ตอนที่ 1988 ยันต์ง้าวสวรรค์

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

“ร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นผู้บัญชาการของกองทัพเผ่ามารนอกเมือง เอาแต่แอบอยู่ในกองทัพยังไม่เคยเผยโฉมหน้าออกมาเลย พลังยุทธ์จะเป็นเช่นไรนั้นพวกเราก็ไม่แน่ใจ แต่จากการคาดเดาของสายลับ ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็แข็งแกร่งได้ไม่เท่ากับร่างแยกที่ไล่สังหารเจ้าตอนแรก ร่างแยกสองร่างนี้ล้วนมีต้นกำเนิดมาจากร่างเดิมของบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวง ต่อให้อิทธิฤทธิ์แตกต่างกัน ต้นกำเนิดของเคล็ดวิชาก็เกี่ยวข้องกัน หากพี่หานต่อกรด้วย น่าจะสบายกว่าเผชิญหน้ากับร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ตนอื่นๆ” ชายชราผมสีเงินเอ่ยอย่างจริงจัง

“อ๋อ ฟังจากน้ำเสียงของพี่กู่ หรือว่าอยากจะให้ผู้แซ่หานเป็นคู่มือกับร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามาร!” หานลี่ไม่ได้รู้สึกตกตะลึง และเอ่ยอย่างแช่มช้า

“สหายหานช่างชาญฉลาดนัก!  หากอยู่ในเวลาปกติ ตาเฒ่าย่อมไม่ให้พี่หานเสี่ยงอันตรายเช่นนี้ จะต้องจัดหาวิธีที่มั่นคงมากำจัดร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์แน่ แต่กองทัพเผ่ามารในครั้งนี้ แค่จำนวนของจอมมารเผ่ามารก็แทบจะมากกว่าสมาคมอาวุโสเท่าหนึ่งแล้ว ตาเฒ่าและสหายท่านอื่นๆ ใช้สมองวิเคราะห์แล้วรู้สึกว่าแม้จะอาศัยประโยชน์ด้านภูมิศาสตร์ ก็พอจะฝืนรับมือได้เท่านั้น ส่วนร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์นั้นแข็งแกร่งกว่าผู้บำเพ็ญเพียรระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายทั่วๆ ไป หากลงมือเองล่ะก็ ในเมืองคงไม่มีวิธีดีๆ ในการรับมือ หากถูกเขาอาศัยอิทธิฤทธิ์ที่แข็งแกร่งทำการโจมตีจุดที่อ่อนแอของการป้องกันเมือง ให้กองทัพเผ่ามารบุกเข้ามาในเมือง ทั้งเมืองเทวะสวรรค์คงต้องหายไปเสียแล้ว” ชายชราผมสีทองเงินเอ่ยอย่างไม่ต้องขบคิด

“เดิมสมาคมคิดจะจัดการกับร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ผู้นี้อย่างไร อย่าบอกนะว่าพวกเจ้าไม่ได้เตรียมแผนอันใดไว้” หานลี่ครุ่นคิดแล้วเอ่ยถาม

“จะมีวิธีการอันใด แน่นอนว่าย่อมมีเพียงอาศัยคนจำนวนมากและพลังของเขตอาคมต้องห้าม เดิมคิดว่าพอการต่อสู้เริ่มขึ้นจะส่งคนไปเตรียมเขตอาคม อาศัยพลังของเขตอาคมและจำนวนคนที่จัดวางไว้เฉพาะล้อมมันเอาไว้แล้วค่อยว่ากัน ไม่ได้หวังว่าการกระทำเช่นนี้จะสังหารร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ได้จริงๆ แต่รั้งไว้ระยะหนึ่งก็พอแล้ว ทว่าวิธีนี้ดูเหมือนจะง่ายดาย ความจริงแล้วกลับจัดการยุ่งยากที่สุด อัตราการประสบความสำเร็จก็ไม่สูงนัก” ภิกษุจินเย่ว์เอ่ยปากอธิบาย

“อืม นั่นมันก็ใช้ ร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามารเหล่านี้เจ้าเล่ห์เพทุบายนัก การจะล่อพวกมันไปตามลำพัง ย่อมเป็นเรื่องที่ยากเย็น” หานลี่ดูเหมือนจะนึกอันใดได้ จึงพยักหน้าอย่างเคร่งขรึม

“ใช่แล้ว เดิมและสหายจินก็คิดจะเชิญสหายให้ลงมือล่อคนผู้นั้นอยู่แล้ว แต่จากพลังยุทธ์ของสหายก่อนหน้านี้ มันอันตรายเกินไป ดังนั้นถึงได้ไม่ยอมเอ่ยปาก ยามนี้พี่หานพัฒนาระดับขั้นปลายแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่จำเป็นต้องกังวลมากเกินไป พี่หานก็ไม่ต้องสู้กับร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้น ขอแค่รั้งมันเอาไว้ยามที่เปิดศึก ไม่ให้มันมีเวลามาโจมตีเขตอาคมต้องห้ามของเมืองเรา ส่วนกองทัพเผ่ามารและจอมมารตนอื่นๆ นั้น สมาคมอาวุโสของพวกเราย่อมเป็นผู้รับมือเอง เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสงครามตัดสินของเผ่ามารรวมทั้งความเป็นตายของเมืองเรา หวังว่าพี่หานจะไม่ปฏิเสธ” ชายชราผมสีเงินเอ่ยอย่างจริงใจ

“ในเมื่อผู้แซ่หานตอบรับกับเมืองท่านไว้ตั้งแต่แรกว่าจะช่วยต้านทานเผ่ามารยามเคราะห์มารประทุอย่างเต็มกำลัง ย่อมไม่มีทางกลืนคำพูดของตัวเอง และยิ่งไปกว่านั้นแค่รั้งอีกฝ่ายไว้ล่ะก็ ผู้แซ่หานมั่นใจว่าทำได้ ร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เซวี่ยกวงผู้นี้ มอบให้ข้าน้อยจัดการเถิด” หานลี่ขบคิดชั่วครู่ ฉับพลันนั้นก็ฉีกยิ้มแล้วตอบรับ

“ขอบพระคุณพี่หานที่มีคุณธรรมยิ่ง! ขอแค่เมืองของเราผ่านเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ พวกเราจะต้องตอบแทนให้จงหนัก” ชายชราผมสีเงินได้ยินกลับตอบกลับด้วยความยินดียิ่ง

“ไม่เป็นไร ผู้แซ่หานแค่พยายามในส่วนของตนเองเท่านั้น สงครามครั้งนี้เกี่ยวข้องกับทั้งเผ่ามนุษย์ของพวกเรา ข้าน้อยย่อมต้องพยายามอย่างเต็มกำลัง เอาล่ะ ผู้แซ่หานเพิ่งพัฒนาระดับขั้นได้ไม่นาน ยังต้องทำให้ระดับขั้นมั่นคงก่อน คงไม่รั้งอยู่แล้ว” หานลี่ฉีกยิ้มบางๆ คาดไม่ถึงว่าจะหยัดกายลุกขึ้นกล่าวลา

ชายชราผมสีเงินและภิกษุจินเย่ว์ประหลาดใจเล็กน้อย แต่ฟังจากคำพูดของหานลี่ก็ไม่ได้รั้งอันใดอีก ทันใดนั้นก็เอ่ยคำขอบคุณไม่หยุดแล้วส่งหานลี่ออกไปจากประตูของตำหนักด้วยตัวเอง ถึงได้กลับมานั่งที่เดิม

“พี่กู่ เหตุใดเจ้าถึงไม่ได้เอ่ยปากเชิญสหายหานเข้าร่วมเมืองของเรา เมื่อครู่เป็นโอกาสที่ไม่เลว” ภิกษุจินเย่ว์หุบยิ้มบนใบหน้าแล้วเอ่ยถาม

“ท่านปรมาจารย์คิดว่ามีประโยชน์หรือ? เดิมตาเฒ่ายังคิดว่าจะโชคดี แต่ยามนี้เห็นสหายหานพัฒนาระดับขั้น ถึงได้รู้ว่าเขาไม่อาจตอบรับการเข้าร่วมกับขุมอำนาจใดๆ ได้ เจ้าคิดว่าจากพละกำลังของสหายหานในยามนี้ ในบรรดาผู้บำเพ็ญเพียรระดับขั้นปลายทั้งหมดของสองเผ่าเป็นอย่างไร?” ชายชราผมสีเงินหรี่ตาทั้งสองข้างลง ถึงได้เอ่ยถาม

“อืม สหายระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายคนอื่นๆ ของทั้งสองเผ่า ตาเฒ่าล้วนเคยพบหน้า แต่ไม่มีผู้ใดที่แม้แต่พลังยุทธ์ก็ยังดูไม่ออกเหมือนกับสหายหาน ประกอบกับที่เขาเคยสังหารสิ่งมีชีวิตระดับเดียวกันสองสามตนตอนที่อยู่ระดับขั้นกลาง ยิ่งเคยประมือกับร่างแยกบรรพชนศักดิ์สิทธิ์เผ่ามาร ดังนั้นจึงตัดสินได้ว่า สหายหานน่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตอันดับหนึ่งอันดับสองรองมาจากท่านอาวุโสม่อและท่านอาวุโสเอ๋าในบรรดาทั้งสองเผ่าของพวกเราแล้ว” ภิกษุจินเย่ว์ใจเต้น หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ถึงได้ตอบกลับอย่างมีความคิด

“ใช่แล้ว จากพละกำลังของสหายหาน จะเข้าร่วมขุมอำนาจถูกจำกัดโดยเปล่าประโยชน์อันใดได้ จากพละกำลังของเขาในยามนี้ เมืองเทวะสวรรค์ของพวกเราจะเอาอันใด มาทำให้เขาพอใจจนไม่ยอมไปไหน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ตาเฒ่าย่อมไม่จำเป็นต้องทำเรื่องที่ทำให้สหายไม่พอใจ” ชายชราผมสีเงินหัวเราะอย่างขมขื่นขณะเอ่ย

“นั่นมันก็ใช่ แต่เมื่อคิดถึงต้นกำเนิดของสหายหาน เกรงว่าเจ้ากับข้าคงคิดไม่ถึง พันกว่าปีก่อนเมืองของเรามีผู้พิทักษ์ธรรมดาคนหนึ่งประสบความสำเร็จได้ถึงเพียงนี้ และกลับเดินนำหน้าเจ้ากับข้าด้วย” ภิกษุจินเย่ว์ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ แล้วถึงได้เอ่ยอย่างแช่มช้า

“หึๆ ไม่เช่นนั้นจะมีคำพูดที่ว่าสิ่งต่างๆ ในโลกล้วนคาดเดาได้ยากหรือ เอาล่ะ ยามนี้ไม่ใช่เวลาที่เจ้ากับข้าจะมาทอดถอนใจ พวกเรารีบปรึกษาปัญหากันต่อเถิด ข้ายังคิดว่าต้องวางสมบัติอาคมสำคัญสองสามชิ้นไว้ที่หัวเมือง จะได้ใช้ควบคุมอสูรมารระดับต่ำที่จะเริ่มโจมตีอย่างบ้าคลั่ง…” ชายชราผมสีเงินกลับได้สติกลับคืนมาอย่างรวดเร็ว แล้วเปลี่ยนหัวข้อบทสนทนาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ไม่ได้ สมบัติสำคัญสองสามชิ้นนั้นพวกเราเสียแรงไปตั้งมากมาย ถึงได้หลอมขึ้นมาเป็นหนึ่งในเครื่องมือสังหารได้ จะเอาไปใช้กับอสูรมารเหล่านั้นได้อย่างไร มิเช่นนั้นหากเปิดเผยออกไป ก็ไม่อาจมีผลต่อช่วงหลังของการต่อสู้แล้ว…” ภิกษุจินเย่ว์ได้ยิน กลับสั่นศีรษะปฏิเสธอย่างต่อเนื่อง

“แต่จำนวนของอสูรมารระดับต่ำเหล่านั้นมันมากเกินไป หากไม่ใช่ละก็…”

ทั้งสองเริ่มปรึกษากันภายในตำหนัก

หานลี่ย่อมไม่รู้ทุกอย่างนี้ หลังจากออกจากตำหนักก็บินไปทันที

เหมือนกับที่คุยกับภิกษุจินเย่ว์และพวกในตอนแรก หากระดับขั้นปลายของเขายังไม่มั่นคง ก็ยังต้องใช้เวลาอีกไม่น้อย การฝึกฝนให้มากขึ้นก่อนที่สงครามของเผ่ามารจะเริ่มขึ้น จะทำให้พลังปราณของเขามั่นคงขึ้นส่วนหนึ่ง และยิ่งไปกว่านั้นหลังจากพัฒนาระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลาย เคล็ดวิชาพราหมณ์ศักดิ์สิทธิ์มารเที่ยงแท้ของเขาก็ใกล้จะประสบความสำเร็จแล้ว ในที่สุดก็สามารถสำแดงอิทธิฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ที่บันทึกอยู่ในบันทึกแล้ว

ทว่าอิทธิฤทธิ์เหล่านี้ หากคิดจะใช้ต่อกรกับศัตรู แน่นอนว่าต้องใช้เวลาทำความคุ้นเคยถึงจะได้

ดังนั้นเขา ชายชราผมสีเงินและพวกพูดคุยกันเสร็จ ก็กลับมาอย่างไม่ยอมเสียเวลา

หานลี่ที่กลับมาถึงที่พัก เรียกชี่หลิงจื่อและหงส์น้ำแข็งมาออกคำสั่งเล็กน้อย แล้วเข้าไปในห้องลับอีกครั้ง

หานลี่นั่งขัดสมาธิอยู่บนฟูกภายในห้องลับ และเข้าสู่ภวังค์สมาธิทันที หลังจากครุ่นคิดเงียบๆ อยู่นาน มือหนึ่งพลันพลิกฝ่ามือ ป้ายหยกสีขาวสองแผ่นพลันปรากฏขึ้น

ทั้งสองล้วนมีขนาดเท่าหัวแม่มือ แต่ผิวเปล่งแสงสีเงินสว่างวาบ มีอักขระยันต์สีเงินสลักอยู่เต็มไปหมด

นั่นก็คือหน้าปกของตำราหยกพระราชวังทองคำที่หานลี่ได้มานานแล้ว

บันทึกนี้มีวิธีการหลอมยันต์ลึกลับอยู่สองสามชนิด และบันทึกคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติที่ขาดหายไป

หน้าแรกแม้ว่าจะขาดหายไป แต่หานลี่อาศัยการศึกษามานาน ประกอบกับการใช้เป็นกระจกเงา ทำให้หลอมยันต์กว่าครึ่งในนั้นได้ตั้งนานแล้ว ยามนี้เหลือเพียงยันต์ที่ยังไม่ทันได้หลอมนามว่า ‘ยันต์ง้าวสวรรค์’ เท่านั้น

ยันต์นี้ถูกบันทึกไว้สุดท้ายในตำรา และเป็นยันต์ชนิดเดียวที่มีพลังการโจมตี กล่าวเอาไว้ว่าอานุภาพอยู่ในจุดที่น่าเหลือเชื่อ

น่าเสียดายที่เทียบกับสองสามชนิดแรก ยันต์นี้เรียนรู้ยากกว่าหลายเท่า หากไม่ใช่เพราะต่อมาหานลี่มีวาสนา ได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับปรมาจารย์ด้านยันต์วิเศษของชนต่างเผ่า คิดจะหลอมยันต์ชนิดนี้ก็แทบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้

แต่วิธีการหลอมนี้ หานลี่ก็มั่นใจมานานแล้ว แต่กลับพบว่าวิธีการหลอมยันต์ชนิดนี้ไม่เพียงต้องใช้วัตถุดิบหายาก พลังปราณของผู้หลอมยันต์ก็ต้องมีเงื่อนไขที่น่าตกตะลึง

จากพลังยุทธ์ระดับขั้นกลางของหานลี่ในตอนแรก คาดไม่ถึงว่าพลังปราณจะไม่อาจควบคุมการหลอม ‘ยันต์ง้าวสวรรค์’ ได้

นี่จึงทำให้เขากลัดกลุ้มอยู่นาน

ทว่าเมื่อขบคิดอย่างละเอียด นั่นก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก จากอานุภาพความน่ากลัวที่บรรยายไว้ เกรงว่าแม้อยู่ในแดนเทพเซียนก็ไม่ใช่ของธรรมดา ให้คนแดนล่างอย่างพวกเขาหลอมย่อมต้องกินแรงมาก

โชคดีที่เรื่องวัตถุดิบนั้นได้มอบหมายให้ศิษย์ใต้อาณัติแล้ว ให้พวกเขาใช้ศิลาวิญญาณไปจำนวนมากถึงได้รวบรวมได้ครบภายในระยะเวลาสองสามร้อยปี

ยามนี้เขาอยู่ในระดับผสานอินทรีย์ขั้นปลายแล้ว พลังปราณจึงเพียงพอในการหลอมยันต์ แน่นอนว่าจึงคิดจะกักตนหลอม ‘ยันต์ง้าวสวรรค์’

ส่วนบันทึก ‘คาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติ’ อีกชนิดหนึ่ง น่าจะเป็นวิธีการหลอมร่างของแดนเซียน คาดไม่ถึงว่าจะทำให้กายเนื้อแข็งแกร่งดั่งสมบัติได้

น่าเสียดายที่เคล็ดวิชานี้มีเงื่อนไขต่อกายเนื้อสูงเกินไป ตอนที่หานลี่ได้มาตอนแรกก็แค่ฝืนฝึกฝนได้เท่านั้น และวิธีการใช้ ก็ต้องเอาสมบัติอย่างภูเขาเทวะดูดปราณมาหลอมเข้ากับส่วนต่างๆ ของร่างกาย ถึงได้ทำให้อิทธิฤทธิ์เพิ่มขึ้น

แต่สุดท้ายวิธีการนำมาใช้ก็ไม่ใช่หนทางที่ถูกต้อง เมื่อหานลี่มีพลังยุทธ์ระดับนี้ การอาศัยสมบัติทำให้กายเนื้อแข็งแกร่งขึ้นจึงไม่เข้าตาอีก เลยคิดจะหลอมคาถาร้อยชีพจรหลอมสมบัติใหม่อีกครั้ง เพื่อฝึกฝนอย่างแท้จริง

จากระดับความแข็งแกร่งของกายเนื้อของเขาในยามนี้ คาถาในการฝึกฝนย่อมไม่มีอันใดมาขัดขวางอีก