ตอนที่ 1846 ทีมลอบสังหาร

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1846 ทีมลอบสังหาร

ในวันนั้น เหล่าขุนนางและชนชั้นสูงของเผ่าพันธุ์ปีศาจต่างรวมตัวกันอยู่ในเมืองหลวงเพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีสถาปนาอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ ถนนหนทางภายในเมืองหลวงกว้างใหญ่คลาคล่ำไปด้วยผู้คน เกิดเสียงอื้ออึงเซ็งแซ่ไปทั่ว

ผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธสูงจนยากจะหยั่งถึงเดินไปมาตามสองข้างทางเป็นระยะๆ ทำให้นักรบระดับเซียนขั้น 9 ต้องตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว พวกเขาคือนักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ของเผ่าพันธุ์ปีศาจ

ผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นมักได้ครอบครองดินแดนที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ซึ่งไม่มีใครกล้าต่อต้าน อำนาจการปกครองของพวกเขา แต่ในเมืองหลวง พวกเขาไม่กล้าทำอะไรล้ำเส้น อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ได้ปราบปรามฝ่ายต่อต้านจนราบคาบและรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวแล้ว ทั้งกลุ่มอำนาจใหญ่ๆและเหล่าผู้เชี่ยวชาญชั้นนำล้วนแต่ยอมจำนนให้เขา

หากใครกล้าสร้างความปั่นป่วน…ก็อาจพบว่าบุคคลที่ยืนอยู่ถัดไปจากเขาอาจเป็นนักปราชญ์โบราณที่ใครๆหวาดกลัวซึ่งได้ยอมจำนนให้กับอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่แล้วก็ได้

“อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่เป็นนักรบที่ไร้เทียมทานที่สุดเท่าที่มีมาในประวัติศาสตร์ของเผ่าพันธุ์ปีศาจของเรา ในตอนนั้น ทั้งอำมาตย์เฉินหลิงและอำมาตย์เฉินชิงได้ร่วมมือกับเผ่าพันธุ์มนุษย์เพื่อทำร้ายอำมาตย์เฉินหย่งคนเก่า…เพื่อแก้แค้นให้บรรพบุรุษของเขา อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ได้เผชิญหน้ากับอีก 2 อำมาตย์ที่เหลือ ซึ่งไม่เพียงแต่จะทำลายแผนการของทั้งคู่ เขายังเล่นงานเทพเจ้าที่มาจากมิติเบื้องบนได้ภายในกระบวนท่าเดียว ทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังอย่างน่าทึ่ง!”

ตามถนนหนทาง นักเล่านิทานที่กำลังโบกพัดในมือสาธยายวีรกรรมของอำมาตย์เฉินหลงคนใหม่อย่างออกรสออกชาติ

“เดี๋ยวก่อน เรื่องเล่าของคุณดูเหมือนจะมีบางอย่างผิดพลาดนะ ไม่ใช่หรือ? ผมอยู่ในการสู้รบครั้งใหญ่ที่เมืองหลวงเมื่อ 1 เดือนก่อน และเห็นกับตาเลยว่าตอนนั้นอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่เป็นแค่นักรบระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีทางที่เขาจะขัดขวางการต่อสู้ของผู้เชี่ยวชาญระดับนั้นได้หรอก เป็นนักปราชญ์โบราณนิรนามคนหนึ่งต่างหากที่ยืนหยัดและสังหารเทพเจ้าได้สำเร็จ!” นักรบที่บังเอิญผ่านมาคนหนึ่งทักท้วง

การสู้รบครั้งใหญ่ผ่านไปกว่า 1 เดือนแล้ว และผู้คนมากมายในเมืองหลวงก็ได้เห็นภาพนั้นกับตา สิ่งที่พวกเขาเห็นต่างจากสิ่งที่นักเล่านิทานสาธยายมาก

นักเล่านิทานยกย่องสรรเสริญวีรกรรมและความสำเร็จของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ แต่ทุกคนที่ได้เห็นการสู้รบกับตารู้ดีว่าผู้ที่โดดเด่นที่สุดและยืนหยัดตลอดการต่อสู้ครั้งนั้นไม่ใช่อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ แต่เป็นนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน

เมื่อถูกผู้ฟังทักท้วง นักเล่านิทานถามยิ้มๆ “แล้วคุณรู้ไหมว่านักปราชญ์โบราณนิรนามผู้นั้นเป็นใคร?”

“ผม…ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน!” นักรบที่เดินทางผ่านมาตอบพร้อมกับส่ายหน้า

ผู้ฟังคนอื่นๆพากันสับสนเล็กน้อย

“ชายผู้นั้นไม่เคยบอกชื่อของเขา อันที่จริง เขายังไม่ปรากฏตัวอีกเลยด้วยซ้ำนับจากวันนั้น หรือว่าคุณรู้ว่าเขาเป็นใคร?”ผู้ฟังคนหนึ่งตั้งคำถาม

ได้ยินคำนั้น ทุกคนต่างหูผึ่ง

ผู้คนทั่วทั้งเมืองหลวงล้วนแต่อยากรู้อยากเห็นว่าผู้เชี่ยวชาญนิรนามผู้นั้นเป็นใคร มันเป็นเรื่องราวที่สร้างความสงสัยซึ่งไม่อาจบรรเทาได้จนกว่าจะได้รู้จักภูมิหลังของนักรบลึกลับผู้นั้น

“แน่นอนว่าผมรู้!”

เมื่อเห็นว่าดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้แล้ว นักเล่านิทานหัวเราะหึๆก่อนจะลูบเคราอย่างลิงโลด เขาใช้นิ้วเคาะขันทองแดงที่อยู่ตรงหน้าราวกับกำลังพยายามบอกใบ้อะไรบางอย่าง

“บอกพวกเรามาเถอะ!”

ชายร่างอ้วนที่สวมผ้าคลุมหน้าสะบัดข้อมือและโยนเหรียญหย่ง 2-3 เหรียญลงไปในขันทองแดง เหรียญกระทบกันเกิดเสียงกรุ๋งกริ๋ง

นัยน์ตาของนักเล่านิทานเบิกกว้างเมื่อเห็นเงิน เขารีบเก็บเหรียญหย่งเหล่านั้นเข้าไปในแขนเสื้อ ก่อนจะโน้มตัวเข้ามาพร้อมกับลดเสียงลง “ว่ากันว่านักปราชญ์โบราณลึกลับผู้นั้นเป็นผู้ให้คำชี้แนะของอำมาตย์เฉินหย่ง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญที่เคยเข้าสู่การปลีกวิเวกเป็นเวลานาน เพราะคำชี้แนะของเขาที่ทำให้อำมาตย์เฉินหย่งสร้างวีรกรรมอันน่าทึ่งในการรวบรวมพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียวได้แม้จะอายุยังน้อย ไม่เพียงเท่านั้น ว่ากันว่านักปราชญ์โบราณลึกลับผู้นี้มีความสามารถแม้กระทั่งทำให้นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงยอมจำนน รวมถึงนักปราชญ์โบราณโม่หลิงด้วย นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมทั้งสองจึงยินยอมพลีชีพเพื่อปกป้องอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่…”

“อาจารย์ของอำมาตย์เฉินหย่งหรือ?”

“คุณแน่ใจใช่ไหมว่ารู้เรื่องที่ตัวเองกำลังพูด?” อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่น่ะได้รับมรดกตกทอดจากอำมาตย์เฉินหย่งคนเก่านะ เพราะฉะนั้นผู้ให้คำชี้แนะของเขาก็ควรจะเป็นอำมาตย์เฉินหย่งคนเก่าไม่ใช่หรือ?”

ผู้ฟังบางคนแสดงความแคลงใจในเรื่องเล่าของนักเล่านิทาน

“แน่นอนว่าไม่! อำมาตย์เฉินหย่งคนเก่าไร้เทียมทานมากก็จริง เรื่องนั้นปฏิเสธไม่ได้ แต่เขาก็ยังมีคุณสมบัติไม่เพียงพอที่จะได้เป็นอาจารย์ของอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่ อันที่จริง ผมได้ยินว่าแม้กระทั่งอำมาตย์เฉินหย่งคนเก่าก็ยังก็ยังต้องโค้งคำนับและเรียกขานบุคคลผู้นั้นด้วยความเคารพว่า ‘นายน้อย’!” นักเล่านิทานพูดต่อ

“ขนาดอำมาตย์เฉินหย่งคนเก่าก็ยังเรียกเขาว่านายน้อยหรือ? คุณโม้หรือเปล่า? หรือจะบอกว่านักปราชญ์โบราณลึกลับผู้นั้นก็เป็นเทพเจ้าเหมือนกัน?” ชายร่างอ้วนที่สวมผ้าคลุมหน้าคำรามเยาะ

“เขาเป็นเทพเจ้าแน่นอน! ถ้าเขาไม่ใช่เทพเจ้า จะสังหารเทพเจ้าที่มาจากมิติเบื้องบนอย่างง่ายดายแบบนั้นได้อย่างไร?” นักเล่านิทานตอบตามข้อเท็จจริง “หลายหมื่นปีที่ผ่านมา นอกจากไอ้โหดแห่งเผ่าพันธุ์จิตวิญญาณของพวกเราและปรมาจารย์ขงของเผ่าพันธุ์มนุษย์ คุณเคยได้ยินหรือว่ามีใครที่มีพละกำลังขนาดนี้?”

ทุกคนต่างไม่รู้จะพูดอะไร

เทพเจ้า

ลำพังชื่อก็เป็นสัญลักษณ์ของความไร้เทียมทานแล้ว

ตลอดระยะเวลาแห่งประวัติศาสตร์ของทวีปแห่งปรมาจารย์ มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่สามารถสังหารเทพเจ้า แต่แล้วจู่ๆนักปราชญ์โบราณคนหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นในยุคสมัยของพวกเขาและสังหารเทพเจ้าองค์หนึ่งได้อย่างง่ายดาย…ยากที่จะเชื่อว่าอีกฝ่ายไม่ได้เป็นเทพเจ้าเหมือนกัน!

“เพราะอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่เป็นศิษย์สายตรงของเทพเจ้า เขาจึงสามารถรวบรวมเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราให้เป็นหนึ่งเดียวกันได้ เขาคือบุรุษที่ได้รับมอบหมายภารกิจจากสวรรค์ เทพเจ้ากำลังเข้าข้างเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราแล้ว เมื่อมีผู้นำแบบนี้ เผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณก็มีแต่จะเจริญรุ่งเรืองขึ้นเรื่อยๆ!” นักเล่านิทานใส่อารมณ์มากขึ้นในทุกคำพูด

“ก็จริง ถือเป็นเกียรติที่ได้มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยเดียวกันกับอำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่”

“ความยิ่งใหญ่และเจริญรุ่งเรืองกำลังรอคอยเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณของพวกเราอยู่…”

“นี่คือช่วงเวลาของพวกเรา ยุคสมัยของพวกเรา!”

…..

ผู้ฟังพากันตัวสั่นด้วยความตื่นเต้นหลังจากได้ยินคำพูดนั้น

“เฮ่ออออ! พวกคุณพูดพล่ามอะไรกันอยู่น่ะ ผมว่าคุณจงใจแต่งเรื่องเพื่อล่อลวงคนพวกนั้น ภายใต้การชี้นำของ…” ชายร่างอ้วนคำราม

แต่พูดไปได้เพียงครึ่งประโยค ก็รู้สึกว่ามีใครกระตุกชายเสื้อ

เขาขมวดคิ้วแล้วหันกลับไป เห็นสาวน้อยร่างสูงอ้อนแอ้นคนหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าเรียบๆไม่สะดุดตา “กลับกันเถอะ”

ชายร่างอ้วนชะงัก รีบคีบเนื้อชิ้นสุดท้ายเข้าปากก่อนจะซักถามอีกฝ่าย “ทำไมล่ะ? รอเดี๋ยวสิ ผมมาหาข่าวที่นี่ ไม่ได้มากิน ขอเวลาอีกเดี๋ยว…”

สิ่งที่เขาต้องเผชิญหลังจากนั้นคือน้ำเสียงเย็นเยียบของสาวน้อย “ศิษย์พี่บอกฉันให้มาตามคุณกลับไป ถ้าไม่กลับล่ะก็ ให้คุณอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต!”

“….”

ชายร่างอ้วนตัวสั่นเล็กน้อยด้วยความหวาดกลัวก่อนจะรีบหัวเราะกลบเกลื่อน “คุณพูดอะไรน่ะ ผมน่ะหรือจะกล้าขัดคำสั่งของศิษย์พี่? รีบไปกันเถอะ ปล่อยให้ศิษย์พี่รอนานจะไม่ดี…”

แล้วทั้งสองก็ออกเดิน ภายใต้การนำของสาวน้อย พวกเขาเดินลัดเลาะผ่านตรอกซอกซอยมากมาย ก่อนจะมาหยุดที่ลานบ้านขนาดเล็ก สาวน้อยผลักประตูที่เปิดออกสู่ลานบ้านและเดินเข้าไป

ที่อยู่เลยทางเข้าไปเล็กน้อยคือห้องที่มีฉนวนปิดสนิท ห้องนั้นถูกปิดตายไว้โดยใช้วิธีการพิเศษมากมาย ไม่ว่าสุ้มเสียงใดๆหรือการรับรู้จิตวิญญาณแบบไหนก็ไม่อาจทะลุเข้าไปหรือเล็ดลอดออกจากห้องนั้นได้

มีหลายคนนั่งอยู่ในห้อง เท่าที่เห็น พวกเขาไม่ใช่เผ่าพันธุ์ปีศาจ แต่เป็นมนุษย์

เมื่อเจอกับการขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดของสาวน้อยที่นั่งอยู่ใจกลางห้อง ชายร่างอ้วนเกาหัวอย่างกระอักกระอ่วนและอธิบาย “ฮ่าฮ่า ผมก็แค่ออกไปหาข่าว…”

“แล้วคุณได้ข่าวอะไรมา? บอกพวกเราบ้างสิ!” ชายหนุ่มที่นั่งอยู่ด้านข้างถามยิ้มๆ ด้านหลังตัวเขามีหอกซึ่งส่งประกายเย็นเยียบวางพิงอยู่กับผนัง

“เอ่อ…ก็ดูเหมือนว่าอำมาตย์เฉินหย่งที่เพิ่งได้รับการแต่งตั้งใหม่จะเป็นคนน่าทึ่งไม่เบา ไม่เพียงแต่จะปราบฝ่ายตรงข้ามได้อย่างราบคาบ ยังจัดการให้นักเล่านิทานทั่วทั้งเมืองหลวงแพร่ข่าวออกไปว่าเขาคือผู้ได้รับมอบหมายภารกิจจากสวรรค์ด้วย ตอนนี้ แทบทุกคนในเมืองหลวงเชื่อว่าเขาคือผู้ที่ได้รับเลือกจากสวรรค์ให้มาเป็นผู้นำเผ่าพันธุ์ปีศาจไปสู่ความยิ่งใหญ่!” ชายร่างอ้วนตอบหลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“ผมได้ยินเรื่องนี้มาเหมือนกัน อำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่เป็นคนเข้มงวดมาก ภายใต้การนำของเขา เผ่าพันธุ์ปีศาจจะต้องเจริญรุ่งเรืองและมีอำนาจมากขึ้น สิ่งนี้จะทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ตกที่นั่งลำบากอย่างเลี่ยงไม่ได้” ชายหนุ่มพูดพร้อมกับขมวดคิ้ว

เขาหันไปตั้งคำถามกับสาวน้อยที่นั่งอยู่ตรงกลาง “ศิษย์พี่ ตอนนี้คุณมีความเห็นอย่างไร?”

“ในเมื่ออำมาตย์เฉินหย่งคนใหม่กำลังจะเข้าพิธีสถาปนา เขาก็ย่อมอยากได้การประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบเพื่อเอาชนะใจและให้ได้รับความจงรักภักดีจากเผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งเผ่า การที่เขาแพร่กระจายข่าวออกไปแบบนั้นก็ไม่ได้เหนือความคาดหมายอะไร” สาวน้อยเคาะนิ้วกับโต๊ะเบาๆ

“แต่ก็อย่างที่เจิ้งหยางพูดนั่นแหละ การรวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวของเผ่าพันธุ์แห่งจิตวิญญาณไม่ส่งผลดีต่อพันธุ์มนุษย์ ดังนั้นพวกเราจึงต้องเริ่มโจมตีก่อน หากเราลอบสังหารเขาระหว่างพิธีสถาปนาได้สำเร็จ ก็จะสามารถสร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ รวมทั้งปลุกปั่นให้เกิดความแตกแยกในหมู่เผ่าพันธุ์ปีศาจได้ ทำให้พวกนั้นแตกฉานซ่านเซ็นไปอย่างที่เคยเป็น!”