ตอนที่ 1845 หนึ่งเดือนต่อมา

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1845 หนึ่งเดือนต่อมา

หัวสมองของเขาดำดิ่งเข้าสู่ร่างของศพอันใหญ่โตนั้น สภาวะจิตของจางเซวียนมั่นคงหนักแน่นขึ้นเรื่อยๆ ผ่านไประยะหนึ่ง จิตวิญญาณของเขาก็กลมกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใต้สำนึก

ผ่านไป 20 วันแล้วนับตั้งแต่เขาเริ่มต้นขัดเกลาศพของเทพเจ้า

ครั้งแรกที่จางเซวียนนำศพของเทพเจ้าออกมา อย่าว่าแต่จะขัดเกลามัน แม้แต่จะใช้จิตวิญญาณ เข้าถึงศพนั้นก็ยังทำได้ยาก แต่หลังจากเพียรพยายามอย่างหนักอยู่หลายวัน ในที่สุดจิตวิญญาณของเขาก็เคลื่อนไหวได้อย่างอิสระภายในศพของเทพเจ้า ทำให้เขาควบคุมมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ

“นักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติช่างไร้เทียมทานเสียจริง พวกเขามีสภาวะพื้นฐานของร่างกายที่แตกต่างจากนักปราชญ์โบราณทั่วไปมาก…”

หลังจากสำรวจและศึกษาอยู่หลายวัน จางเซวียนก็ได้รู้ว่าความแข็งแกร่งของนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิตินั้นไม่ได้มีต้นกำเนิดจากพลังปราณที่เข้มข้นเหนือชั้นหรือจิตวิญญาณที่มีอำนาจ แต่เป็นเพราะกายเนื้ออันทรงพลัง ด้วยกายเนื้อไร้เทียมทานนี้ที่ทำให้พวกเขาสามารถเดินทางผ่านความว่างเปล่าในมิติได้โดยไม่ต้องเผชิญกับความบอบช้ำใดๆ

ในฐานะนักรบที่ฝึกฝนเคล็ดวิชาร่างนวโลหะ ร่างกายของจางเซวียนมีความแข็งแกร่งเทียบเท่ากับของล้ำค่าระดับนักปราชญ์โบราณ แต่ก็ยังห่างชั้นมากหากเปรียบเทียบกับร่างกายของเทพเจ้า

จากการสู้รบครั้งก่อน เขาตกตะลึงที่พบว่าหอกสวรรค์กระดูกมังกรไม่อาจเอาชนะปราการป้องกันตัวที่ทำจากพลังปราณขั้นพื้นฐานของเทพเจ้าได้ แต่หลังจากศึกษาศพของเทพเจ้าอย่างถี่ถ้วน ก็รู้แล้วว่าต่อให้เขาเอาชนะปราการป้องกันตัวที่ทำจากพลังปราณขั้นพื้นฐานของเทพเจ้าได้สำเร็จ ก็ไม่มีทางทะลุผ่านกายเนื้อของอีกฝ่าย หรือพูดอีกอย่างก็คือ เขาไม่มีทางสร้างความบอบช้ำให้กับเทพเจ้าได้เลย

โชคดีที่เขายังเก็บหน้าหนังสือสีทองไว้ ทำให้พลิกผันสถานการณ์ได้ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน ไม่อย่างนั้น ทุกอย่างคงไม่จบลงแบบนี้

“ทางเดินพลังปราณในร่างกายของเทพเจ้าดูจะคล้ายคลึงกับของเรา…”

ข้อสังเกตอีกข้อหนึ่งที่จางเซวียนพบก็คือทางเดินพลังปราณในกายเนื้อของเทพเจ้ามีความซับซ้อนกว่านักรบคนอื่นๆในโลก มันเหมือนกันอย่างมากกับทางเดินพลังปราณในร่างกายของเขาที่ได้รับการปรับเปลี่ยนแล้ว

เครือข่ายพลังปราณรูปแบบนี้จะทำให้นักรบขับเคลื่อนพลังปราณได้เร็วกว่าปกติ นำมาซึ่งประสิทธิภาพการต่อสู้ที่เหนือกว่านักรบทั่วไป

…..

ขั้นตอนสุดท้าย…ซึมซับ!

อีก 7 วันผ่านไป รู้ดีว่าเวลาเริ่มงวดลงทุกที จางเซวียนเตรียมพร้อมสำหรับขั้นตอนสุดท้าย

ฟึ่บ!

เขาขับเคลื่อนจิตวิญญาณเข้าสู่ศพของเทพเจ้าและทำลายกลไกของสัญชาตญาณการป้องกันตัวที่ยังอยู่ในนั้นไปทีละอย่าง

ศพที่มีร่างใหญ่โตค่อยๆลืมตา จางเซวียนพยายามควบคุมมัน ครู่ต่อมา เขาก็รู้สึกได้ถึงพละกำลังไร้ขีดจำกัดที่พวยพุ่งออกจากร่าง

“ต่อให้นักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกก็เสียชีวิตได้ด้วยหมัดเดียว…” จางเซวียนแทบระงับความตื่นเต้นไม่ไหว

เขายังไม่ได้ฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักปราชญ์โบราณ โดยเลือกที่จะกดข่มวรยุทธไว้ที่ขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึก สำหรับนักรบขั้นชั่วกัลปาวสานโลกจารึกคนหนึ่งที่สามารถสังหารนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกได้ด้วยหมัดเดียว…คงไม่มีใครเชื่อว่าเรื่องแบบนี้จะเป็นไปได้จริง!

หลังจากใช้เวลาอีกระยะหนึ่งเพื่อซึมซับพละกำลังมหาศาลจากศพนั้น จางเซวียนก็แทบไม่อยาก ถอดจิตวิญญาณของเขาออกจากศพและกลับสู่ร่างเดิม

“นี่จะเป็นไม้ตายที่ทรงพลังที่สุดของเรานับจากนี้ไป” จางเซวียนพึมพำอย่างตื่นเต้น

ด้วยสิ่งนี้ เขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวอะไรอีกแล้ว!

“นายท่าน ผมซึมซับท่อนขาและเท้าสำเร็จแล้ว สำหรับพละกำลังของผมในตอนนี้ อีกเพียงก้าวเดียวก็จะเข้าถึงวรยุทธขั้นผู้ทำลายล้างมิติ หากได้แรงบันดาลใจที่เหมาะสม ผมคงฝ่าด่านวรยุทธได้สำเร็จ” ไอ้โหดพูด

หลังจากเข้าสู่รังนางพญามด จางเซวียนได้มอบท่อนขาและเท้าให้ไอ้โหด ผ่านไป 1 เดือน ไอ้โหดก็ซึมซับร่างกายท่อนล่างได้อย่างสมบูรณ์ วรยุทธของมันพุ่งพรวดจนเหนือกว่านักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดโลกจารึกโดยทั่วไป

“ผมมีหยดเลือดของเผ่าพันธุ์ปีศาจที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดอยู่ 10 ขวด ซึมซับมันพร้อมกับชุดฟาง แล้วคุณก็จะสร้างเลือดเนื้อขึ้นใหม่ได้และฝ่าด่านวรยุทธไปเป็นนักรบขั้นผู้ทำลายล้างมิติได้สำเร็จ” จางเซวียนพูดขณะยื่นขวดหยกจำนวนหนึ่งให้ไอ้โหด

โชคดีที่เขาเก็บหยดเลือดของนักปราชญ์โบราณไว้ได้มากมายจากการสู้รบ 2-3 ครั้งก่อน มันน่าจะเพียงพอสำหรับการฟื้นคืนวรยุทธของไอ้โหด

“ขอบคุณมาก นายท่าน!” ไอ้โหดตอบอย่างสำนึกในบุญคุณขณะรับขวดหยกไป

เขาตั้งใจจะซึมซับชุดฟางมานานแล้ว แต่พบว่ายังมีพลังงานไม่มากพอที่จะฟื้นคืนพละกำลังให้กับร่างกาย จึงเลือกที่จะรอไปก่อน ตอนนี้เมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เขาก็จะได้ฟื้นคืนพละกำลังอย่างสมบูรณ์แบบเสียที

หลังจากยื่นขวดหยกให้ไอ้โหด จางเซวียนก็ปล่อยอีกฝ่ายไว้ตามลำพัง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ไอ้โหดต้องดำเนินกระบวนการฟื้นฟูวรยุทธและพละกำลังด้วยตัวเอง

จางเซวียนนั่งอยู่กับพื้น เขาเริ่มใคร่ครวญถึงสิ่งที่เพิ่งได้มา ไม่ช้ารังสีของเขาก็ค่อยๆพร่าเลือน เปลี่ยนจากบางอย่างที่มีความเฉียบคม กลายเป็นสิ่งที่เรียบง่ายและดูไม่น่าประทับใจอะไร

ในตอนนี้ ต่อให้ผู้เชี่ยวชาญที่มีวรยุทธขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดก็ไม่อาจมองเห็นพละกำลังที่แท้จริงของเขาได้โดยง่าย

“เมื่อนับรวมทั้งกายเนื้อ พลังปราณ จิตวิญญาณ และตัวโคลนของเรา เราผ่านการทดสอบนักปราชญ์โบราณมาแล้วถึง 4 ครั้ง หากเราอยากฝ่าด่านวรยุทธอีก ก็จะต้องทำความเข้าใจในกฎเกณฑ์ของโลกหรือไม่ก็เข้าถึงทักษะที่เหนือชั้นกว่าเทคนิคเทียบฟ้าให้ได้”

เป็นเพราะทั้งกายเนื้อ พลังปราณ และวรยุทธของจิตวิญญาณของจางเซวียนเข้าถึงระดับที่เทียบเท่ากับนักปราชญ์โบราณแล้ว เขาจึงสามารถต่อสู้กับนักรบขั้นการฟื้นคืนชีพของสายเลือดได้ ทั้งๆที่เป็นแค่นักรบขั้นชั่วกัลปาวสาน

แต่เพียงเท่านั้นก็ยังไม่มากพอสำหรับเขา จางเซวียนเลือกที่จะยังไม่ฝ่าด่านวรยุทธเพราะอยากพัฒนาตัวเองจนเหนือชั้นกว่าสวรรค์ในแง่ของการทำความเข้าใจกฎเกณฑ์ของโลก

เขารู้ดีว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะประสบความสำเร็จเหนือกว่าปรมาจารย์ขงและกลายเป็นสุดยอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์ อย่างน้อยที่สุด เขาจะต้องทำให้ได้อย่างนั้นหากอยากพบหลัวลั่วชิง

“แต่เราจะคิดค้นทักษะที่เหนือชั้นกว่าเทคนิคเทียบฟ้าได้อย่างไร?” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างหมดหวัง

วิธีเดียวที่เขาจะเหนือชั้นกว่าเทคนิคเทียบฟ้าได้ก็คือต้องค้นหาเส้นทางของตัวเองให้เจอ แม้จางเซวียนจะมีความปราดเปรื่องในแบบที่ไม่อาจมีใครเทียบได้ ซึ่งทำให้เขาเชี่ยวชาญเทคนิคใดๆก็ตามได้ภายในชั่วพริบตา แต่การจะสร้างสิ่งใหม่ขึ้นด้วยตัวเองก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ยังไม่ต้องพูดถึงเป้าหมาย ที่ตั้งใจไว้ว่าจะอยู่เหนือคนอื่นๆ

จางเซวียนครุ่นคิดเรื่องเหล่านี้อยู่หลายวัน แต่ก็ไม่มีอะไรผ่านเข้ามาในหัวสมอง ลงท้ายเขาก็ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องออกจากรังนางพญามดและกลับสู่ยอดเขาของภูเขาพันใบด้วยความผิดหวัง

“ลองคิดดู เดือนหนึ่งก็ผ่านไปแล้ว อยากรู้จริงว่าหลิวหยางกับคนอื่นๆทำอะไรอยู่…”

หลังจากใช้เวลากว่า 1 เดือนในการฝึกฝนวรยุทธ จางเซวียนก็รู้สึกว่าร่างกายของเขาออกจะมีสนิมเกาะเล็กน้อย เขาอยากจะไปตรวจสอบว่าลูกศิษย์ของเขาทำอะไรอยู่หลังจากที่เข้ารับตำแหน่งของอำมาตย์เฉินหย่ง ก็พอดีกับที่รู้สึกได้ถึงคลื่นความสั่นสะเทือนที่อยู่ไม่ห่างออกไป จากนั้นสองร่างก็พุ่งเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว

ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากนักปราชญ์โบราณโม่หลิงกับนักปราชญ์โบราณเปลวเพลิง

ตลอด 1 เดือนที่ผ่านมา ทั้งคู่ยกระดับวรยุทธขึ้นได้อีกมาก แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดกว่านั้นก็คือกลิ่นอายของความตายที่ติดตามพวกเขามา แค่มองแวบเดียวก็เห็นชัดว่าทั้งคู่ได้คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายตลอดระยะเวลา 1 เดือน

“พวกเราขอคารวะ!”

ชายคนหนึ่งกับอสูรตัวหนึ่งทรุดตัวลงคุกเข่าด้วยความยำเกรงและและแสดงการคารวะ

“เป็นอย่างไรบ้าง?” จางเซวียนตรงเข้าประเด็น

“นายน้อยประสบความสำเร็จในการกำจัดเสียงต่อต้าน วันนี้เป็นวันที่เขาจะเข้ารับตำแหน่งอำมาตย์เฉินหย่งอย่างเป็นทางการ” นักปราชญ์โบราณเปลวเพลิงพูด

“ขุนน้ำขุนนางเผ่าพันธุ์ปีศาจจากหลายพื้นที่ต่างเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อเป็นสักขีพยานในพิธีสถาปนาของนายน้อย ท่านประธาน…คุณอยากไปดูไหม?” นักปราชญ์โบราณโม่หลิงถามด้วยน้ำเสียงคาดหวัง

“พิธีสถาปนาหรือ? ดีสิ!” จางเซวียนพยักหน้าอย่างพอใจ

ดูเหมือนหลิวหยางจะเติบโตขึ้นแล้วจริงๆ ศิษย์สายตรงของเขารับมือกับเรื่องต่างๆได้อย่างมีเหตุมีผลกว่าที่เขาคิดไว้

แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าหลิวหยางได้รับอำนาจจากอำมาตย์เฉินหย่ง อีกทั้งได้การถ่ายทอดวรยุทธอีกฝ่าย แต่อายุที่ยังน้อยและวรยุทธที่อ่อนด้อยของเขาก็ดูจะสร้างความไม่พอใจในหมู่ชนชั้นนำของเผ่าพันธุ์ปีศาจ ไม่มีทางที่คนเหล่านั้นจะยอมจำนนให้กับชายหนุ่มที่ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวเองได้โดยง่าย

ดังนั้น หากเขารีบร้อนจัดพิธีสถาปนา ไม่เพียงแต่จะไม่ได้สมัครพรรคพวก ยังอาจลงเอยด้วยความล้มเหลวซึ่งจะบั่นทอนอำนาจของเขาลงไป

แต่หลังจากจัดการเสียงต่อต้าน และแน่ใจแล้วว่าไม่มีใครกล้าท้าทายอำนาจของเขาอีก พิธีสถาปนาของหลิวหยางก็จะกลายเป็นแรงบันดาลใจครั้งใหม่ที่รวบรวมเผ่าพันธุ์ปีศาจให้เป็นหนึ่งเดียว ในฐานะอำมาตย์ เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้งเผ่าจะยึดตัวเขาเป็นศูนย์กลาง หลิวหยางจะกลายเป็นศูนย์รวมของพละกำลังและอำนาจที่ไม่มีใครกล้าต่อต้าน

“ในฐานะอาจารย์ของหลิวหยาง ไม่มีทางที่ผมจะยอมพลาดพิธีสถาปนาที่ประกาศศักดาถึงตำแหน่งของเขาในฐานะผู้นำหนึ่งเดียวของเผ่าพันธุ์ปีศาจ…ไปกันเถอะ!” จางเซวียนตอบยิ้มๆ

หลิวหยางมักเดือดร้อนใจกับความไม่มั่นใจในตัวเองเสมอ คิดว่าตัวเองด้อยกว่าบรรดาศิษย์พี่และศิษย์น้อง แต่ในที่สุดเขาก็ทำลายเปลือกของตัวเองได้สำเร็จและได้รับบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ในฐานะอาจารย์ของเขา จางเซวียนยิ่งกว่าภาคภูมิใจ แน่นอนว่าเขาจะต้องไปที่นั่นด้วยตัวเองเพื่อเป็นสักขีพยานกับความให้กับความรุ่งโรจน์ของลูกศิษย์ของเขา