บทที่ 2571 ประลอง 4 / บทที่ 2572 ตัวการ

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2571 ประลอง 4

เขากวาดตามองทัพทมิฬ

“พวกเจ้าพูดสิ พวกเจ้าถูกควบคุมหรือไม่?”

“ไม่!”

ทัพทมิฬตอบอย่างพร้อมเพรียง

“เช่นนั้นพวกเจ้ามีสตินึกคิดเป็นของตนเองไหม?”

อวิ๋นเยียนหลีถามอีก

“แน่นอน!”

“พวกเรากระจ่างยิ่งนักว่ากำลังทำอะไรอยู่!”

“พวกเราไม่ได้ถูกควบคุม พวกเราจงรักภักดีต่อท่านเจ้าเมือง!”

ในที่สุดทัพทมิฬก็ไม่เอาแต่ตอบเป็นคำๆ อีกแล้ว พากันเอ่ยวาจา แสดงให้เห็นว่าสติของตนแจ่มแจ้งยิ่ง

ในที่สุดอวิ๋นเยียนหลีก็โต้กลับไปตาหนึ่งแล้ว สำราญใจไม่น้อยเลย สายตาที่มองกู้ซีจิ่วดูปวดใจอยู่บ้าง

“กู้ซีจิ่ว ข้าผู้เป็นเจ้าเมืองทุ่มเทหัวใจให้เจ้า เจ้าไม่เห็นค่าก็แล้วไปเถิด ไม่น่าเชื่อว่าวันนี้จะใส่ร้ายป้ายสีข้าเพื่อราชันมารตนนี้…”

เขารู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมจริงๆ ถึงแม้เขาจะดูดซับไอพยาบาทเพื่อหล่อหลอมการบำเพ็ญของตน แต่มิใช่กับทัพทมิฬเหล่านี้ เป็นเขาใช้วิธีที่ท่านเทพในฝันถ่ายทอดให้หลอมโอสถเพิ่มสมรรถภาพให้คนเหล่านี้ใช้ ทำให้คนถอดร่างเปลี่ยนกระดูกได้ในระยะเวลาสั้นๆ

และทำให้คนเหล่านี้สามารถเพิ่มพูนพลังยุทธ์ของตนได้มหาศาลในระยะเวลาสั้นๆ แม้ว่าจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อย ตัวอย่างเช่นเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาแห่งมนุษย์ของคนเหล่านี้จะลดน้อยลงเรื่อยๆ เลือดเย็นขึ้นเรื่อยๆ แต่โดยรวมแล้วยังคงมีข้อดีมากกว่า

เขาไม่ได้ทำร้ายคนพวกนี้! ยิ่งไม่ได้ควบคุมพวกเขาด้วย

ดังนั้นวาจานี้ของเขาจึงเอ่ยอย่างผ่าเผยชอบธรรม

กู้ซีจิ่วหยักมุมปากบางๆ

“ไม่ได้ถูกควบคุมงั้นหรือ?”

เธอพลันหยิบผีผาตัวหนึ่งออกมาจากร่าง นิ้วมือดีดบรรเลง เสียงปานฉีกรังไหม!

คนอื่นไม่มีปฏิกิริยาอะไร ทว่าทัพทมิฬเหล่านั้นกลับสะท้านใจ! สีหน้าเผือดซีดทันที

กู้ซีจิ่วก็ไม่พูดอะไร ดีดบรรเลงเกิดเป็นเสียงติงตังขึ้นมา

เสียงดนตรีไพเราะนัก คนทั่วไปฟังแล้วรู้สึกเพียงว่าสดชื่นจรรโลง ทว่าทัพทมิฬเหล่านั้นราวกับได้ยินคำสาปปลิดชีพ ร่างกายสั่นสะท้านอยู่ที่เดิมอย่างน่าเหลือเชื่อ ผ่านไปครู่หนึ่ง แต่ละคนต่างพ่นโลหิตพิษที่มีสีม่วงคล้ำออกมา ในโลหิตมีหนอนอันใดดีดดิ้นอยู่

ฝูงชนตกตะลึง…

จะว่าไปก็แปลก หลังจากทัพทมิฬเหล่านั้นพ่นโลหิตนี้ออกมา ก็ไม่สั่นสะท้านอีกต่อไป สีหน้าภายใต้โม่งดำก็ค่อยๆ กลับเป็นปกติ

พวกเขาต่างเจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า ล้วนมองเห็นความเหลือเชื่อในแววตาของอีกฝ่าย!

พวกเขาทราบชัดเจนว่าอวิ๋นเยียนหลีผิด ทว่าเชื่อฟังคำสั่งของเขาราวกับมีภูตผีสิงใจ!

แม้ว่าเขาจะสั่งให้พวกเขาไปสังหารบุพการีของเองตน ก็รู้สึกว่าเช่นนั้นถูกต้องอย่างยิ่ง พวกเขาต้องสังหารบุพการีเสีย…

ตอนนี้พอคิดๆ ดูแล้ว นั่นคือการกระทำอันโง่เขลาชัดๆ!

บัดนี้พวกเขาก้มมองหนอนประหลาดในโลหิตที่พวกตนสำรอกออกมา ในใจเต็มไปด้วยความฉงน นี่คืออะไร?

กู้ซีจิ่วไขข้อข้องใจให้พวกเขาอย่างรวดเร็วยิ่ง

“นี่คือกู่หมอกทมิฬปฏิญญา ถ้าพวกเจ้าใช้กู่นี้นานไป จะสูญสิ้นเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาแห่งมนุษย์ เชื่อฟังเพียงคำสั่งจากผู้เป็นนาย”

เหล่าทัพทมิฬตกตะลึง!

เรื่องราวดำเนินมาถึงจุดนี้แล้ว ทัพทมิฬเหล่านั้นย่อมเสมือนตื่นจากฝัน และแปรพักตร์แล้ว!

แน่นอนเนื่องจากหลายปีมานี้ พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งที่สุด ทันทีที่พวกเขาแปรพักตร์ก็เปิดโปงเรื่องราวดำมืดเพิ่มขึ้นอีก!

อย่างเช่นอวิ๋นเยียนหลีส่งพวกเขาไปทำเรื่องเลวร้ายมากมาย อาทิสังหารผู้เห็นต่าง จับตัวชาวบ้านธรรมดากับนักโทษในเรือนจำไป นำตัวพวกเขาไปทรมานสังหารด้วยวิธีการพิเศษ เก็บวิญญาณอาฆาตไปผนึกไว้ในผลึกวิญญาณให้เขาก่อค่ายกล รักษาไอพยาบาทในค่ายกลให้คงอยู่ยืนยาว

เมื่อข้อมูลดำมืดเหล่านี้เผยออกมา ย่อมดึงดูดความวุ่นวายมหาศาลจากประชาชนทั้งลานขึ้นมา!

แต่ละคนโกรธเกรี้ยวเคืองขุ่น คนที่ต้องการจะกระโจนขึ้นเวทีไปตีอวิ๋นเยียนหลีให้ตายเพื่อล้างแค้นมีไม่รู้เท่าใด

ถึงตอนนี้แล้ว อวิ๋นเยียนหลีกระจ่างแจ้งแล้วว่าตนสิ้นท่าในแดนอสุราแล้วจริงๆ ไม่อาจพลิกสถานการณ์ได้แล้ว!

————————————————————————————-

บทที่ 2572 ตัวการ

เดิมทีรอบข้างล้วนเป็นคนของเขา ล้วนเห็นเขาเป็นดั่งผู้กล้า เขาสง่างามภาคภูมิ ตอนนี้เวลาผ่านไปไม่ถึงหนึ่งเค่อ เขากลับถูกตัดขาดตีตัวออกห่าง กลายเป็นหนูเฒ่าข้างถนน

และตัวการของทุกอย่างนี้ ก็คือตี้ฝูอีที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้!

พ่อแม่ของเขาทำให้ตระกูลของเขาล่มสลาย พ่อแม่พี่ชายยามนี้ไม่รู้เป็นหรือตาย ทำให้ตัวเขาที่เดิมทีเป็นองค์ชายสูงศักดิ์ทำได้เพียงระเห็จไปยังโลกอื่น

ตอนนี้เขายังมาทำลายชื่อเสียงของเขาอีกทำลายทุกอย่างของเขาลง อย่างง่ายดายยิ่ง!

“ฮ่าๆๆ…”

อวิ๋นเยียนหลีเงยหน้าหัวเราะอย่างคุ้มคลั่ง มองตี้ฝูอีด้วยนัยน์ตาแดงฉาน

“ตี้ฝูอี นับว่าร้ายกาจ!”

เขาพลันยื่นมือออกไป กระบี่สีครามเข้มเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ

“แสดงความสามารถที่แท้จริงด้วยฝีมือของพวกเราเถอะ! ใช้ความเป็นตายชำระบุญคุณความแค้น!”

ความแค้นระหว่างพวกเขามีแต่ต้องใช้โลหิตมาชะล้างเท่านั้น ถ้าไม่ใช่ตี้ฝูอีก็เป็นตัวเขาอวิ๋นเยียนหลีที่ต้องตาย!

ตี้ฝูอีมองเขาอย่างเฉยเมยอยู่ตลอด เอ่ยเพียงไม่กี่คำ

“ดี! ข้าจะให้เจ้าสมปรารถนา!”

ที่สมควรพูดก็พูดกันไปแล้ว ระหว่างคนทั้งสองมีเพียงศึกตัดสินเป็นตายเท่านั้น!

เทพใหญ่สองท่านประมือกัน เพียงพอจะทำให้ทุกชีวิตในรัศมีหลายลี้นี้แหลกเป็นผุยผงได้!

อวิ๋นเยียนหลีกวาดตามองรอบข้างแวบหนึ่ง เอ่ยด้วยเสียงเย็นเยียบ

“ไสหัวไปไกลๆ หน่อย!”

ทุกคนมองหน้ากันเล็กน้อย พากันถอยร่นไป

แววตาตี้ฝูอีวูบไหวนิดๆ น้ำเสียงเฉยชา

“ไม่ต้อง”

พลันจรดนิ้วติดตั้งเขตแดนหนึ่งไว้โดยรอบ ภายในเขตแดนมีเพียงเขาและอวิ๋นเยียนหลี คนอื่นล้วนถูกกั้นไว้ด้านนอกเขตแดน

เขตแดนนั้นเป็นสีขาวเลือนราง ทำให้คนมองทะลุได้

เพียงแต่ชาวบ้านที่ต้องการความปลอดภัยยังคงไม่วางใจนัก ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงมองอยู่ไกลๆ

มีเพียงกู้ซีจิ่วรวมถึงพวกเฟิงหรูฮั่วเหล่าองครักษ์จากอาณาจักรมารที่อยู่ใกล้ๆ เขตแดน

แน่นอน เจ้าวังน้อยก็เฝ้าอยู่นอกเขตแดนอย่างใกล้ชิดเช่นกัน

อวิ๋นเยียนหลีเหลือบมองด้านนอกแวบหนึ่ง ความโศกศัลย์พาดผ่านนัยน์ตาแวบหนึ่ง

คนที่คอยเฝ้าอยู่ใกล้ๆ ล้วนเป็นคนที่ห่วงใยกันอย่างแท้จริง ผู้ที่ห่วงใยตี้ฝูอีมีกว่าสิบคน แต่ผู้ที่ห่วงใยเขามีเพียงเจ้าวังน้อยคนเดียว…

บนร่างของเขายังคงสวมชุดเจ้าบ่าวอยู่ เดิมทีเป็นสีสันที่เร่าร้อนคึกคัก แต่ยามนี้พบว่าชุดที่สวมอยู่บนร่างของเขากลับทำให้คนรู้สึกถึงความโดดเดี่ยวอ้างว้าง

เขาลำบากลำบนไปเพื่อใคร วุ่นวายไปเพื่อใครเล่า คนที่เขารักล้วนไม่เคยรักเขาเลย ถึงแม้เขาจะเตรียมงานวิวาห์นี้เพื่อเป็น ‘เหยื่อล่อ’ แต่เขาก็คิดจะแต่งงานกับนางจริงๆ อยากมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้นาง…

ทุกอย่างล้วนจัดเตรียมอย่างใส่ใจ ยามนี้กลับเป็นเพียงเรื่องน่าขบขันประการหนึ่ง

เขาเหลือบมองกู้ซีจิ่วแวบหนึ่ง ตี้ฝูอีช่วยให้นางกลับคืนสภาพเดิมแล้ว ยามนี้สายตานางล้วนจับอยู่ที่ร่างตี้ฝูอี แววตาล้วนเต็มไปด้วยเขา ไม่เหลือที่ไว้ให้ใครอีก…

อวิ๋นเยียนหลีสูดลมหายใจนิดๆ บางทีเขาควรจะตื่นจากความฝันนี้ได้แล้วจริงๆ! ความรู้สึกนี้เขาก็ควรปล่อยวางอย่างสมบูรณ์ได้แล้ว…

เขาเชิดหน้าหัวเราะ

“ตี้ฝูอี พวกเราไม่ตายไม่เลิกรา!”

พลันเหินกายขึ้น พุ่งเข้าใส่ตี้ฝูอี!

ทั้งสองลงมือในชั่วพริบตา…

….

กู้ซีจิ่วยืนอยู่ด้านนอก มองสองคนนั้นต่อสู้กัน ทั้งสองล้วนเคลื่อนไหวว่องไวยิ่งนัก กระต่ายโจนเหยี่ยวโฉบ เงาร่างดุจกระแสไฟฟ้า ต่างปลดปล่อยแสงทักษะยุทธ์วาดเฉือนผ่านนภาเป็นครั้งคราว ทำให้สายตาคนพร่าลาย

กู้ซีจิ่วยังคงคุ้นเคยกับวิชายุทธ์ของตี้ฝูอียิ่งนัก ถึงอย่างไรก็อยู่ร่วมกันมาเนิ่นนานปานนั้น ดังนั้นหลังจากเธอดูไปไม่กี่ท่าก็วางใจแล้ว วรยุทธ์ส่วนใหญ่ของตี้ฝูอีล้วนกลับคืนมาแล้ว!

แถมในวรยุทธ์ของเขาปรากฏทักษะยุทธ์ที่เขาร่ำเรียนยามเป็นราชันมารไว้มากมายด้วย ถูกเขาผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างยอดเยี่ยม เมื่อขับร่ายขึ้นมาดุจเมฆาเคลื่อนคล้อยธาราไหลริน น่าตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง

เขาไม่ได้จงใจแสดงท่วงท่าที่น่ามองออกมาในระหว่างต่อสู้ แต่เมื่อกระบวนท่าธรรมดาถูกสำแดงออกมาโดยเขา จะให้ความรู้สึกพลิ้วไหวดุจสายลม