“ที่เจ้าพูดมาไม่ได้ถูกทั้งหมด..”
เมื่อเห็นหลิงหยุนเจื้อยแจ้วไม่หยุดในที่สุดโม่วู๋เตาก็พูดขัดจังหวะขึ้นอย่างอดรนทนไม่ได้ “กำแพงเมืองจีนนี้สร้างขึ้นเพื่อป้องกันการรุกรานจากชาวซุงหนูต่างหากเล่า..”
“อ่อ..แล้วก็กำแพงเมืองจีนปาต๋าหลิงนี้ก็ไม่ได้สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน แต่เป็นราชวงศ์หมิงต่างหากเล่า!”
หลิงหยุนพยักหน้ารับรู้พร้อมกับพูดขึ้นว่า“งั้นรึ! ข้าก็แค่อยากจะทดสอบว่าเจ้าค้นหาข้อมูลมาบ้างหรือไม่ก็เท่านั้นเอง!”
“หึ..เจ้านี่มันหน้าด้านหน้าทนจริงๆ!” โม่วู๋เตาพึมพำออกมาอย่างไม่พอใจ
หลิงหยุนตอบโต้กลับไปทันที“เจ้าอย่าลืมว่าข้าสอบเข้ามหาวิทยาลัยหยานจิงได้ด้วยคะแนนสูงสุด แค่ประวัติกำแพงเมืองจีนข้าจะไม่รู้ได้อย่างไรกัน!” “….”
โม่วู๋เตาคร้านที่จะโต้เถียงกับหลิงหยุนจึงได้แต่นิ่งเงียบไป..
หลิงหยุนเหลียวมองไปทางทิศตะวันตกแล้วย้อนมองกลับไปทางทิศใต้ จากนั้นจึงพูดกับโม่วู๋เตาต่อว่า
“เจ้าคิดดูสิว่ากำแพงเมืองจีนซึ่งเปรียบเสมือนชีพจรมังกรนั้นจะสร้างขึ้นมาเพื่อเหตุอันใด หากไม่ใช่เพื่อป้องกันเมืองหลวงซึ่งเสมือนเป็นบ้านขององค์จักรพรรดิ..”
“นักพรตน้อย..ข้าชักอยากจะไปสำรวจสุสานทั้งสองแห่งแล้วสิ! ไม่ว่าจะเป็นสุสานองค์จักรพรรดิฉินซี หรือสุสานใต้ดินของพระราชวังต้องห้าม..”
โม่วู๋เตาเองก็พยักหน้าด้วยแววตาเป็นประกายเช่นกันจากนั้นโม่วู๋เตาก็แยกตัวออกไปสำรวจรอบๆบริเวณอีกครั้ง..
“นี่เจ้าเด็กดื้อ..เจ้ายืนทำอะไรอยู่ตรงนั้น!” เสียงร้องตะโกนของหลิงซิ่วที่เพิ่งตามมาถึงดังขึ้นมาทันที..
หลิงหยุนหันหลังกลับไปตอบหลิงซิ่ว..“ข้าก็กำลังชมวิวน่ะสิ! พี่หลิงซิ่วที่นี่ช่างเป็นจุดชมวิวที่งดงามมากจริงๆ!”
“พี่วู๋เตาล่ะ!”
หลิงซวี่ที่ตามมาถึงได้แต่เอ่ยปากถามลอยๆแม้หลิงซวี่จะมีท่าทีต่อหลิงหยุนเปลี่ยนไปบ้าง แต่จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เคยเรียกหลิงหยุนว่า ‘พี่ใหญ่’ ต่อหน้าเขาเลยสักครั้ง!
หลิงหยุนเห็นท่าทีของหลิงซวี่ก็ได้แต่ถอนหายใจก่อนจะตอบกลับไปว่า“หมอนั่นเดินไปดูฮวงจุ้ยรอบๆ อีกเดี๋ยวก็คงจะกลับมา..”
หลิงซวี่นิ่งเงียบไม่พูดอะไรแต่กลับทอดสายตามองออกไปไกลแทน..
–หลิงหยุน..ให้เวลาหลิงซวี่ค่อยๆปรับตัวปรับใจนะ เจ้าอย่าได้เร่งรัดนางนัก!-
หลิงซิ่วซึ่งเห็นเหตุการณ์ได้แต่แอบบอกหลิงหยุนผ่านทางกระแสจิต..
–ขอบคุณพี่หลิงซิ่ว..ข้าเองก็ไม่ได้เร่งรัดอะไรนาง!-
“พี่ใหญ่!”
หนิงหลิงยู่ที่เพิ่งมาถึงก็ร้องเรียกหลิงหยุนเช่นกันหลิงหยุนหันไปมองฉีเสี่ยวชิงที่เดินมาพร้อมกับหนิงหลิงยู่ และเอ่ยถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง..
“เหนื่อยมั๊ยเสี่ยวชิง!”
“เหนื่อยมาก..”ฉีเสี่ยวชิงพูดราวกับจะเป็นลม
ในเมื่อปีนขึ้นมาจนถึงจุดที่สูงที่สุดของกำแพงเมืองจีนแล้วทุกคนจึงได้ถ่ายรูปเก็บไว้เป็นที่ระลึกเหมือนกับนักท่องเที่ยวคนอื่นๆ
หลิงหยุนเป็นคนที่ไม่ชอบถ่ายรูปแต่ก็ขัดหลิงซิ่วกับหญิงสาวคนอื่นๆไม่ได้ จึงได้แต่ถ่ายรูปกลุ่มร่วมกับทุกๆคน..
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง..โม่วู๋เตาก็กลับมารวมกลุ่มกับทุกคน และได้ถ่ายรูปกับสาวงามทั้งหมดไว้ด้วย
หลังจากถ่ายรูปและพูดคุยกันอย่างสนุกสนานแล้ว ราวสิบเอ็ดโมงทั้งหมดก็เดินกลับลงไปด้านล่าง..
“น้องพี่..สองสามวันนี้เจ้าติดต่อน้าหญิงบ้างหรือไม่”
“ติดต่อสิ..เมื่อครู่ฉันก็เพิ่งโพสรูปที่พวกเราถ่ายกันลงใน WeChat น้าหญิงยังเข้ามาเขียนชมเลย..”
หนิงหลิงยู่ได้ถ่ายรูปกลุ่มกับหลิงหยุนก็ตอบกลับไปอย่างมีความสุข ในขณะที่หลิงหยุนถามกลับด้วยความงุนงง
“โพสรูป!คือะไรรึ?!”
หนิงหลิงยู่อธิบายเจื้อยแจ้ว..“พี่ใหญ่.. นี่พี่คงไม่เคยใช้ WeChat เลยสินะ”
“พี่อย่าเอาแต่ฝึกวิชาแล้วก็ต้องรู้จักเอาโทรศัพท์มือถือออกมาใช้บ้าง ไม่ใช่เก็บไว้แต่ในแหวนแบบนั้น แล้วใครจะสามารถติดต่อพี่ได้เล่า” “พี่ใหญ่..พี่ต้องพัฒนาให้ก้าวทันเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตอนนี้ WeChat พัฒนาไปตั้งมากมาย นอกจากจะโทรคุยได้แล้ว ยังส่งข้อความ แล้วก็ทำอย่างอื่นได้อีกตั้งมากมาย..”
หลิงหยุนพยักหน้าพร้อมกับบอกไปว่า“เอาล่ะ.. สอนพี่ใช้แล้วก็ช่วยเพิ่มน้าหญิงให้เป็นเพื่อนกับพี่ด้วย..”
ตั้งแต่หลิงหยุนมาถึงปักกิ่งก็มีแต่เรื่องยุ่งๆจึงไม่ค่อยได้ติดต่อกับฉินตงเฉี่วยนัก หนิงหลิงยู่หยิบโทรศัพท์มือถือของหลิงหยุนไปจัดการให้ และได้สอนวิธีการใช้งานให้กับหลิงหยุน
….
ระหว่างที่รถบัสคันหรูแล่นเข้าสู่ถนนวงแหวนที่หกเพื่อมุ่งหน้าไปยังสถานที่ท่องเที่ยวอื่นต่อไปนั้น หลิงซิ่วก็ได้รับข้อความจากตระกูลหลิง..
ทันทีที่เปิดข้อความอ่าน..หลิงซิ่วก็ถึงกับหน้าเสีย และผุดลุกขึ้นจากที่นั่งทันที หลิงหยุนที่นั่งอยู่ข้างๆจึงร้องถามด้วยความแปลกใจ
“เกิดเรื่องอะไรขึ้นงั้นรึ!”
“เวลานี้คนจากหน่วยนภามาหาเจ้าที่บ้านตระกูลหลิง!”
หลิงหยุนได้ฟังถึงกับขมวดคิ้วเข้าหากันและได้แต่คิดในใจ ‘ข้ารอพวกเจ้ามาหลายวันแล้ว.. ในที่สุดพวกเจ้าก็มาสินะ!’
หลิงหยุนซึ่งเตรียมพร้อมจะเผชิญหน้ากับคนจากหน่วยนภาอยู่แล้วจึงได้ร้องตะโกนสั่งคนขับรถให้เปลี่ยนเส้นทางโดยไม่มีสีหน้าตกอกตกใจเลยแม้แต่น้อย..
“กลับตะกูลหลิงให้เร็วที่สุด!”
จากนั้นหลิงหยุนจึงหันกลับมาถามหลิงซิ่วต่อว่า“พวกมันมาทั้งหมดกี่คน..”
“คนเดียว”
“พวกมันส่งใครมา”
“ข้าเองก็ไม่รู้..แต่ท่านปู่เรียกว่าอาจารย์โจว..” เพียงแค่ครึ่งชั่วโมง..รถบัสคันหรูก็แล่นมาถึงคฤหาสน์ตระกูลหลิง และทันทีที่รถแล่นเข้าใกล้กับประตู หลิงหยุนก็ได้เปิดจิตหยั่งรู้ออกสำรวจทั่วทั้งบริเวณคฤหาสน์ทันที แล้วเขาก็ได้พบ ‘ท่านโจว’ ที่หลิงซิ่วบอก..
ท่านโจวผู้นี้กำลังนั่งดื่มชาอยู่กับหลิงลี่ในสวนชั้นที่เก้า..
ชายผู้นี้รูปร่างปานกลางสวมเสื้อคอจีนตามแบบโบราณ ดูแล้วก็คล้ายกับคนธรรมดาทั่วไป ที่พบเห็นกันอยู่เป็นปกติ..
แม้หลิงหยุนจะพอดูออกว่าชายผู้นี้น่าจะมีอายุแล้วแต่เขาก็ไม่สามารถคาดเดาได้ถูกว่าชายผู้นี้มีอายุเท่าไหร่กันแน่ และไม่สามารถมองเห็นขั้นกำลังภายในของเขาด้วยเช่นกัน..
แต่จากที่เห็น..หลิงหยุนมั่นใจว่าชายผู้นี้ไม่เพียงไม่ใช่คนธรรมดา แต่ยังต้องเป็นผู้ที่มีพลังสูงส่งด้วย!
ระหว่างที่หลิงหยุนเดินลงจากรถนั้นเขาก็เห็นท่านโจวยิ้มให้หลิงลี่พร้อมกับพูดขึ้นว่า “ท่านหลิง.. ข้าโจวเหวินอี้เนึกไม่ถึงจริงๆว่าตระกูลหลิงจะมีวันที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้ได้!”
ปรากกฏว่า..ชายชราผู้นี้มีนามว่าโจวเหวินอี้!
“ท่านโจวกล่าวชมเกินไปแล้ว!หลังจากที่หลิงหยุนหลานชายของข้ากลับเข้าตระกูลหลิงแล้ว ตระกูลหลิงของเราก็เปลี่ยนไปมากจริงๆ แต่ก็ยังไม่กล้าใช้คำว่ายิ่งใหญ่นัก..”
หลิงลี่ตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้มท่าทีที่พูดของหลิงลี่ก็ไม่ได้ดูถ่อนเนื้อถ่อมตัวนัก แต่ดูคล้ายกับคนกำลังพูดจาอย่างเปิดเผยเสียมากกว่า..
ระหว่างที่พูดคุยกันอยู่นั้น..หลิงลี่ก็หันไปทางสวนด้านหน้าพร้อมกับพูดออกมาอย่างเปิดเผย
“โอ้..หลิงหยุนกลับมาพอดี.. ท่านโจวรออีกประเดี๋ยว เขากำลังเดินเข้ามาที่นี่!”
“ท่านปู่!”
หลิงหยุนใช้เงาพรางร่างมาปรากฏตัวตรงหน้าหลิงลี่ทันที.. “หลิงหยุน..เจ้ากลับมาแล้วรึ”
หลิงลี่ลุกขึ้นแนะนำหลิงหยุนทันที“หลิงหยุน.. ท่านผู้นี้คือหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา นามว่าโจวเหวินอี้!”
หลิงหยุนเดินตรงเข้าไปโจวเหวินอี้พร้อมกับพูดขึ้นว่า“หลิงหยุนผู้นำตระกูลหลิงยินดีที่ได้รู้จักท่านโจว!”
โจวเหวินอี้จ้องมองหลิงหยุนนิ่ง..
ในวินาทีนั้น..หลิงหยุนสัมผัสได้ถึงพลังจิตที่แข็งแกร่ง และทรงพลังยิ่งนัก หลิงหยุนรู้สึกราวกับว่าร่างทั้งร่างของตนนั้นกำลังถูกพลังจิตที่แข็งแกร่งนี้บีบรัดเข้ามารอบด้าน ไม่เพียงพลังจิตที่แข็งแกร่งนี้จะบีบรัดจิตหยั่งรู้ของหลิงหยุน แต่ดูเหมือนมันกำลังจะกระแทกเข้ากับร่างกายของเขาด้วย..
หลิงลี่ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ“ท่านโจว.. ได้โปรดปราณีด้วย!”
หลิงหยุนไม่มีโอกาสแม้แต่จะพูด..แต่ถึงกระนั้นเขาก็ไม่ได้มีท่าทีตระหนกตกใจเลยแม้แต่น้อย หลิงหยุนยังคงสงบนิ่ง และกำลังพยายามใช้วิชาเคลื่อนย้ายธาตุของตนต้านพานพลังจิตของอีกฝ่าย แต่ในขณะนั้นหลิงหยุนกลับรู้สึกราวกับถูกกระแสน้ำรุนแรงปะทะเข้ากับพลังจิตของตน..
หากครั้งนี้เปลี่ยนเป็นหลิงลี่..แน่นอนว่าจิตหยั่งรู้ของเขาคงต้องเสียหายอย่างหนัก และอย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งเดือนในการฟื้นฟู!
“นับว่าแข็งแกร่งไม่เบาเลยทีเดียว!”
หลังจากที่ได้ทดสอบหลิงหยุนแล้วจ้าวเหวินอี้ก็รีบถอนพลังจิตของตนกลับมาทันที แล้วเอ่ยปากพูดกับหลิงหยุนไปว่า
“ได้ยินมาว่าผู้นำตระกูลหลิง– หลิงหยุนได้สังหารยอดฝีมือตายไปตั้งมากมาย และสามารถนำพาตระกูลหลิงให้ผงาดขึ้นมาได้อีกขั้น วันนี้ชายแก่อย่างข้าได้เห็นกับตาแล้ว อยากจะขอประมือกับเจ้าสักหน่อย..”
หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“ท่านโจวได้โปรดชี้แนะด้วย!” ทันทีที่พูดจบ..กระบี่ลมปราณขนาดเท่านิ้วชี้ก็ได้พุ่งออกจากร่างของหลิงหยุน ตรงเข้าใส่ร่างของโจวเหวินอี้ที่อยู่ในระยะประชิดอย่างรวดเร็ว!
และนี่คือกระบี่กังฉี!
กระบี่กังฉีของหลิงหยุนนั้นมีขนาดกว้างเท่านิ้วชี้มีความยาวเพียงแค่สี่นิ้วมือ ลักษณะคล้ายกับใบหลิว บางราวกับกระดาษ แต่ก็คมกริบ และแข็งแก่งเกินกว่าที่จะมีสิ่งใดทำลายได้..
กระบี่กังฉีของหลิงหยุนนั้นเกิดจากการที่เขาได้ดูดเอากระบี่ลมปราณจำนวนมากเข้าไปในร่างกาย ทำให้พลังหยินและหยางในจุดตันเถียนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล จนรวมตัวกันควบแน่นกลายเป็นเกล็ด หลิงหยุนจึงได้เผาหยดเสินหยวน และใช้พลังเหนือธรรมชาติสร้างกระบี่กังฉีเล่มนี้ขึ้นมา..
นับจากวันที่กระบี่กังฉีก่อตัวขึ้นภายในจุดตันเถียนของหลิงหยุนมาจนถึงวันนี้ก็เป็นเวลากว่าเจ็ดวันแล้ว และในระหว่างเจ็ดวันนี้หลิงหยุนก็ได้ใช้พลังหยินและหยางของตนหล่อเลี้ยงกระบี่กังฉีอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังได้ใช้จิตหยั่งรู้ของตนสื่อสารกับกระบี่กังฉีอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งได้นำออกมาใช้งานในวันนี้!
และหัวหน้าอาวุโสหน่วยนภาโจวเหวินอี้ก็เป็นผู้ที่หลิงหยุนจะทดลองกระบี่กังฉีของตนเป็นรายแรก!
ใบหน้าของโจวเหวินอี้ยังคงสงบนิ่งแต่ก็ไม่กล้าประมาทกระบี่กังฉีที่พุ่งเข้าใส่ร่างของตนอย่างรวดเร็ว โจวเหวินอี้ซัดฝ่ามือออกไป และสัญลักษณ์ไท่จี๋รูปวงกลมขนาดสิบเซ็นติเมตรก็พุ่งออกจากฝ่ามือของเขา เข้าต้านทานกระบี่กังฉีของหลิงหยุนทันที สัญลักษณ์ไทจี๋รูปวงกลมนี้แท้จริงก็คือพลังปราณในขั้นเซียงเทียนของโจวเหวินอี้นั่นเอง..
เคร้ง..
เสียงคล้ายโลหะกระทบกันดังก้องกังวาลขึ้นและกระบี่กังฉีของหลิงหยุนก็แทงเข้ากับสัญลักษณ์วงกลมรูปไท่จี๋ และโจวเหวินอี้ก็สามารถสกัดกั้นกระบี่กังฉีของหลิงหยุนไว้ได้..
เมื่อโจวเหวินอี้เป็นฝ่ายใช้พลังจิตของตนจู่โจมหลิงหยุนก่อนนั้นหลิงหยุนได้แต่นึกเดือดดาลอยู่ในใจ และเมื่อมีโอกาสก็จู่โจมโจวเหวินอี้กลับอย่างไม่อ่อนข้อเช่นกัน แต่กลับคิดไม่ถึงว่าโจวเหวินอี้จะสามารถต้านทานกระบี่กังฉีของตนไว้ได้เช่นนี้..
แต่ถึงกระนั้นหลิงหยุนก็ไม่ได้นึกแปลกใจนักเพราะอีกฝ่ายเป็นถึงหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา หากเพียงแค่กระบี่เล่มเดียวยังไม่สามารถต้านทานได้ ก็คงจะไม่เหมาะสมกับตำแหน่งอันสูงส่งของหน่วยนภา..
ฟิ้ว..
หลิงหยุนใช้พลังจิตของตนบังคับควบคุมกระบี่กังฉีให้ถอยกลับมาอย่างรวดเร็วและเปลี่ยนทิศทางการโจมตีไปที่แผ่นหลังของโจวเหวินอี้ทันที!
“โอ้..ไม่เลวทีเดียว!” โจวเหวินอี้เห็นเช่นนั้นแต่ก็ยังพูดคุยกับหลิงหยุนอย่างไม่รีบร้อนในระหว่างที่กระบี่กังฉีของหลิงหยุนกำลังจะแทงเข้ากับแผ่นหลังของโจวเหวินอี้นั้น สัญลักษณ์วงกลมไท่จี๋ก็ได้ปรากฏขึ้นกลางแผ่นหลังของเขา และสามารถต้านทานกระบี่กังฉีได้ทันเวลาอีกครั้ง..
“….”
หลิงหยุนได้แต่อึ้งไป..
จากนั้น..หลิงหยุนใช้พลังจิตควบคุมกระบี่กังฉีของตน ให้พุ่งเข้าใส่ร่างของโจวเหวินอี้ในทิศทางแตกต่างกันไป แต่ทุกครั้งที่กระบี่กังฉีเข้าใกล้ร่างของโจวเหวินอี้ สัญลักษณ์วงกลมไท่จี๋นี้ก็จะปรากฏขึ้นมาสกัดกั้นไว้ได้ทันเวลาทุกครั้ง
หลิงหยุนใช้พลังจิตควบคุมกระบี่กังฉีพุ่งเข้าใส่ร่างของโจวเหวินอี้นับร้อยครั้งแต่โจวเหวินอี้ก็สามารถต้านทานได้ทั้งร้อยครั้งเช่นกัน!
“ข้าสู้ไม่ได้!” หลิงหยุนร้องบอกโจวเหวินอี้พร้อมกับใช้พลังจิตเรียกกระบี่กังฉีให้กลับเข้าไปในจุดตันเถียนของตนเองแล้วจึงพูดขึ้นว่า
“ฝีมือของอาวุโสช่างร้ายกาจยิ่งนัก!”
หลังจากที่หลิงหยุนเป็นฝ่ายยอมรามือโจวเหวินอี้ก็เป็นฝ่ายลุกขึ้นยืนพร้อมกับพูดขึ้นว่า “พ่อหนุ่มเองก็น่ากลัวไม่น้อยทีเดียว!”