับสนอยู่ในใจซือหยูมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจัดกำลังมาเกินร้อยคนในระยะนี้?
เมื่อซือหยูมองออกเขาก็ทำได้แต่สั่งให้คนของเขาออกไป
ต่อมาก็มีอีกข้อความ
“ไปที่โลกวารีเมืองนางเงือก”
จางยี่หมิงรำคาญใจแต่ก็ไม่มีทางเลือกนอกจากบอกให้คนของเขาไปโลกวารี
เมื่อเขาออกไปยอดฝีมือที่ซ่อนตัวอยู่อีกหลายคนก็ออกจากเมืองไปเช่นกัน
ในโรงสุราใกล้กับจุดเคลื่อนย้ายซือหยูเอนกายรอ ต่อให้ตระกูลเทพกระเรียนจัดคนมาเท่าใด พวกเขาก็ต้องผ่านประตูมิติ นี่คือการเดินทางที่ดีที่สุด
วันต่อมายอดฝีมือราวห้าคนได้รับคำสั่งให้ออกไปจากโลกวารี
สองวันให้หลังมีอีกสามคน
อีกสามวันมีอีกสอง
ในวันที่ห้าก็ไม่มีคนที่แข็งแกร่งออกไปจากโลกวารีอีกแล้ว
หลังงจากผ่านไปอีกสิบวันเต็มหรือครึ่งเดือนก็ไม่มีคนภายใต้เทพกระเรียนเหลืออยู่ในโลกวารีอีกตอนนั้นซือหยูจึงมั่นใจแล้วว่าคนของเทพกระเรียนในโลกเทพปี่ทั้งหมดได้ย้ายออกไปแล้ว