ตอนที่ 631 ปกป้องภรรยาสุดชีวิต

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ในเวลานี้ บริเวณประตูเมืองอู๋ซีเต็มไปด้วยเสียงฮือฮาและความตื่นเต้น

เนื่องจากการปรากฏตัวของหลัวหมิงฮ่าว หลัวหมิงซีและกลุ่มของฉินอวี้โม่ เวลานี้มันจึงดึงดูดความสนใจของผู้ที่สัญจรผ่านไปมามากมาย อีกทั้งใบหน้าที่งดงามโดดเด่นของฉินอวี้โม่ก็ยังสะกดสายตาพวกเขาได้ง่ายดาย

หลังจากเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น หลายคนก็แสดงสีหน้าชื่นชมต่อฉินอวี้โม่ทันที ไม่เพียงแต่แม่นางผู้นี้จะงดงามมากเท่านั้น ทว่ายังมีความอาจหาญไม่เกรงกลัวซึ่งเป็นคุณสมบัติที่พบได้ยากในสตรีคนอื่น ๆ

“น้องห้า นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร ?!”

แน่นอนว่าหลัวหมิงซีรับรู้ถึงความประชดประชันในวาจาของหลัวหมิงฮ่าวได้ สายตาของเขามองตรงไปที่น้องชายอย่างเย็นชาพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงจิตสังหารไม่น้อย

เขาไม่เคยชอบหน้าน้องห้าของตนมาโดยตลอด ยิ่งไปกว่านั้น การที่องค์ชายห้าผู้นี้ปกครองเผ่าอู๋เหวยอยู่ แม้เผ่าของเขาจะไม่สุงสิงกับเรื่องภายนอกนัก ทว่ามันก็ทำให้พวกเขาหวาดหวั่นไม่น้อยเช่นกัน หลัวหมิงซีและคนอื่น ๆ เคยพยายามควบคุมหลัวหมิงฮ่าวและเผ่าอู๋เหวยหลายคราทว่าก็ต้องล้มเหลวเพราะสาเหตุบางอย่างทุกครั้งไป

“พี่ชายของข้า ที่นี่คืออาณาเขตของเผ่าอู๋เหวย ข้าทราบดีว่ากิจวัตรประจำวันของท่านเป็นอย่างไรและข้าก็ไม่สนใจเลยสักนิด อย่างไรก็ตาม ในเมื่อท่านเหยียบเข้ามาในอาณาเขตของข้า ท่านก็ต้องปฏิบัติตามกฎของที่นี่ หากท่านต้องการวางท่าใหญ่โตและกดข่มผู้อื่น เชิญท่านกลับไปที่อาณาเขตของท่านเสียเถอะ เผ่าอู๋เหวยของเราไม่มีทางยอมให้ท่านฝ่าฝืนกฎระเบียบของที่นี่แน่”

หลัวหมิงฮ่าวไม่ล้มเลิกเพียงเพราะวาจาของหลัวหมิงซีและเขาไม่เคยชอบหน้าพี่ชายต่างบิดาของตนเช่นกัน หากมิใช่เพราะเขาไม่ต้องการเป็นฝ่ายจุดชนวนสงครามและทำให้มารดาเป็นกังวล เขาก็คงไม่ยอมอดทนอดกลั้นมาตลอดเช่นนี้

เวลานี้ราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อยิน—มารดาของเขายังคงหลับใหลไม่ได้สติและอาณาเขตใกล้ราชวังเอลฟ์ก็อยู่ในการควบคุมของผู้เป็นพี่ใหญ่ ก่อนหน้านี้เขาก็ต้องการเข้าไปพบมารดาหลายครั้งหลายคราทว่ากลับถูกองค์ชายใหญ่ปฏิเสธเสมอมา สิ่งนี้ทำให้หลัวหมิงฮ่าวกังวลใจอย่างมากและนึกสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับราชินีเอลฟ์มารดาของตนหรือไม่

สืบเนื่องจากเหตุการณ์นี้ เขาจึงไม่ต้องการยอมอ่อนข้อให้กับผู้ใดอีก เพราะหากในเวลานี้เขาไม่ลุกขึ้นสู้ แผนการของผู้ที่มีเจตนาร้ายทั้งหมดจะต้องประสบผลสำเร็จอย่างแน่นอน

“หลัวหมิงฮ่าว การที่ข้าไม่ได้พบหน้าเจ้าหลายวัน ดูเหมือนเจ้าจะอาจหาญมากขึ้นทีเดียว !”

ทัศนคติของหลัวหมิงฮ่าวทำให้หลัวหมิงซีหงุดหงิดใจอย่างมาก ตั้งแต่เมื่อใดกันที่น้องชายผู้มักวางตัวสงบเสงี่ยมอยู่เสมอกลับอาจหาญขวัญกล้าถึงเพียงนี้ ? การที่เขากล้าเผชิญหน้ากับตนเช่นนี้ถือเป็นการกระทำที่บ้าบิ่นยิ่งนัก

“โอ้งั้นรึ ? เรื่องนี้ก็ต้องขอบคุณท่าน”

หลัวหมิงฮ่าวยกยิ้มมุมปากเล็กน้อยและกล่าวต่อ “หลัวหมิงซี กลับไปซะ กลับไปและบอกพี่ใหญ่ของท่านว่าหากเขาคิดจะทำอะไรไม่ดีต่อชนเผ่าเอลฟ์และราชินี ข้าจะเป็นคนแรกที่จะต่อสู้กับเขาจนตัวตายเอง !”

ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือฟังบทสนทนาระหว่างหลัวหมิงฮ่าวและหลัวหมิงซีพลางพยักศีรษะเบา ๆ ทั้งสองคาดเดาไว้ก่อนหน้านี้แล้วว่าองค์ชายห้าที่มักไม่สนใจโลกภายนอกจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน และสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็พิสูจน์ข้อสงสัยนั้นได้อย่างแท้จริง กล่าวได้ว่าองค์ชายห้าเป็นบุรุษที่รักความเป็นธรรมและเป็นมิตรสหายที่คู่ควรแก่การร่วมมือด้วย

“หลัวหมิงฮ่าว เจ้าชักจะอวดดีเกินไปแล้ว !”

หลัวหมิงซีแค่นเสียงในลำคออย่างเย็นชาและเตรียมฝ่ามือวายุฟาดเข้าใส่หลัวหมิงฮ่าวอย่างแรง เขาไม่คาดคิดเลยว่าน้องชายของตนจะกล้ายโสโอหังเช่นนี้ ในเมื่อหลัวหมิงฮ่าวริอาจกล่าววาจาอวดดี หลัวหมิงซีก็จะสั่งสอนให้หลัวหมิงฮ่าวรู้สำนึกว่าแท้จริงแล้วเขาเป็นเพียงมดปลวกตัวเล็ก ๆ เท่านั้น

“จิ๊จิ๊ หลัวหมิงซี คิดว่าข้าจะกลัวเจ้างั้นรึ ?!”

หลัวหมิงฮ่าวไม่หวาดหวั่นหรือแม้กระทั่งหลบหลีกด้วยซ้ำ เขาเพียงยกมือขึ้นและใช้ฝ่ามือวายุของตนเองขวางการโจมตีของหลัวหมิงซีได้อย่างง่ายดาย

ก่อนหน้านี้เขาไม่ต้องการแก่งแย่งชิงดีกับพี่น้องทั้งหมด เขาจึงจงใจซ่อนและปกปิดความแข็งแกร่งที่แท้จริงของตนเองมาตลอด อย่างไรก็ตาม นั่นมิได้หมายความว่าพลังของเขาด้อยกว่าพี่น้องคนอื่น ๆ อย่างน้อยที่สุดการที่จะเอาชนะหลัวหมิงซีผู้มักมากตรงหน้านี้ก็มิใช่ปัญหาสำหรับเขาแม้แต่น้อย

เมื่อกระบวนท่าของตนถูกขัดขวางไว้โดยหลัวหมิงฮ่าวอย่างง่ายดาย สีหน้าขององค์ชายสี่ก็บิดเบี้ยวไปทันที เขาไม่คิดเลยว่าเวลานี้หลัวหมิงฮ่าวจะมีความแข็งแกร่งที่ไม่ด้อยไปกว่าตนอีกต่อไป เห็นได้ชัดว่าองค์ชายห้าตบตาทุกคนมาตลอดและตัวตนแท้จริงของเขาก็รับมือได้ยากกว่าพี่น้องทุกคนเสียอีก

หากประจันหน้ากับหลัวหมิงฮ่าวในวันนี้ เกรงว่ามันคงมิใช่เรื่องดีสำหรับตัวเขาอย่างแน่นอน

เมื่อคิดได้เช่นนี้ หลัวหมิงซีก็หัวเราะกลบเกลื่อนออกไปทันที

“ฮ่า ๆ ๆ น้องห้า พี่สี่เพียงหยอกล้อกับเจ้าเท่านั้น เจ้าจะฉุนเฉียวไปไย ? วันนี้ข้าได้พบสตรีงามสองนางหน้าประตูเมืองและหนึ่งในนั้นเป็นลูกครึ่งเอลฟ์ที่มีสถานะต่ำต้อย เดิมทีข้าเห็นใจพวกนางและต้องการพาตัวกลับไปที่จวนเพื่อแต่งตั้งให้เป็นนางบำเรอและนางสนมของข้า ไม่คิดเลยว่าพวกนางจะไม่ซาบซึ้งในความเมตตาจากข้า ซ้ำร้ายยังกล่าววาจาดูหมิ่นไม่ไว้หน้าข้าซึ่งเทียบเท่ากับการดูหมิ่นทั่วทั้งตระกูลราชวงศ์ของเรา เพราะเหตุนั้นข้าจึงโกรธเกรี้ยวไม่พอใจ”

หลัวหมิงซีคู่ควรแก่การเป็นองค์ชายสี่ของชนเผ่าเอลฟ์อย่างแท้จริง ทันทีที่เขาปรับเสียงอ่อนลง เขาก็เล็งเป้าหมายมาที่กลุ่มของฉินอวี้โม่อีกครั้ง เขาไม่ต้องการสร้างเรื่องบาดหมางกับหลัวหมิงฮ่าวอีกต่อไปทว่าหมายจะจับตัวคนทั้งสามกลับไปให้จงได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม

หลัวหมิงฮ่าวลอบมองทั้งสามและขมวดคิ้วเล็กน้อย “พี่สี่ ทั้งสามคือแขกที่ข้าเชิญมา พวกนางต่างก็เป็นจอมยุทธ์ลับที่ปล่อยวางจากทางโลกมาเป็นเวลานาน พวกนางจึงไม่สนใจสถานะของท่านแม้แต่น้อย อีกอย่าง…ข้าได้ยินว่าท่านพยายามบังคับขู่เข็ญพวกนางก่อน ชาวเอลฟ์เราต่างก็ทราบดีถึงชื่อเสียงขององค์ชายสี่เกี่ยวกับการบังคับขู่เข็ญสตรี ที่นี่คืออาณาเขตของข้า ข้าคิดว่าท่านควรถอยไปจะดีกว่า !”

แม้ไม่รู้จักฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและสั่วซีหย่า หลัวหมิงฮ่าวก็มั่นใจว่าทั้งสามไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ถึงอย่างไรความสัมพันธ์ระหว่างเขาและหลัวหมิงซีก็ไม่ดีมาตั้งแต่ต้น และผู้ที่หลัวหมิงซีต้องการจัดการคือก็คนที่เขาต้องการปกป้อง ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ชนเผ่าเอลฟ์ก็กำลังเผชิญกับช่วงเวลาที่ยากลำบาก หากได้ความช่วยเหลือจากจอมยุทธ์ทรงพลัง มันก็ย่อมเป็นผลดีต่อเขา

ด้วยเหตุนั้น เขาจึงวางแผนที่จะปกป้องคนทั้งสามโดยไม่ลังเล นอกจากนี้เขายังมีลางสังหรณ์บางอย่างในใจ เขาเชื่อว่าต่อให้ตนไม่ลงมือทำสิ่งใด ฉินอวี้โม่และคนทั้งสองก็คงจะรับมือกับหลัวหมิงซีได้อย่างไม่มีปัญหา

หลัวหมิงซีขมวดคิ้วเล็กน้อยทันที ไม่คิดเลยว่าหลัวหมิงฮ่าวจะกล้ากล่าววาจาปกป้องคนแปลกหน้าทั้งสามอย่างเปิดเผยและไม่ไว้หน้าตนเช่นนี้

“ในเมื่อทั้งสามเป็นแขกของน้องห้า ข้าก็จะไม่ทำให้ทั้งสามต้องลำบากใจ ตราบใดที่พวกนางกล่าวขอโทษข้า ข้าจะคิดเสียว่าเรื่องวันนี้ไม่เคยเกิดขึ้น มิฉะนั้น…ข้าจะบอกให้พี่ใหญ่ทราบเรื่องทั้งหมดเมื่อข้ากลับไป และหากเรื่องนี้ถึงหูพี่ใหญ่ น้องห้าน่าจะทราบดีว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร…”

เขาเลื่อนสายตามองไปที่คนทั้งสามอย่างดุดัน แม้ไม่สามารถจับตัวทั้งสามกลับไปดังที่ต้องการได้ในตอนนี้ ทว่าเขาก็ไม่อาจแสดงให้อีกฝ่ายเห็นถึงความอ่อนแอของตนเช่นกัน เมื่อเขากลับไป เขาจะพาผู้ติดตามกลับมาอีกครั้งอย่างแน่นอน สำหรับสตรีงามชวนตะลึงทั้งสอง…เขาหมายมั่นที่จะจับตัวพวกนางกลับไปย่ำยีให้หนำใจ

หลัวหมิงฮ่าวมองไปที่กลุ่มของฉินอวี้โม่ก่อนเห็นว่าสีหน้าของทั้งสามเฉยเมยไม่แยแสและไม่มีท่าทีว่าจะกล่าวขอโทษขอโพยหลัวหมิงซีแต่อย่างใด

“หลัวหมิงซี อย่าวางท่าให้ผู้คนหวาดกลัวไปหน่อยเลย ข้ายอมรามือโดยการไม่บอกให้ท่านขอโทษพวกนางก็ดีแล้ว ขืนท่านยังไม่ยอมเลิกราเช่นนี้ ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง !”

ในเมื่อเขามุ่งมั่นที่จะปกป้องจอมยุทธ์ทั้งสาม แน่นอนว่าหลัวหมิงฮ่าวก็ไม่มีทางปล่อยให้พวกนางต้องฝืนใจทำในสิ่งที่ไม่ต้องการ เพราะเหตุนั้นเขาจึงกล่าวปฏิเสธออกไปด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวทันที

“เหอะ หลัวหมิงฮ่าว เจ้าคิดจะหักหน้าข้าและพี่ใหญ่เพราะคนไม่สำคัญทั้งสามคนนี้อย่างนั้นหรือ ?”

หลัวหมิงซีแค่นเสียงเย็นชา การกระทำของหลัวหมิงฮ่าวในตอนนี้เหนือความคาดหมายของเขายิ่งนัก อย่างไรก็ตาม เขาไม่มีทางยอมถอยไปง่าย ๆ จนกว่าฉินอวี้โม่และอีกสองคนจะกล่าวขอโทษตนต่อหน้าทุกคน

“เฮ้ หากต้องการให้เราขอโทษนั้นก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

จู่ ๆ ฉินอวี้โม่ก็ยกยิ้มมุมปากและพยักศีรษะให้กับหลัวหมิงฮ่าวเพื่อส่งสัญญาณมิให้เขาโต้เถียงอีกต่อไป

หลัวหมิงฮ่าวไม่กล่าวสิ่งใดและหยุดนิ่งอยู่กับที่ เขาเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าทั้งสามจะตอบสนองกับสถานการณ์นี้อย่างไร

เมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่ หลัวหมิงซีก็คิดว่านางยอมอ่อนข้อแล้วเป็นแน่ เพราะเหตุนั้นรอยยิ้มอย่างผู้ชนะจึงปรากฏบนใบหน้าของเขาอย่างชัดเจนก่อนกล่าวตอบ “ฮ่า ๆ ๆ ก่อนหน้านี้พวกเจ้าวางท่าไม่หวาดหวั่นและไม่สนใจสถานะองค์ชายของข้าแม้แต่น้อย ทว่าตอนนี้จู่ ๆ ก็นึกหวาดกลัวขึ้นมาและต้องการที่จะขอโทษข้าแล้วรึ ?”

หลัวหมิงซีชำเลืองมองฉินอวี้โม่ก่อนกล่าวต่อ “หรือว่าเจ้าเพียงแค่ต้องการดึงดูดความสนใจของข้าองค์ชายผู้นี้จึงได้แสดงกิริยาท่าทางเช่นนั้นออก…”

“เจ้าโง่ !”

ก่อนที่เขาจะกล่าวจบ หลัวหมิงซีก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาและสัมผัสถึงจิตสังหารแรงกล้า เขารู้สึกขนหัวลุกครู่หนึ่งและหัวใจสั่นสะท้าน

“เราจะยอมขอโทษเจ้าก็ได้…เพียงแต่เจ้าต้องรับมือกับการโจมตีหนึ่งกระบวนท่าของข้าให้ได้เสียก่อน”

หานโม่ฉือก้าวออกไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ หากมิใช่เพราะฉินอวี้โม่ห้ามปรามไว้ เขาก็คงสังหารคนโง่เขลาผู้นี้ไปแล้ว

เมื่อได้ยินวาจาของหานโม่ฉือ หลัวหมิงซีชะงักไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะลั่นอย่างหยุดไม่ได้

“เจ้าหนู เจ้าจะโอหังเกินไปแล้ว นับประสาอะไรกับกระบวนท่าเดียว ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับร้อยกระบวนท่าข้าก็ไม่กลัว แม้ว่าพรสวรรค์ของข้าจะไม่มากเท่ากับพี่ใหญ่ ทว่าข้าก็ถือว่าเป็นยอดฝีมืออันดับต้น ๆ ของชนเผ่าเอลฟ์เช่นกัน อยากเห็นนักว่าเจ้าจะทำอะไรได้…”

ทว่าหลังจากกล่าวจบ เขากลับเป็นฝ่ายที่ริเริ่มโจมตีหานโม่ฉือทันที ในเมื่อบุรุษหนุ่มผู้นี้เปิดโอกาส หลัวหมิงซีก็ไม่ยอมพลาดอย่างแน่นอน เขาไม่ชอบหน้าคนผู้นี้มาตั้งแต่ต้นและจะใช้โอกาสนี้ทำลายหานโม่ฉือให้สิ้นซากเพื่อจะได้ตระหนักถึงชะตากรรมของผู้ที่ริอาจดูหมิ่นตน

ตูมมม !

ทว่าก่อนที่จะเข้าใกล้ หลัวหมิงซีก็รู้สึกถึงแรงกดดันมหาศาลกดข่มตนเองจนไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ การโจมตีที่เขาปลดปล่อยออกไปก็ชะงักอยู่เพียงกลางอากาศและไปไม่ถึงตัวหานโม่ฉือเลยด้วยซ้ำ

“การที่ริอาจหมายปองสตรีของข้า การที่เจ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ถือว่าโชคดีมากพอแล้ว ทว่าถึงอย่างไรเจ้าก็ยังต้องชดใช้ให้กับความผิดของตนเอง วันนี้ข้าจะตัดแขนของเจ้าเพื่อเป็นการสั่งสอน !”

วาจาเฉยเมยไม่แยแสดังขึ้นข้างหูของหลัวหมิงซีและทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนกลายเป็นความตื่นตระหนกอย่างที่สุดทันที

“อ๊ากกก !”

หลัวหมิงซีส่งเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเมื่อแขนข้างขวาของตนถูกฉีกออกอย่างแรงก่อนหมดสติไป หานโม่ฉือผู้นี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งนักและน่าหวาดหวั่นยิ่งกว่าทุกคนที่เขาเคยพานพบตลอดชีวิตที่ผ่านมา

การต่อสู้เกิดขึ้นเพียงในระยะสั้น ๆ เท่านั้นและฝูงชนที่เฝ้ามองอยู่รอบตัวไม่ทันสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน พวกเขาดึงสติกลับมาได้อีกครั้งเมื่อได้ยินเสียงร้องของหลัวหมิงซีและเห็นว่าแขนขวาของเขาหลุดออกจากร่างก่อนหมดสติไปอย่างน่าสังเวช

“พาองค์ชายสี่ของพวกเจ้ากลับไปซะ !”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ และไม่คัดค้านการกระทำของหานโม่ฉือแม้แต่น้อย อย่างไรก็ตาม แขนข้างขวามิใช่บทเรียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา เพราะบทเรียนที่แท้จริงจะเกิดขึ้นหลังจากนี้ต่างหาก !

.