ปากเขาเรียกเผ่ามารผู้นี้ว่าจอมมารอันดับหนึ่ง แต่กลับไม่ได้เผยท่าทีเคารพนบน้อมที่เพียงพอออกมา คำพูดกับการกระทำไม่ค่อยสอดคล้องกัน

แน่นอนว่านี่เป็นเพราะเขาไม่ใช่ร่างเดิมของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวง เป็นแค่ร่างแยกร่างหนึ่งเท่านั้น มิเช่นนั้นแม้ว่าชายร่างใหญ่จะมีอิทธิฤทธิ์น่าตกตะลึงเพียงใด ก็คงไม่กล้าทำท่าทีเอาแต่ใจเช่นนี้

เซวี่ยกวงก้มหน้าลงครุ่นคิดอีกครั้ง ฉับพลันนั้นก็เงยหน้าขึ้นร้องตะโกนเสียงดัง

“ใครก็ได้ เชิญสิบผู้บัญชาการมาพบข้า”

“ขอรับ ใต้เท้า!” ด้านนอกมีคนตอบรับอย่างนอบน้อมทันที มีผู้พิทักษ์คนหนึ่งส่งเสียงมาอย่างรวดเร็ว

เซวี่ยกวงถึงได้กลับไปนั่งยังตำแหน่งหลักอย่างไม่รีบร้อน เริ่มครุ่นคิดเรื่องนี้อย่างละเอียด

แทบจะในเวลาเดียวกันในที่สุดเงาลวงตายักษ์ในเมืองเทวะสวรรค์ก็ดูดซับไอวิญญาณไปเพียงพอ ลำแสงหม่นแสงลง  กลายเป็นดวงแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบแล้วร่อนลงมาในหอคอยหิน

เห็นเพียงแววตาเปล่งประกายวาวโรจน์ ดวงแสงหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

ยามนี้หานลี่ที่อยู่ในส่วนลึกของหอคอยกลับถอนหายใจออกมายาวๆ เฮือกหนึ่ง แล้วลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ายินดีปรีดา

“นี้คือระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย ความรู้สึกเหมือนกับระดับขั้นต้นและขั้นกลางดังคาด หากฝึกฝนระดับนี้สำเร็จได้ ก็เท่ากับเหยียบเข้าสู่ประตูของผู้บำเพ็ญเพียรระดับมหายานแล้ว หนทางแห่งอมตะก็มองเห็นได้รางๆ แล้ว”  หานลี่สัมผัสได้ถึงพลังปราณและจิตสัมผัสในร่างที่เพิ่มขึ้น ก็เอ่ยพึมพำกับตัวเอง

การบรรลุระดับขั้นปลายสำเร็จในครั้งนี้ เพียงพอจะทำให้พลังปราณและพลังจิตสัมผัสของเขาเพิ่มขึ้นกว่าครึ่ง แต่ก็ยังไม่ถึงขีดจำกัด มันสามารถเพิ่มขึ้นได้หากฝึกฝนต่อ

สิ่งเดียวที่น่าเสียดายก็คือกายเนื้อของเขาไม่ได้ถูกปรับให้ดีขึ้นนัก

ดูแล้วข่าวลือที่ว่าผู้บำเพ็ญเพียรคงมีแต่ยามที่บรรลุระดับมหายาน ถึงจะทำให้อายุขัยของกายเนื้อเพิ่มขึ้นคงจะเป็นเรื่องจริง

ส่วนผลของการเพิ่มอายุขัยนั้น แน่นอนว่าต้องดูเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนและพลังพรสวรรค์ของแต่ละคนแล้ว

หานลี่ขบคิดเช่นนั้น ก็เก็บความเสียดายในใจไป หลับตาลงอีกครั้ง เริ่มเพิ่มความมั่นคงให้กับระดับในยามนี้ และถือโอกาสฟื้นฟูพลังปราณฟ้าดินที่สูญเสียไปยามที่ฟาดเคราะห์สวรรค์ก่อนหน้า

ระหว่างที่เขาฟาดเคราะห์สวรรค์เมื่อครู่ เป็นเพราะขั้นตอนการต่อต้านจิตมาทำให้เขาเสียพลังปราณและจิตสัมผัสไปไม่น้อย ดังนั้นยามที่ต้านทานกับเคราะห์สวรรค์ของระดับขั้นปลาย จึงจำใจต้องอาศัยพลังของสมบัติทั้งหมด

แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น การฟาดเคราะห์ระดับขั้นปลายก็ยังเหนือกว่าที่เขาจินตนาการเอาไว้

ทำให้เขาจำใจต้องระเบิดสมบัติระดับสุดยอดที่ได้มาก่อนหน้าสิบกว่าชิ้นไปอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งกระบี่ไผ่เขียวตัวต่อเมฆาทั้งเจ็ดสิบสองเล่ม ล้วนได้รับความเสียหายจากการกระตุ้น

หากไม่ใช่ว่าภูเขาสองลูกมีพลังในการต้านทานอัสนีสวรรค์ การสำแดงอิทธิฤทธิ์ออกมาต้านทานอัสนีสวรรค์สองสามระลอกสุดท้ายในช่วงสุดท้าย เกรงว่าแม้เขาจะข้ามผ่านเคราะห์สวรรค์ครั้งนี้ได้ ก็ไม่มีทางไม่ได้รับบาดเจ็บหนักแน่ และไม่อาจปลอดภัยเหมือนดั่งยามนี้ได้

ทว่าก็เพราะผ่านเคราะห์สวรรค์ระดับขั้นปลายในครานี้ หานลี่ถึงได้มั่นใจในภูเขาทั้งห้าเพิ่มขึ้น และตัดสินใจจะหลอมภูเขาอีกสามลูกที่เหลือโดยไม่เสียดายค่าตอบแทน

มิเช่นนั้นจากเคราะห์ของระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายที่แทบจะไม่อาจต้านทานได้ ระดับมหายานและ

การบรรลุก็มีแต่จะน่ากลัวยิ่งกว่าจนยากจะเหลือเชื่อ หากไม่มีภูเขาห้าลูก เขาก็ไม่มั่นใจเลยสักนิดและยิ่งไปกว่านั้นต้องต้านทานกับเคราะห์สวรรค์ที่จะจุติลงมาทุกๆ ระยะเวลาหนึ่ง จึงต้องใช้สมบัติล้ำค่า

หลังจากที่ความคิดสุดท้ายในหัวของหานลี่โคจรไปมาชั่วครู่ จุดตันเถียนก็มีพลังปราณอบอุ่นไหลเวียนไปทั่วเรือนร่าง ร่างทั้งร่างผ่อนคลายลง สมาธิจมเข้าสู่ภวังค์การฝึกฝน

หานลี่เข้าสู่สมาธิ ก็ใช้เวลาไปสิบกว่าวันเต็มๆ

ครึ่งเดือนต่อมา ภายในห้องลับของหอคอยมีเสียงคำรามยาวๆ และเมฆาม้วนวนทะลักออกมา ประตูห้องลับส่งเสียงดัง “ปัง” แล้วเปิดออกทันที

ลำแสงสีเขียวเปล่งแสงสว่างวาบ หานลี่ปรากฏขึ้นที่ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูด้วยสีหน้าราบเรียบ กวาดสายตาไปทางซ้ายและขวา

“คารวะท่านอาจารย์!”

“ยินดีกับพี่หานที่พลังยุทธ์เพิ่มขึ้น!”

……

ชี่หลิงจื่อ ไห่ต้าเซ่าและหงส์น้ำแข็งเฝ้าอยู่บริเวณรอบ ชั่วพริบตาที่ได้ยินเสียงร้อง ก็รีบมาที่ประตูอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ทันใดนั้นก็ทยอยกันคารวะแสดงความยินดีด้วยความดีใจ

“หึๆ หากไม่ใช่เพราะมีเซียนคอยช่วย ผู้แซ่หานจะพัฒนาระดับในครั้งนี้สำเร็จหรือไม่ก็เป็นเรื่องที่พูดยากแล้ว สหาย พวกเราไปคุยกันในห้องโถงเถิด พวกเจ้าสองคนเองก็ลำบากแล้ว ไปด้วยกันก็แล้วกัน” หานลี่เอ่ยกับทั้งสามคนด้วยรอยยิ้มบางๆ

หงส์สวรรค์และพวกย่อมไม่มีข้อคิดเห็น จึงตามหานลี่ไปที่ยอดของหอคอยหินทันที

หลังจากผ่านไปชั่วครู่ หานลี่และหงส์น้ำแข็งก็แยกกันนั่งอยู่บนเก้าอี้บนห้องโถงชั้นบนสุด

ชี่หลิงจื่อและไห่ต้าเซ่ามีฐานะเป็นชนรุ่นหลัง จึงยืนอย่างนอบน้อมอยู่ทั้งสองฝั่ง พลางฟังหานลี่และหงส์น้ำแข็งสนทนากัน

ครั้งนี้ที่หานลี่บรรลุระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายได้ พวกเขานั้นแทบจะตื่นเต้นดีใจมากกว่าหานลี่เสียอีก

มีท่านอาจารย์ที่แข็งแกร่งเพียงนี้อยู่ จากนี้ไปในเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจจะมีผู้ใดกล้ามารังแกได้อีก จากนี้เกรงว่าต่อให้เป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่ระดับสูงกว่าพวกเขาสองสามขั้น ก็คงเกรงใจเขาสองคนอยู่หลายส่วน

“พี่หาน น้องหญิงยอมรับว่าการมีโลหิตหงส์สวรรค์อยู่ในร่าง ไม่ว่าคุณสมบัติและพรสวรรค์ล้วนไม่อ่อนแอกว่าผู้ใด ตอนนั้นจึงฝึกฝนจนถึงระดับสูงสุดได้ในระยะเวลาอันสั้นๆ ในแดนมนุษย์ แต่ยามนี้เทียบกับระดับของพี่หานแล้ว ก็ไม่รู้จะพูดอันใดอีก เกรงว่าวันนั้นที่เจ้ากับข้าร่วมมือกันขึ้นมาแดนวิญญาณ สหายเองคงคิดไม่ถึงว่าจะมีวันนี้สินะ พี่หานบรรลุระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายแล้ว ประกอบกับอิทธิฤทธิ์เดิมที่น่าตกตะลึง ในบรรดาเผ่ามนุษย์และเผ่าปีศาจนอกจากระดับมหายานทั้งสองท่านแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดที่ทำให้เจ้าหวาดกลัวได้ แม้กระทั่งสหายกว่าครึ่งของแดนวิญญาณก็ต้องปล่อยให้เจ้าเป็นอิสระ ช่างเป็นเรื่องที่น่าอิจฉายิ่งนัก!” หงส์น้ำแข็งเอ่ยอย่างแช่มช้า และไม่ได้ปิดบังสีหน้าอิจฉาออกมา

“ผู้แซ่หานฝึกฝนจนมาถึงระดับนี้ ความจริงแล้วกว่าครึ่งล้วนพึ่งโชคชะตาทั้งนั้น สหายเฟิงสืบทอดโลหิตจิตวิญญาณเที่ยงแท้ ประกอบกับมีคุณสมบัติที่ไม่อ่อนแอ วันข้างหน้าขอแค่ใช้เวลาสักหน่อย ย่อมพัฒนาระดับมาถึงข้าได้ในอีกไม่ช้าก็เร็ว จะอิจฉาอันใด” หานลี่สั่นศีรษะ เผยสีหน้าสงบเงียบออกมา

“หวังว่าจะเป็นเช่นนั้นกระมัง ช่วงนี้ข้าฝึกฝนจนสัมผัสได้ว่าพลังปราณในร่างเต็มเปี่ยมแล้ว ดูแล้วน่าจะอยู่ไม่ไกลกับการทะลวงระดับขั้นแล้ว” หงส์น้ำแข็งพยักหน้า ฉับพลันนั้นก็เอ่ยขึ้น

“หึๆ เช่นนั้นข้าก็ยินดีกับเซียนด้วย” หานลี่ได้ยินก็ตกตะลึง มุมปากเผยรอยยิ้มออกมาขณะเอ่ย

หงส์น้ำแข็งยิ้มตอบ แต่กลับไม่ได้เอ่ยปากอันใดต่อ

“ชี่หลิงขื่อ ช่วงเวลาที่ข้ากักตนมีเรื่องอันใดเกิดขึ้นหรือไม่?” หานลี่หันไปเอ่ยถาม

“รายงานท่านอาจารย์ ช่วงนี้ผู้บำเพ็ญเพียรจากที่ต่างๆ ในเมืองล้วนถูกระดมพล และยิ่งไปกว่านั้นยังมีข่าวลือว่ากองทัพเผ่ามารจะเริ่มทำการโจมตีเมืองอย่างเป็นทางการ และยังมีพรรคและสำนักต่างๆ ส่งสาสน์แสดงความยินดีและของขวัญมาให้ท่านอาจารย์ หลังจากที่ท่านอาจารย์ฟาดเคราะห์สวรรค์ครั้งที่แล้วจำนวนมาก ของขวัญล้วนถูกศิษย์บันทึกเอาไว้ แล้วเก็บไว้ในคลังแล้ว รอให้ท่านอาจารย์ไปตรวจสอบ ใช่แล้ว ยังมีอาวุโสต่างๆ ของสมาคมอาวุโสที่พากันส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้ ท่านอาวุโสจินยังส่งเทียบเชิญมา บอกว่าหลังจากที่ท่านอาจารย์ออกจากการกักตนแล้ว ขอเชิญท่านไปที่สมาคมอาวุโสสักครั้ง เพราะมีเรื่องสำคัญอยากจะปรึกษา”  ชี่หลิงจื่อสาวเท้ามาข้างหน้า แล้วตอบกลับอย่างนอบน้อม

“ของก็เอาไว้ตรงนั้นก่อน มีเวลาข้าจะไปดูส่วนทางด้านสมาคมอาวุโส…หึๆ คงเกี่ยวกับกองทัพเผ่ามารสินะดูแล้วคงต้องจำใจไปสักครั้ง เรื่องนี้รอช้าไม่ได้ข้าจะไปเดี๋ยวนี้” หานลี่ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วหยัดกายลุกขึ้นอย่างไม่รีบร้อน

“เช่นนั้นศิษย์ขอน้อมส่งท่านอาจารย์!”

“พี่หานรีบไปรีบกลับเถิด!”

ชี่หลิงจื่อและหงส์น้ำแข็งเห็นหานลี่จะออกไปทันทีก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ แต่ย่อมมิกล้าขัดขวางใดๆ

หลังจากที่หานลี่พยักหน้าเล็กน้อยผิวก็เปล่งแสงสีเขียวสว่างวาบกลายเป็นสายรุ้งสีเขียวหมุนวนโคจรที่เดิมรอบหนึ่งแล้วพุ่งออกไปนอกห้องโถง

……

เมื่อหานลี่มาปรากฏที่ด้านหน้าตำหนักสมาคมอาวุโสภิกษุจินเย่ว์และชายชราผมสีเงินก็ดูเหมือนจะรออยู่ตรงนั้นตั้งแต่แรก คาดไม่ถึงว่าพอได้ยินข่าวก็ออกมาต้อนรับทันทีและพาเขาเข้าไปในตำหนัก

เมื่อทั้งสามนั่งลงชายชราผมสีเงินก็เอ่ยปากแสดงความยินดีไม่หยุดและทนไม่ไหวกวาดจิตสัมผัสมาตรวจสอบสถานการณ์ของพลังยุทธ์ของหานลี่ในยามนี้

ผลคือทำให้เขาตกตะลึง

พลังยุทธ์ของหานลี่ในตอนนี้คาดไม่ถึงว่าจะลึกล้ำยากจะคาดเดาจนจิตสัมผัสของชายชราไม่อาจมองระดับพลังยุทธ์ของเขาออก

จะเป็นไปได้อย่างไร! เขาเองก็เป็นผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลาง แม้ว่าจะไม่อาจเทียบกับพลังยุทธ์ของระดับขั้นปลายได้แต่คงไม่ถึงกับมองพลังยุทธ์ของระดับนี้ไม่ออก

เมื่อเกิดสถานการณ์เช่นนี้ย่อมมีอยู่แค่สองประการ

ประการแรกอีกฝ่ายฝึกฝนเคล็ดวิชาลับหรือสมบัติวิเศษอันใดที่สามารถปิดบังพลังยุทธ์ของตนทำให้เขาไม่อาจตรวจสอบได้ ประการที่สองคือพลังยุทธ์ของอีกฝ่ายอยู่เหนือกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายทั่วไป ภายใต้การแตกต่างกันเป็นอย่างมากของพลังปราณย่อมไม่อาจสัมผัสได้

ชายชราผมสีเงินไม่ได้เผยสีหน้าประหลาดใจใดๆ ออกมาแต่ก็ขบคิดอย่างรวดเร็วแล้วตัดสินใจว่าประการแรกน่าจะเป็นไปไม่ได้

ถึงอย่างไรเสียหากอีกฝ่ายมีพลังในการปกปิดพลังยุทธ์จริงย่อมต้องใช้ตั้งแต่อยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นกลางแล้ว แต่เมื่อเขาพัฒนามาระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายยามนี้ก็เป็นเรื่องที่ทุกคนต่างรู้แล้วจึงไม่จำเป็นต้องทำอันใดที่ซ้ำซ้อนอีก และหากเป็นอย่างหลังละก็…

ชายชราผมสีเงินอดที่จะสูดลมหายใจด้วยความตกตะลึงเข้าไปไม่ได้

น้ำเสียงของเขาที่พูดคุยกับหานลี่จึงนุ่มนวลขึ้นหลายส่วน

แม้ว่าภิกษุจินเย่ว์จะดูเหมือนเป็นปกติแต่ความตกตะลึงในใจกลับไม่น้อยไปกว่าชายชราผมสีเงิน แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะคาดเดาพละกำลังของหานลี่เอาไว้แล้วก็ตาม แต่ยามนี้ดูแล้วก็คงจะประเมินต่ำไปหน่อย

“ของขวัญที่สหายทั้งสองส่งมาผู้แซ่หานรับเอาไว้แล้วข้าน้อยขอขอบคุณมาก ทว่าสหายทั้งสองรีบเชิญข้ามาเช่นนี้จะต้องมีเรื่องสำคัญแน่ มีอันใดหรือ” หลังจากพูดคุยกันสองสามประโยคหานลี่ก็เอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา

“อือ ในเมื่อพี่หานกล่าวเช่นนี้ผู้แซ่กู่ก็จะพูดตรงๆ ครั้งนี้สหายสามารถพัฒนาบรรลุระดับขั้นปลายได้คิดดูแล้วพละกำลังคงเพิ่มขึ้นมาก นับว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรอันดับหนึ่งในเมืองของเราแล้ว ข้าน้อยขอบังอาจเรียนถามหากเผชิญหน้ากับร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามารที่นอกเมืองจะมั่นใจว่าจะเอาชนะได้กี่ส่วน?” ชายชราผมสีเงินและภิกษุจินเย่ว์มองสบตากันแวบหนึ่งแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามาร? เรื่องนี้ก็พูดยากถึงอย่างไรเสียพลังยุทธ์และเคล็ดวิชาก็แตกต่างจากบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารมาก แต่อิทธิฤทธิ์ของร่างแยกนั้นไม่เหมือนกัน ข้าไม่ค่อยรู้จักร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่นอกเมืองแน่นอนว่าย่อมไม่อาจตัดสินได้ ทว่าหากเป็นแค่ร่างแยกที่ข้าเคยพบผู้แซ่หานมั่นใจว่าต่อกรได้” หานลี่ได้ยินก็หรี่ตาทั้งสองข้างลงหลังจากผ่านไปชั่วครู่ถึงได้ตอบกลับด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก