ตอนที่ 647 ช้าก่อน!

เฉียนซานเซิ่งนอนแผ่หลาหมดสภาพ ประเดี๋ยวก็กลิ้งมาข้างหน้า ประเดี๋ยวก็กลิ้งกลับไปข้างหลัง ประเดี๋ยวก็กระเด็นไปทางซ้าย ประเดี๋ยวก็กระเด็นมาทางขวา ตัวคนใกล้หมดสติเต็มที และเมื่อหลินเป่ยเฉินหยุดมือ ชายหนุ่มก็ทิ้งตัวลงนอนแน่นิ่งบนพื้นไม่ต่างจากต้นหญ้าต้นหนึ่ง

แต่การกระทำทั้งหมดนี้ หลินเป่ยเฉินยังไม่ได้เอาจริงเลยด้วยซ้ำ

เพราะถ้าเขาไม่ออมแรงเอาไว้ ศีรษะของเฉียนซานเซิ่งก็คงแตกกระจายไปตั้งแต่ตอนที่โดนตบครั้งแรกแล้ว

ทุกคนในห้องโถงใหญ่ตกตะลึง

มีคนกล้าเข้ามาทำร้ายเจ้าหน้าที่ถึงในสำนักงานเชียวหรือ?

เด็กหนุ่มผู้เสียสติคนนี้เป็นใครกัน?

เขาต้องการสิ่งใด?

เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วหรืออย่างไร?

หวังจงมองเหตุการณ์ทั้งหมดนี้ด้วยความปวดหัว

เฮ้อ

ชายชรารู้ตั้งนานแล้วว่าถ้าปล่อยให้นายน้อยจัดการ เรื่องทุกอย่างก็คงต้องลงเอยเช่นนี้

ดูเหมือนนายน้อยของเขาจะไม่เปลี่ยนไปเลย

นายน้อยก็ยังคงเป็นนายน้อยอยู่วันยังค่ำ

บางครั้งอาการทางสมองก็จะกำเริบขึ้นมาอย่างไม่มีสัญญาณเตือน

แล้วก็จะไม่มีใครควบคุมนายน้อยได้อีก

กงกงกำลังเฝ้าระวังเวรยามที่คุ้มกันตึกที่ทำการ สายตาของเขากวาดมองรอบบริเวณ และคำนวณอยู่ในใจว่าต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่กว่าที่กลุ่มเจ้าหน้าที่จะมาปิดล้อมตึกแห่งนี้ได้ครบทุกด้าน แล้วเขาควรจะพานายน้อยแหวกทะลวงวงล้อมหลบหนีออกไปทางไหนดี…

แล้วเฉียนเหมยกับเฉียนเจินเล่า?

สาวรับใช้รายแรกนั้นมีสีหน้าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง

ส่วนสาวรับใช้คนที่สองต้องคอยจับแขนของสาวรับใช้คนแรกเอาไว้ให้มั่น เพราะนางกลัวว่าเฉียนเหมยอาจจะหลุดออกไปทำร้ายใครได้อีก

เพราะนับตั้งแต่ที่สามารถเอาชนะผู้คุ้มกันของหอนางโลมบุปผารื่นรมย์ได้สำเร็จ เฉียนเหมยก็กลับกลายเป็นมีนิสัยใจร้อนวู่วาม ทุกวันได้แต่ร้องขอให้นายท่านช่วยนำนางเข้าสู่ค่ายอาคมศักดิ์สิทธิ์ เพื่อฆ่าสัตว์ประหลาดในปราสาทพิศวงแห่งนั้น

เห็นได้ชัดว่าเฉียนเหมยเสพติดการฆ่าฟันแล้ว

เฉียนเจินจึงหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่งว่าเฉียนเหมยจะเปลี่ยนสำนักงานบริหารประจำเมืองให้กลายเป็นโรงฆ่าสัตว์ในพริบตา

“บัดซบ ไม่ต้องแกล้งตาย”

หลินเป่ยเฉินเดินไปหยิบถังน้ำใบหนึ่งมาสาดใส่หน้าเฉียนซานเซิ่ง

เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามีถังน้ำมาตั้งอยู่แถวนี้ได้อย่างไร

“อ๊ากกกก…”

ชายหนุ่มส่งเสียงกรีดร้องออกมาด้วยความหวาดผวาเมื่อได้สติฟื้นคืน

เมื่อเฉียนซานเซิ่งเห็นหน้าหลินเป่ยเฉินซึ่งมีความหล่อเหลามากกว่าตนเองหลายพันเท่า แต่เจ้าหน้าที่หนุ่มกลับส่งเสียงกรีดร้องออกมาเหมือนเห็นภูตผีวิญญาณร้าย

“เจ้าจะอนุมัติหรือไม่?”

หลินเป่ยเฉินถามพร้อมกับก้มหน้ามอง

“เอ๋ อนุมัติหรือ?”

ในหูของเฉียนซานเซิ่งได้ยินแต่เสียงดังวิ้งวิ้งจึงถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “อนุมัติเรื่องอันใด?

เพี๊ยะ!

หลินเป่ยเฉินจึงต้องตบหน้าเรียกสติอีกครั้ง

“ข้าจะนับหนึ่งถึงสาม เจ้าจงบอกออกมาว่าจะอนุมัติหรือไม่”

เด็กหนุ่มฉีกยิ้มอย่างชั่วร้าย

“โอ๊ย อนุมัติแล้ว อนุมัติแล้วขอรับ…”

เฉียนซานเซิ่งตัวสั่นเทาขณะรับคำว่า “ไม่ว่าคุณชายต้องการสิ่งใด ได้โปรดบอกกล่าวมาได้เลย…”

หลินเป่ยเฉินกระชากคอเสื้อเจ้าหน้าที่หนุ่มให้ลุกขึ้นยืน “พูดดีๆ ตั้งแต่แรกก็ไม่ต้องเจ็บตัวแล้ว บังเอิญว่าข้าเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งซะด้วย นี่เป็นความผิดของเจ้าเองนะ ทำไมจึงได้มีฝีมืออ่อนแอถึงเพียงนี้?”

เฉียนซานเซิ่งอยากจะร้องไห้แต่ก็ไม่มีน้ำตาให้ไหลออกมาอีกแล้ว

หลินเป่ยเฉินโยนเขากลับลงไปบนพื้นพร้อมกับส่งเสียงคำรามว่า “เร็วเข้า รีบประทับตราให้ข้าได้แล้ว ข้ามีเวลาไม่มาก ไม่อยากมาเสียเวลากับตัวโง่งมอย่างเจ้าอีกแม้แต่ลมหายใจเดียว”

“ได้เลยขอรับ ได้เลย…”

เฉียนซานเซิ่งรีบลนลานคลานไปค้นหาตราประทับของตนเองจากกองเศษซากคอกเสมียนที่แหลกสลายกลายเป็นผุยผง

เมื่อเห็นเหตุการณ์เริ่มคลี่คลายลงด้วยดี หวังจงจึงนำแผ่นกระดาษสำหรับการทำเรื่องเปิดสถานศึกษายื่นส่งไปให้เจ้าหน้าที่หนุ่ม

เฉียนซานเซิ่งกำลังจะนำตราประทับในมือประทับลงไปบนแผ่นกระดาษโดยไม่เหลือบตามองด้วยซ้ำ

“ช้าก่อน”

หลินเป่ยเฉินพลันส่งเสียงเรียกขึ้นมาอย่างกะทันหัน

เฉียนซานเซิ่งหัวใจกระตุกวูบ รีบเงยหน้าขึ้นมาสอบถามอย่างประจบเอาใจ “ไม่ทราบว่าคุณชายต้องการสิ่งใดหรือขอรับ?”

หลินเป่ยเฉินหยิบแผ่นกระดาษสำหรับการเปิดสถานศึกษามาดูรายละเอียด ก่อนพูดว่า “ใช้ไม่ได้ ที่ดินในเอกสารนี้เล็กมากเกินไป ข้าขอขยายพื้นที่เป็น 2,000 หมู่ก็แล้วกัน”

“หา?”

เฉียนซานเซิ่งอ้าปากเหวอ

2,000 หมู่?

กล้าพูดออกมาได้อย่างไร

“ทำไม?”

หลินเป่ยเฉินทำตาแข็ง “หรือว่าเจ้ามีปัญหา?”

“ไม่มีปัญหาขอรับ”

เฉียนซานเซิ่งจะกล้ามีปัญหาได้อย่างไร เขาได้แต่ทำตามความต้องการของฝ่ายตรงข้ามเท่านั้น

หวังจงแก้ไขจำนวนที่ดินบนหน้ากระดาษเสร็จเรียบร้อยก็ส่งไปให้เจ้าหน้าที่หนุ่มอีกครั้ง

เฉียนซานเซิ่งกำลังจะประทับตราลงไป แต่ในทันใดนั้นเอง…

“ช้าก่อน”

หลินเป่ยเฉินพูดขึ้นมา

เฉียนซานเซิ่งรู้สึกหมดแรงอยากจะล้มลงนอนรับชะตากรรมให้มันรู้แล้วรู้รอด

ยังจะเอาอะไรอีก?

หลินเป่ยเฉินมองข้อความบนแผ่นกระดาษและพูดด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ทำไมถึงต้องจำกัดพื้นที่อยู่แต่ในเขตสองด้วยเล่า ข้าจะเปิดสถานศึกษาในพื้นที่เขตสามหรือเขตสี่ไม่ได้หรือไง? แก้ไขใหม่ซะ ระบุไปว่าข้ามีสิทธิ์เลือกได้เองว่าจะเปิดสถานศึกษาในพื้นที่เขตใด”

“หืม?”

เฉียนซานเซิ่งถึงกับอุทานออกมาด้วยความเหลือเชื่อ

หลินเป่ยเฉินกล้าดีถึงกับยื่นข้อเรียกร้องเช่นนี้เชียวหรือ?

บ้าไปแล้ว

“มีอะไร?”

หลินเป่ยเฉินกลับมาทำหน้าเครียด “หรือว่าเจ้ามีปัญหา?”

“เอ่อ… ไม่มีปัญหาขอรับ… ไม่มีปัญหา” เฉียนซานเซิ่งมั่นใจว่าหลังจากนี้ต้องมีปัญหาแน่ๆ แต่เขาต้องเอาตัวรอดจากเหตุการณ์เฉพาะหน้าไปให้ได้ก่อน ส่วนเรื่องราวหลังจากนี้ค่อยว่ากันทีหลัง หากถึงเวลาก่อตั้งสถานศึกษาขึ้นมาจริงๆ เขาก็แค่ทำลายเอกสารเหล่านี้ทิ้งไปก็หมดเรื่องแล้ว

เจ้าหน้าที่หนุ่มยกตราประทับขึ้นมากำลังจะประทับลงไป…

“ช้าก่อน”

หลินเป่ยเฉินส่งเสียงขึ้นมาอีกครั้ง

“คุณชายขอรับ?”

เฉียนซานเซิ่งพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น “คุณชายต้องการแก้ไขส่วนใดอีกหรือ?”

ทำไมไม่พูดออกมาให้หมดรวดเดียวจบเลยนะ?

หลินเป่ยเฉินยิ้มแห้งและโบกมือส่งสัญญาณให้ชายหนุ่มประทับตราได้ตามสบาย “ไม่มีอะไรหรอก… ข้าก็แค่อยากแกล้งเจ้าเล่นเท่านั้น เชิญลงนามประทับตราได้เลย”

เฉียนซานเซิ่งขมวดคิ้วหน้ายุ่ง ยกตราประทับขึ้นมา และกำลังจะประทับตราลงไปบนแผ่นกระดาษในที่สุด

แต่จังหวะที่กำลังจะประทับตราลงไปนั้น ชายหนุ่มก็เงยหน้ามองหลินเป่ยเฉินเพื่อสอบถามอีกครั้งให้แน่ใจ “คุณชาย… ไม่มีอะไรอยากเพิ่มเติมแล้วใช่ไหมขอรับ?”

เพี๊ยะ!

หลินเป่ยเฉินตบหลังหัวเจ้าหน้าที่หนุ่มเสียงดังสนั่น

“เจ้านี่พูดมากเสียจริง รีบๆ ประทับตราได้แล้ว”

เด็กหนุ่มตวาด

เฉียนซานเซิ่งใบหน้ากระตุก พูดอะไรไม่ออก

ช่างไม่มีเหตุผลเลยจริงๆ

ก็ใครกันล่ะที่เอาแต่ร้องตะโกนว่า ‘ช้าก่อน’ ครั้งแล้วครั้งเล่าน่ะ?

ปึก!

สุดท้าย ตราประทับในมือของเฉียนซานเซิ่งก็ประทับลงไปบนแผ่นกระดาษ

บังเกิดคลื่นพลังชนิดหนึ่งครอบคลุมแผ่นกระดาษแผ่นนี้

และขั้นตอนการรับรองเอกสารจากทางราชการก็จบสิ้นลง