ตอนที่ 630 หลัวหมิงฮ่าว

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ผ้าคลุมสีขาวเปิดออกและร่วงลงพื้นเบา ๆ เผยให้เห็นใบหน้างดงามชวนตะลึงของฉินอวี้โม่

ดวงตาเป็นประกายและซี่ฟันขาวเรียงสวย กอปรกับเครื่องหน้างดงามและพวงแก้มชมพูระเรื่อ หากกล่าวว่าเป็นใบหน้างดงามสะเทือนทั้งใต้หล้าก็ยังไม่เพียงพอที่จะบรรยายรูปลักษณ์ที่น่าทึ่งของนาง

เมื่อเห็นใบหน้าของฉินอวี้โม่อย่างชัดเจน ฝูงชนโดยรอบถึงกับอ้าปากค้างและชะงักนิ่งอยู่กับที่อย่างพูดไม่ออก

เดิมทีผู้ที่ถือว่างดงามที่สุดในชนเผ่าเอลฟ์ก็คือหลัวจื๋อหยิน—ราชินีเอลฟ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับหลัวจื๋อหยิน ฉินอวี้โม่ทั้งเยาว์วัยกว่าและงดงามยิ่งกว่า กลิ่นอายที่เป็นเอกลักษณ์ของนางก็ทำให้ผู้คนมากมายสนใจและหลงใหลได้ง่าย ๆ

หลัวหมิงซีผู้ซึ่งอยู่ตรงหน้าฉินอวี้โม่มีปฏิกิริยาตอบสนองที่รุนแรงกว่าทุกคน ก่อนหน้านี้เขาคิดว่าสั่วซีหย่าเป็นลูกครึ่งเอลฟ์ที่งดงามดึงดูดใจมากแล้ว ไม่คิดเลยว่ารูปลักษณ์ของฉินอวี้โม่จะงดงามยิ่งกว่าสั่วซีหย่าเสียอีก ด้วยใบหน้าที่โดดเด่นเช่นนี้ แม้แต่เขาที่เคยพบสตรีงามมาแล้วนับไม่ถ้วนก็ยังรู้สึกราวกับหัวใจแทบหยุดเต้นไปชั่วขณะ

“ช่างงดงามยิ่งนัก ไม่แปลกใจเลยที่ต้องซ่อนใบหน้าใต้ผ้าคลุม ด้วยใบหน้าเช่นนี้ ไม่ว่าจะย่างกรายไปที่ใด แม่นางคงจะก่อให้เกิดเสียงฮือฮาในทุกหนแห่ง”

ใครคนหนึ่งเรียกสติกลับคืนมาและกล่าวขึ้นเบา ๆ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นโฉมงามจนน่าทึ่งเช่นนี้ เขาสัมผัสได้ถึงความสง่างามสูงส่งของนางอย่างชัดเจน สตรีงดงามอย่างฉินอวี้โม่มิใช่ระดับที่คนธรรมดาอย่างพวกเขาจะคิดปรารถนาได้ นางเป็นดั่งเทพธิดาผู้สูงส่งที่ห่างไกลเกินเอื้อมถึง แม้ในดินแดนเทพมายาก็มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่มีคุณสมบัติพอจะยืนเคียงข้างกายนางได้

“ไม่คิดเลยว่าชนเผ่าเอลฟ์ของเราจะมีสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้อยู่ ข้าไม่เคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของนางมาก่อน นางคงจะเป็นจอมยุทธ์ลับที่เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในผืนป่าบนภูเขา”

ใครอีกคนกระซิบกระซาบเบา ๆ ทั้งชนเผ่าเอลฟ์มีสตรีที่งดงามโดดเด่นไม่มากนักและทั้งหมดล้วนเลื่องชื่อโด่งดังในหมู่เอลฟ์ สำหรับผู้ที่งดงามจนน่าตกตะลึงเช่นฉินอวี้โม่ เว้นเพียงแต่จอมยุทธ์ลับก็ไม่มีความเป็นไปได้อื่นอีก

“ดูเหมือนว่าความแข็งแกร่งของนางจะอยู่เพียงขอบเขตพสุธาเซียนขั้นกลางเท่านั้นและยังห่างกับหลัวหมิงซีอยู่ไม่น้อย ตอนนี้นางก็อยู่ในกำมือของเขาแล้ว เกรงว่าคงลงเอยไม่สวยแน่”

ใครคนหนึ่งกล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลเล็กน้อย เขาไม่อาจทนมองเห็นสตรีงดงามเช่นนี้ถูกรังแกโดยคนชั่วช้าอย่างหลัวหมิงซีได้ เพียงแต่น่าเสียดายที่ทั้งสถานะและความแข็งแกร่งของหลัวหมิงซีล้วนเป็นสิ่งที่คนธรรมดาไม่อาจเอาชนะได้ เพราะเหตุนั้น แม้ว่าจะกังวลใจแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าลงมือทำสิ่งใด ไม่ว่าอย่างไรการทำให้องค์ชายสี่ขุ่นเคืองใจก็มิใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก แม้เป็นห่วงความปลอดภัยของฉินอวี้โม่ พวกเขาก็ไม่กล้ามีปัญหากับหลัวหมิงซีเพราะนาง

ทหารคุ้มกันเมืองขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นรูปลักษณ์ใต้ผ้าคลุมหน้าของฉินอวี้โม่ หลังจากไตร่ตรองครู่หนึ่ง เขาก็ขยิบตาส่งสัญญาณให้กับทหารอีกคนใกล้ตัว บุรุษผู้นั้นเพียงพยักศีรษะเบา ๆ ก่อนเดินออกไปจากบริเวณประตูเมืองโดยไม่กล่าวสิ่งใด

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือสังเกตเห็นการจากไปของทหารคนนั้นทว่าไม่กล่าวสิ่งใดออกมา ทั้งสองอยากทราบเช่นกันว่าคนผู้นั้นคิดจะทำสิ่งใด

“จิ๊จิ๊จิ๊ วันนี้ข้าองค์ชายสี่ช่างโชคดีจริง ๆที่ ได้พบสตรีงดงามชวนตะลึงทั้งสอง แม่นาง…ไม่ง่ายเลยที่ข้าจะมีความสุขเช่นนี้ เจ้าทั้งสองกลับไปที่จวนของข้าจะดีกว่า ข้าจะยกเว้นพวกเจ้าทั้งสองให้เป็นกรณีพิเศษและจะแต่งตั้งเจ้าทั้งสองให้เป็นสนมของข้า”

หลัวหมิงซีเรียกสติกลับคืนมาได้เช่นกันและมองฉินอวี้โม่อย่างไม่วางตา แสดงให้เห็นถึงความปรารถนาอย่างชัดเจน หากพาตัวสตรีงดงามผู้นี้กลับไปได้ เขาจะมีความสุขอย่างยิ่ง

เมื่อเปรียบเทียบกัน สตรีมากมายในจวนที่เขาเคยคิดว่างดงาม เวลานี้พวกนางเหล่านั้นกลับดูธรรมดาไปเสียแล้วและเทียบชั้นโฉมนารีตรงหน้าเขาในตอนนี้ไม่ได้เลยสักนิด !

“หึ องค์ชายสี่ ท่านแน่ใจรึ ?”

ฉินอวี้โม่ยกยิ้มมุมปากและมององค์ชายสี่ตรงหน้า

มุมปากที่ยกเป็นรอยยิ้มน้อย ๆ ของนางดูเย้ายวนดึงดูดใจมากยิ่งขึ้น หลัวหมิงซีจึงยื่นมือออกไปอย่างไม่อาจควบคุมหมายจะสัมผัสใบหน้าของฉินอวี้โม่

โฉมงามผู้มีใบหน้าดึงดูดใจเช่นนี้ ทำให้เขาต้องการคว้าเข้ามาอยู่ในอ้อมแขนและเอาอกเอาใจอย่างเต็มที่จริง ๆ

“อ๊ากกก !”

ทันใดนั้น เสียงร้องลั่นก็ดังขึ้น จู่ ๆ มือของหลัวหมิงซีที่ยังไม่ทันแตะถึงใบหน้าของฉินอวี้โม่ก็โค้งลงราวกับกระดูกหักอย่างกะทันหันและห้อยลงอย่างไม่อาจควบคุม

หานโม่ฉือเดินตรงเข้าไปขวางหน้าฉินอวี้โม่อย่างช้า ๆ เพื่อพยายามบดบังนางจากสายตาของหลัวหมิงซีและทุกคน

บุรุษใจชั่วผู้นี้คิดที่จะแตะต้องลวนลามโม่เอ๋อร์ของเขา ช่างเป็นการกระทำที่รนหาที่ตายสิ้นดี หากมิใช่เพราะโม่เอ๋อร์ของเขามีแผนการบางอย่างอยู่ในใจ เขาก็คงส่งหลัวหมิงซีผู้นี้ไปโลกอื่นเสียนานแล้ว !

ฉินอวี้โม่ซึ่งยืนอยู่หลังหานโม่ฉือแลบลิ้นอย่างสาแก่ใจ ต่อให้หานโม่ฉือไม่ลงมือทำอะไรเมื่อครู่นี้ นางก็ต้องหลีกเลี่ยงจากมืออันน่ารังเกียจของคนผู้นี้อยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การที่บุรุษของนางแสดงท่าทีหึงหวงออกมา นั่นก็ทำให้ฉินอวี้โม่พึงพอใจยิ่งนัก

“เจ้ากล้าทำร้ายองค์ชายผู้นี้รึ ?!”

หลัวหมิงซีพยายามหยุดความเจ็บปวดและจ้องหน้าหานโม่ฉืออย่างเกรี้ยวกราดพร้อมแผ่จิตสังหารอย่างเปิดเผย

ทว่าเมื่อเห็นรูปลักษณ์ของหานโม่ฉืออย่างชัดเจน หลัวหมิงซีก็ชะงักไปเล็กน้อยทันทีและจิตสังหารที่แผ่ออกไปรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

บุรุษผู้นี้หล่อเหลายิ่งกว่าตัวเขาเสียอีก ปกติแล้วหลัวหมิงซีก็ถือเป็นบุรุษที่มีรูปลักษณ์หล่อเหลาไม่น้อยคนหนึ่ง ทว่าเมื่อเปรียบเทียบกับหานโม่ฉือ เขากลับกลายเป็นเพียงบุรุษหน้าตาธรรมดาไม่มีสิ่งใดโดดเด่น แม้ว่าองค์ชายสี่จะโปรดปรานและชื่นชอบในความงาม ทว่าเขาก็ชิงชังบุรุษทุกคนที่รูปงามกว่าตนเอง เมื่อพบหน้าหานโม่ฉือในตอนนี้ แน่นอนว่าเขาต้องการกำจัดให้ได้โดยเร็วที่สุด !

“ไสหัวไปซะ !”

หานโม่ฉือกล่าวอย่างเย็นชา ครานี้ถือว่าเขาปรานีมากแล้ว มิฉะนั้นหลัวหมิงซีผู้นี้คงไม่มีโอกาสยืนกล่าววาจาน่ารำคาญเช่นนี้ได้

“เจ้า…”

เมื่อสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่แผ่มาจากร่างของหานโม่ฉืออย่างกะทันหัน หลัวหมิงซีก็ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ เวลานี้จิตสังหารอันแรงกล้าจากหานโม่ฉือรุนแรงจนทำให้เขาแทบทรุดล้มลงพื้น เพียงแต่มันหายไปอย่างรวดเร็วจนเขารู้สึกว่ามันอาจเป็นเพียงภาพลวงตา

“ข้าคือองค์ชายสี่แห่งชนเผ่าเอลฟ์ หากเจ้ากล้าท้าทายข้าละก็ นั่นคือการขุดหลุมฝังศพตัวเอง !”

หลัวหมิงซีกล่าววาจาเสียงดังฟังชัดราวกับกำลังสร้างความฮึกเหิมให้กับตนเอง เขาเป็นถึงองค์ชายสี่ผู้ทรงเกียรติของชนเผ่าเอลฟ์ทว่าคนทั้งสามตรงหน้ากลับไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย

“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกข้างั้นรึ ?”

ฉินอวี้โม่คลี่ยิ้มบาง ๆ และกล่าวด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย เมื่อครู่นางฉวยโอกาสตอนที่หลัวหมิงซีประมาทและทำบางอย่างกับร่างกายของเขา คาดว่าอีกไม่นานเขาจะประสบกับความน่าสะพรึงกลัวของ ‘สิ่งนั้น’ และเขาจะได้ชดใช้อย่างสาสม

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หลัวหมิงซีก็ตระหนักได้ทันทีว่าคนทั้งสามนี้มิได้เกรงกลัวสถานะของเขาแม้แต่น้อย

“พวกเจ้าจะไม่มีทางได้ไปไหนทั้งนั้น จับตัวทั้งสามคนนี้ไว้ องค์ชายผู้นี้จะต้องสั่งสอนให้พวกเขารู้สำนึกว่าชะตากรรมของผู้ที่คิดหยามหน้าข้าเป็นอย่างไร !”

หลัวหมิงซีกัดฟันกรอดและกล่าวออกไป เขาจะต้องจับตัวคนทั้งสามกลับไปให้จงได้ สำหรับบุรุษ เขาจะเฉือนร่างให้กลายเป็นพัน ๆ ชิ้นแล้วโยนให้สุนัขกิน ส่วนสตรีงามทั้งสองจะกลายเป็นของเล่นให้เขาทรมานย่ำยีไปตลอดทั้งชีวิต

อย่างไรก็ตาม ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและสั่วซีหย่าไม่หวาดหวั่นแม้แต่น้อย พวกนางไม่ได้เห็นเหล่าผู้พิทักษ์ติดตามหลัวหมิงซีอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ ต่อให้มีคนติดตามมามากกว่านี้ พวกนางก็เอาตัวรอดได้ไม่ยาก

เหล่าผู้ติดตามรับคำสั่งของหลัวหมิงซีและไม่รอช้าขณะเตรียมพุ่งตรงเข้าหาฉินอวี้โม่ทันที อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะทำสิ่งใด พวกเขาก็ได้ยินเสียงตะโกนที่หนักแน่นดังขึ้น

“หยุดเดี๋ยวนี้ !”

เสียงดังกล่าวดังมาจากทิศทางของตัวเมือง จากนั้นทุกคนก็มองเห็นบุรุษหนุ่มรูปงามคนหนึ่งที่เดินตรงมาที่ประตูเมือง ข้างกายเขามีผู้ติดตามหลายคนและหนึ่งในนั้นคือทหารคุ้มกันเมืองที่จากไปเมื่อครู่

บุรุษผู้มาใหม่มีส่วนคล้ายคลึงกับหลัวหมิงซีอยู่พอสมควรทว่าเขาดูเยาว์วัยและดูน่าคบหามากกว่า

“พี่สี่ ดูเหมือนท่านจะมาโอ้อวดวางอำนาจในอาณาเขตของข้าอีกแล้ว !”

แน่นอนว่าบุรุษผู้นั้นคือหลัวหมิงฮ่าว—องค์ชายห้าผู้ซึ่งเป็นผู้ปกครองของเผ่าอู๋เหวยและเมืองอู๋ซี อายุของเขาไล่เลี่ยกับหานโม่ฉือ ถึงแม้ความแข็งแกร่งและพรสวรรค์ของเขาจะไม่ยอดเยี่ยมเท่าหานโม่ฉือ แต่เขาก็ถือว่าเป็นยอดฝีมือที่แกร่งกล้าคนหนึ่ง หากเทียบกับหลัวหมิงซี เขานั้นแข็งแกร่งกว่ามาก

ยิ่งไปกว่านั้น ชื่อเสียงของเขาในหมู่เอลฟ์ก็ถือว่าดีกว่าเช่นกัน เพียงแต่เขาไม่สนใจในพลังอำนาจมากนัก เขามักที่จะปกครองดูแลอาณาเขตในความรับผิดชอบของตนเองและไม่มีส่วนร่วมกับเรื่องอื่น ๆ ของชนเผ่า

เพียงแต่ก่อนหน้านี้ในขณะที่เขากำลังรับประทานอาหารอยู่ที่โรงเตี๊ยมในเมืองอู๋ซี เขาก็ได้ยินว่าเกิดเรื่องฮือฮาน่าตื่นเต้นที่หน้าประตูเมือง หลังจากเพ่งมองจากระยะไกล เขาก็มองเห็นฉินอวี้โม่และหลัวหมิงซีได้อย่างเลือนราง

หลังจากสังเกตการณ์อยู่ครู่ใหญ่และเห็นว่าทั้งสามไม่ยอมอ่อนข้อให้กับหลัวหมิงซีแม้แต่น้อย เขาก็รู้สึกพึงพอใจขึ้นมา สำหรับพี่สี่ผู้นี้ เขาไม่เคยชอบหน้าเลยสักนิด หากมิใช่เพราะเขาไม่ต้องการมีเรื่องบาดหมางใหญ่โต เขาก็คงไม่ปล่อยให้พี่ชายเหยียบเข้ามาในอาณาบริเวณของเมืองอู๋ซีอย่างแน่นอน

ตอนที่ทหารผู้นั้นเข้ามารายงานเขาเมื่อครู่ เขาก็กำลังเดินมุ่งหน้ามาที่นี่อยู่แล้ว ผู้มาเยือนทั้งสามคนน่าสนใจอย่างยิ่งและรู้สึกได้ว่าทั้งสามจะต้องไม่ธรรมดาแน่ เขาจึงมีความคิดที่ผูกมิตรกับคนเหล่านี้

ทว่าองค์ชายสี่กลับต้องการหาเรื่องสร้างปัญหาให้กับคนเหล่านี้ แน่นอนว่าเขาไม่ยอมให้เกิดขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น สั่วซีหย่าก็มีบางอย่างที่ทำให้เขารู้สึกคุ้นเคยเล็กน้อยราวกับเคยพบกันมาก่อน สิ่งนี้ทำให้ความสงสัยใคร่รู้ของหลัวหมิงฮ่าวพลุ่งพล่านมากขึ้นและต้องการหารือสนทนากับคนทั้งสามให้จงได้

เมื่อได้ยินเสียงของหลัวหมิงฮ่าว เหล่าผู้พิทักษ์ที่กำลังจะโจมตีกลุ่มของฉินอวี้โม่ก็หยุดชะงักไปทันทีและรอคำสั่งต่อไปของหลัวหมิงซี

แม้พวกเขาจะทราบดีอยู่แล้วว่าหลัวหมิงซีไม่เคยเห็นน้องห้าอยู่ในสายตาและเมื่อเทียบกับทายาทคนอื่น ๆ ของราชินีเอลฟ์ หลัวหมิงฮ่าวก็ไม่ได้ถือว่ามีอำนาจมากนัก อย่างไรก็ตาม หลัวหมิงฮ่าวก็เป็นถึงองค์ชายห้าและที่นี่เป็นอาณาเขตในการปกครองของเขา เพราะเหตุนั้นพวกเขาจึงต้องหวาดหวั่นใจเล็กน้อย

เมื่อได้ยินวาจาของหลัวหมิงฮ่าว หลัวหมิงซีก็ขมวดคิ้วมุ่นทันทีและกล่าวอย่างเย็นชา “น้องห้าควรจะอยู่ในเผ่ามิใช่รึ ? เจ้าออกมาทำอะไรในเมืองอู๋ซีแห่งนี้ ?”

น้ำเสียงของเขาเจือความเหยียดหยามอย่างชัดเจนและไม่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดหรือสนิทสนมกับน้องห้าของตนแม้แต่น้อยราวกับมิใช่พี่น้องกันด้วยซ้ำ

เมื่อครู่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเตรียมลงมือทำอะไรสักอย่าง ทว่าเมื่อเห็นหลัวหมิงฮ่าวที่ปรากฏตัวอย่างกะทันหัน ทั้งสองจึงหยุดการเคลื่อนไหวของตน ทั้งสองและสั่วซีหย่ามาที่นี่เพื่อพบกับหลัวหมิงฮ่าวผู้นี้ ตอนนี้พวกนางก็จะได้เห็นแล้วว่าคนผู้นี้คู่ควรแก่มิตรภาพและการร่วมมือหรือไม่

หลัวหมิงฮ่าวยิ้มให้กับคนทั้งสามและพยักศีรษะทักทาย จากนั้นสายตาของเขาก็เลื่อนไปที่หลัวหมิงซีและกล่าวออกไป “พี่สี่เดินทางมาไกลกว่าจะถึงเมืองอู๋ซี ข้าจะไม่ออกมาต้อนรับได้อย่างไรเล่า ? หากไม่มาที่นี่ ข้าก็คงจะไม่ได้เห็นความสง่างามและความทรงเกียรติของพี่สี่เช่นนี้ !”

เขาจงใจกล่าวคำว่า ‘สง่างาม’ และ ‘ทรงเกียรติ’ อย่างชัดถ้อยชัดคำและมิได้ปกปิดความเย้ยหยันที่เจือในน้ำเสียงแม้แต่น้อย

.