แม้โจวเหวินอี้จะสามารถต้านทานกระบี่กังฉีของหลิงหยุนได้เป็นร้อยครั้งแต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะหลิงหยุนเพียงแค่ต้องการทดสอบเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาที่จะสังหารอีกฝ่าย ไม่เช่นนั้นหลิงหยุนคงไม่ต้องเสียจู่โจมนับร้องครั้งเช่นนี้..
ภายนอกอาจดูเหมือนว่าโจวเหวินอี้จะสามารถรับกระบี่กังฉีของหลิงหยุนได้อย่างไม่ร้อนรนแต่โจวเหวินอี้เองก็รู้แก่ใจดีว่าเมื่อครู่นั้นตนได้ใช้ความพยายามในการรับมือกระบี่กังฉีของหลิงหยุนไปมากเพียงใด
และรู้แก่ใจดีว่า..หากหลิงหยุนยังคงพุ่งกระบี่เข้าจู่โจมตนเองเช่นนี้ต่อไป เขาก็คงไม่สามารถนั่งรับกระบี่ของหลิงหยุนได้อย่างสงบนิ่งอีกแล้ว และคงต้องลุกขึ้นรับมือกับหลิงหยุนอย่างจริงจัง
และหากทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างเอาจริงเอาจังแม้แต่โจวเหวินอี้เองยังไม่กล้าพูดว่าฝ่ายใดจะเป็นฝ่ายแพ้ หรือว่าชนะกันแน่
นั่นเพราะเมื่อครู่หลิงหยุนเองก็เพียงแค่ยืนควบคุมกระบี่กังฉีโดยที่ยังไม่ได้เคลื่อนไหวร่างกายเลยแม้แต่น้อย..
การที่ฝ่ายหนึ่งจู่โจมโดยไม่ขยับร่างกายส่วนอีกฝ่ายก็นั่งนิ่งตั้งรับ แต่เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวกลับสามารถจู่โจมและตั้งรับได้นับร้อยครั้งเช่นนี้ นับว่าเป็นการประมือที่ยอดเยี่ยม และตื่นเต้นไม่น้อยทีเดียว..
นี่นับเป็นการทดสอบทั้งพลังปราณและพลังจิตที่แข็งแกร่งของทั้งสองฝ่าย หากดูผิวเผินจะเห็นว่างทั้งคู่ต่างก็มีพลังปราณ และพลังจิตที่ไม่ด้อยไปกว่ากันเลย..
แต่นั่นก็ทำให้โจวเหวินอี้ตกตะลึงได้มากพอทีเดียว!
นั่นเพราะทั้งอายุและฐานะของโจวเหวินอี้นั้นเหนือกว่าหลิงหยุนหลายเท่านัก เขาไม่เพียงอายุมากกว่า แต่มีตำแหน่งเป็นถึงหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา ในขณะที่หลิงหยุนเป็นเพียงแค่เด็กหนุ่มที่อายุยังไม่ถึงสิบเก้าปีด้วยซ้ำไป..
มิหนำซ้ำกระบี่กระบี่กังฉีของหลิงหยุนก็ยังเป็นกระบี่ที่สามารถจับต้องได้จริงไม่ใช่กระบี่ที่สร้างขึ้นจากพลังปราณชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น..
และจากการที่โจวเหวินอี้เพียงแค่ตั้งรับโดยไม่ตอบโต้กลับนั้นทำให้หลิงหยุนมั่นใจว่าการมาของโจวเหวินอี้ในครั้งนี้นั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อต่อสู้กับตน เขาจึงเป็นฝ่ายหยุดก่อนที่ตนเองจะได้รับความอับอาย..
“หลิงหยุน..เจ้าเสียมารยาทเช่นนี้ ยังไม่มาขอขมาท่านโจวอีกรึ”
หลังจากที่นั่งกำมือที่ชุ่มไปด้วยเหงื่อทั้งสองข้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นคนทั้งคู่หยุดประมือกันแล้ว หลิงลี่ก็ถึงกับแอบถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก และรีบร้องตะโกนบอกหลิงหยุนทันที
แต่โจวเหวินอี้กลับรีบโบกมือห้ามหลิงลี่พร้อมกับจ้องมองหลิงหยุนด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความชื่นชม ก่อนจะพูดขึ้นว่า
“อาวุโสหลิง..ข้าโจวเหวินอี้เป็นผู้เริ่มก่อน ท่านอย่าได้ตำหนิสหายน้อยหลิงหยุนเลย!”
ในยุทธภพเวลานี้..มีผู้ใดบ้างที่กล้าอาจหาญล่วงเกินโจวเหวินอี้!
แต่หลิงหยุนกลับได้รับคำชื่นชมและการยอมรับจากโจวเหวินอี้..
การที่หลิงหยุนกล้าทดสอบโจวเหวินอี้เช่นนี้ไม่ใช่เพราะเขาหนุ่มแน่นแข็งแรง ไม่ใช่เพราะเขาฮึกเหิมกล้าดี และไม่ใช่เพราะเขาทำตัวเหมือนลูกโคที่ไม่เกรงกลัวพยัคฆ์ แต่เป็นเพราะหลิงหยุนนั้นมั่นใจในความแข็งแกร่งที่ตนมีต่างหาก! และนี่คือสิ่งที่โจวเหวินอี้คิด..
โจวเหวินอี้รู้ดีว่าการประมือเมื่อครู่นั้นเป็นเพียงแค่การทำความรู้จักและเรียนรู้ของทั้งสองฝ่ายเท่านั้น เขาเองยังไม่ได้แสดงไพ่ในมือที่มีออกมา และเขาก็เชื่อว่าหลิงหยุนเองก็เช่นเดียวกัน! หลิงหยุนก้าวเท้าเดินตรงไปข้างหน้าเขาผสานฝ่ามือพร้อมกับโน้มตัวลง และเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายโจวเหวินอี้
“หลิงหยุนยินดีที่ได้รู้จักอาวุโสโจว!”
แม้หลิงหยุนจะเป็นฝ่ายทักทายโจวเหวินอี้ก่อนแต่เขากลับใช้คำว่า ‘ยินดีที่ได้รู้จัก’ แทนการใช้คำว่า ‘คาราวะ’
และนี่คือหลิงหยุนผู้ที่ไม่เคยคำนึงถึงฐานะของผู้ใดและมีความคิดว่าหากต้องการให้เขาเคารพ อีกฝ่ายก็ต้องเคารพตนด้วยเช่นกัน..
“หลิงหยุนสหายน้อย..เจ้านั่งลงก่อน แล้วค่อยคุยกัน!”
โจวเหวินอี้รับคำทักทายของหลิงหยุนพร้อมกับเชื้อเชิญให้นั่งเจรจากันและหลิงหยุนก็นั่งลงระหว่างหลิงลี่กับโจวเหวินอี้..
“สหายน้อยหลิงหยุน..เมื่อครู่ข้าพบว่าจิตหยั่งรู้ของเจ้ามีรัศมีที่ใกล้จะเข้าสู่ด่านกลางขั้นพลังชี่แล้ว อีกทั้งพลังจิตของเจ้าก็แข็งแกร่งยิ่งนัก มิหนำซ้ำยังมีกระบี่กังฉีที่คมกริบอย่างมาก เช่นนี้แล้วตระกูลซันกับตระกูลเฉินจะไม่พ่ายแพ้ให้แก่เจ้าได้อย่างไรกัน”
ทันทีที่หลิงหยุนนั่งลงโจวเหวินอี้ก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาทันที..
“อาวุโสสายตาเฉียบแหลมยิ่งนักผู้น้อยอยู่ในระดับสูงสุดขั้นซานฉางชี่แล้วจริงๆ!”
ระหว่างที่ตอบโจวเหวินอี้นั้นหลิงหยุนก็รินชาลงในถ้วยใหักับเขา และหลิงลี่..
“อายุยังน้อย..แต่กลับแข็งแกร่งถึงเพียงนี้!”
โจวเหวินอี้เอ่ยปากชมโดยไม่ได้รู้สึกประหลาดใจจากนั้นจึงหันไปมองรอบตัวพร้อมกับพูดต่อว่า..
“ตั้งแต่ข้าก้าวเท้าเข้ามาภายในสวนแห่งนี้ก็พบลูกเหล็กวางอยู่อย่างแปลกตา จึงอยากจะถามสหายน้อยว่ามันคือค่ายกลใช่หรือไม่”
หลิงหยุนยิ้มเล็กน้อยก่อนจะตอบโจวเหวินอี้ไปตามตรง“ในเมื่อยากที่จะปิดบังอาวุโสได้ ข้าก็ขอบอกตามตรงว่านี่เป็นค่ายกลเล็กๆ ซึ่งข้าสร้างขึ้นมาด้วยตัวเอง แต่ก็ไม่ได้สำคัญพอที่จะให้พูดถึงนัก..”
โจวเหวินอี้จ้องมองหลิงหยุนด้วยสายตาลุ่มลึกโดยไม่พูดอะไรแต่เมื่อเปรียบเทียบความแข็งแกร่งของหลิงหยุนเวลานี้กับลูกเหล็กขนาดใหญ่โดยรอบ ก็สามารถทำให้โจวเหวินอี้ตกใจไม่น้อย..
นั่นเพราะโจวเหวินอี้เองก็มีความเชี่ยวชาญเรื่องค่ายกลและฮวงจุ้ยเป็นอย่างดี เขาจึงสามารถมองออกว่าภายในสวนแห่งนี้ของหลิงลี่นั้น ได้มีการวางค่ายกลวราหกไว้ ส่วนด้านนอกนั้นก็มีการวางค่ายกลไว้ด้วยเช่นกัน..
โจวเหวินอี้ได้แต่แอบทึ่งในตัวหลิงหยุน..เด็กหนุ่มอายุยังหน้อย แต่กลับสามารถฝึกฝนจนใกล้ที่จะเข้าสู่ด่านกลางของขั้นพลังชี่ได้แล้ว อีกทั้งยังมีความรู้เรื่องค่ายกลลึกซึ้งอีกด้วย!
เมื่อคิดได้เช่นนี้โจวเหวินอี้จึงยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนจะถามออกไปตามตรง “ขอถามสหายน้อยหลิงหยุน.. เจ้ามาจากที่ใด”
คำถามของโจวเหวินอี้นั้นล้ำลึกและแฝงไว้ด้วยความลับที่ซ่อนอยู่..
“อ่อ..ข้าเพิ่งกลับมาจากการเที่ยวชมกำแพงเมืองจีนมา แต่ได้ยินว่าอาวุโสมาเยี่ยมเยียน จึงรีบรุดกลับมาทันที!”
เมื่อได้ยินคำตอบของหลิงหยุนโจวเหวินอี้ก็เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อย และรู้ได้ทันทีว่าหลิงหยุนไม่ต้องการที่จะบอก จึงเพียงแค่พยักหน้ารับรู้ และไม่ถามเรื่องนี้ต่อ..
“ไม่ทราบอาวุโสมาเยี่ยมเยียนกะทันหันเช่นนี้เป็นเพราะมีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ!”
หลิงหยุนเห็นว่าโจวเหวินอี้ยังคงจับตามองตนเองอย่างพินิจพิจารณาจึงรีบถามขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเขาทันที..
โจวเหวินอี้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังมากนัก“สหายน้อยหลิงหยุน.. ข้าบังเอิญได้ยินมาว่าในการประลองระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลซันและตระกูลเฉินในคืนนั้น มียอดฝีมือของหน่วยนภาเข้าร่วมประลองด้วยถึงหกคน และที่ข้ามาตระกูลหลิงก็เพื่อต้องการสอบถามถึงเรื่องนี้..”
ทันทีที่ได้ยินคำตอบของโจวเหวินอี้สีหน้าของหลิงลี่ก็เปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที เขาหันไปมองหน้าหลิงหยุน และกำลังรอฟังว่าหลิงหยุนจะตอบเช่นใด
“การประลองที่ใช้ชีวิตเป็นเดิมพันงั้นรึ!”
หลิงหยุนตอบกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย..
“ข้าเองก็รู้ว่ายอดฝีมือเหล่านั้นเป็นคนของหน่วยนภาแต่คืนนั้นเป็นการประลองระหว่างตระกูลหลิงกับตระกูลซันและตระกูลเฉิน ในเมื่อคนของหน่วยนภายินดีเข้าร่วมประลองในครั้งนั้นเอง ตระกูลหลิงของข้าจะห้ามปรามอะไรพวกเขาได้เล่า”
“และในเมื่อพวกเขาไม่สามารถสู้ข้าได้การเสียชีวิต และได้รับบาดเจ็บเพราะข้า จึงเป็นเรื่องที่พวกเขาล้วนแล้วแต่รนหาที่เองไม่ใช่รึ!”
จากนั้นหลิงหยุนก็เงยหน้าขึ้นสบตาโจวเหวินอี้พร้อมกับย้ำว่า“ข้าเชื่อว่าอาวุโสเองก็คงจะรู้กฏเกณฑ์การประลองที่มีชีวิตเป็นเดิมพันเช่นนี้ดี!’
….
การเจรจาในครั้งนี้ย่อมหมายถึงท่าทีของทั้งสองฝ่ายที่จะมีต่อกันในวันข้างหน้าและหลิงหยุนเองก็รู้วัตถุประสงค์ในการมาครั้งนี้ของโจวเหวินอี้ดี ไม่เช่นนั้นเขาคงจะไม่ใช้กระบี่กังฉีจู่โจมโจวเหวินอี้ เพื่อแสดงความแข็งแกร่งของตนเองออกมาเช่นนั้นแน่..
อีกทั้งยังเป็นการประกาศต่อโจวเหวินอี้ว่า..หากโจวเหวินอี้มาที่นี่เพื่อคิดที่จะบีบบังคับตระกูลหลิงแล้วล่ะก็ ตระกูลหลิงก็ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวเลยแม้แต่น้อย!
ในการประลองครั้งนั้น..ยอดฝีมือของหน่วยนภาทั้งหกคน ถูกหลิงหยุนสังหารตายไปสี่คนรวมทั้งเฉินจิ้งเฉวียนด้วย ส่วนหลวงจีนหลู่หมิงฉู่นั้นเขาได้ปล่อยให้กลับลงเขาไป แต่ก็ได้จับตัวมือกระบี่ตี๋ัยั่วถังแห่งสำนักกระบี่เทียนซานไว้..
โจวเหวินอี้ถึงกับอึ้งไปเล็กน้อยแต่หลังจากที่นิ่งไปราวสองวินาที เขาก็ถามขึ้นว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าขอถามสหายน้อยว่าเวลานี้ยอดฝีมือทั้งหกคนเป็นเช่นใดบ้าง”
หลิงหยุนเหลือบมองหลิงลี่ก่อนจะตอบโจวเหวินอี้ไปตามตรง“นักบวชเลี่ยหั่วแห่งเขาหลงหู่ และมือกระบี่จื่อยู่วแห่งสำนักกระบี่คุนหลุน ถูกข้าสังหารตายทั้งคู่”
“ส่วนไต้ซือจื้อกงแห่งวัดเส้าหลินนั้นได้ถ่ายเทลมปราณทั้งหมดของตนให้แก่เฉินจิ้งเฉวียน เพื่อช่วยให้เขาได้กลายร่างเป็นปีศาจก่อนจะสิ้นใจตายในที่สุด ส่วนปีศาจเฉินจิ้งเฉวียนก็ได้ถูกข้าสังหารตายเช่นกัน..”
“แต่ข้าได้ปล่อยไต้ซือหลู่หมิงฉู่กลับลงเขาไปหลังจากที่ได้แพ้การประลองให้กับข้าเพราะเขามาประลองเพียงเพื่อตอบแทนบุญคุณตระกูลซันเท่านั้น!”
ในการประลองคืนนั้น..หลิงหยุนได้สังหารผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ตายจนเกือบหมด จะมีก็เพียงหลวงจีนหลู่หมิงฉู่ ยอดฝีมือตระกูลไป๋หลี่จากทะเลจีนตะวันออก และตี๋ยั่วถังเท่านั้นที่่ล่วงรู้เหตุการณ์ทั้งหมดในคืนนั้น..
และหลังจากที่ตระกูลไป๋หลี่พ่ายแพ้ให้แก่หลิงหยุนก็ได้เดินทางกลับในคืนนั้นทันที ส่วนหลวงจีนหลู่หมิงฉู่ก็ยังไม่ปรากฏตัว และตี๋ยั่วถังก็ถูกหลิงหยุนจับตัวไว้ ดังนั้นเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในคืนวันประลอง นอกจากคนตระกูลหลิงแล้ว ก็มีเพียงแค่ตระกูลเย่กับตระกูลหลงเท่านั้นที่รู้..
แต่ถึงแม้จะไม่ล่วงรู้รายละเอียดทั้งหมดแต่ชัยชนะในครั้งนี้ของตระกูลหลิง ก็ได้ทำให้เหล่าตระกูลเล็กๆในโลกปัจจุบัน หรือแม้กระทั่งเหล่ายอดฝีมือในยุทธภพนั้น ไม่มีผู้ใดกล้าที่จะทำให้ตระกูลหลิงขุ่นเคืองใจอีกเลย..
แต่โจวเหวินอี้นั้นแตกต่างกัน..เขาเป็นหนึ่งในหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา แน่นอนว่าหลวงจีนหลู่หมิงฉู่ย่อมต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้โจวเหวินอี้ฟังอย่างละเอียด.. แต่เรื่องที่ตี๋ยั่วถังถูกหลิงหยุนจับตัวไว้นั้นเป็นตระกูลหลงที่แจ้งให้กับหน่วยนภารู้ และฐานะของตี๋ยั่วถังนั้นก็ไม่ธรรมดา เพราะเขาคือคนของสำนักกระบี่เทียนซันที่แข็งแกร่ง..
หลังจากที่ได้รับรายงานเรื่องนี้จากหลงเทียนซิงโจวเหวินอี้ก็ใคร่ครวญซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในที่สุดก็ตัดสินใจมาที่บ้านตระกูลหลิงด้วยตัวเองในวันนี้
ยอดฝีมือของหน่วยนภาเข้าร่วมการประลองถึงหกคนแต่หลิงหยุนกลับพูดถึงเพียงแค่ห้าคน แล้วก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น โจวเหวินอี้จึงได้แต่ยิ้ม และยกถ้วยชาตรงหน้าขึ้นดื่มก่อนจะถามขึ้นว่า..
“แล้วตี๋ยั่วถังเล่า”
“เหตุใดอาวุโสยังต้องถามข้าด้วยเล่า”
หลิงหยุนวางถ้วยน้ำชาลงพร้อมกับพูดยิ้ม“ในเมื่ออาวุโสอยู่ที่นี่แล้ว จิตหยั่งรู้ก็คงจะสำรวจพบแล้วว่า เวลานี้ตี๋ยั่วถังถูกขังไว้ในคุกใต้ดินตระกูลหลิง!” บรรยากาศในการเจรจาเริ่มเปลี่ยนเป็นตึงเครียดและกระอักกระอ่วนมากขึ้น..
หลิงลี่ที่นั่งนิ่งมานานในที่สุดก็พูดขึ้นว่า“ท่านโจว.. ดื่มชาก่อน มีอะไรก็ค่อยๆเจรจากัน!”
โจวเหวินอี้โบกมือไปมาพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ตี๋ยั่วถังผู้นี้เป็นคนของสำนักบ่มเพาะพลังที่แข็งแกร่ง สหายน้อยหลิงหยุน.. เห็นแก่หน่วยนภา เจ้าปล่อยคนผู้นี้ไปจะได้หรือไม่ เพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายที่จะกระทบต่อหน่วยนภา และยุทธภพในวันข้างหน้า!”
“แล้วเรื่องที่เจ้าสังหารคนของหน่วยนภาข้าก็จะไม่เอาเรื่อง..”
ในที่สุดโจวเหวินอี้ก็เสนอเงื่อนไขให้หลิงหยุนและเริ่มเจรจาเรื่องที่ตนมาในวันนี้..
โจวเหวินอี้รู้ว่าหลิงหยุนเป็นคนเฉลียวฉลาดอีกทั้งยังทรนงไม่อ่อนข้อให้ผู้ใด จึงคิดว่าการเจรจากับหลิงหยุนไปตรงๆน่าจะเป็นการดีกว่า “ไม่ได้!”
หลิงหยุนปฏิเสธข้อเสนอของโจวเหวินอี้ในทันทีและไม่เปิดช่องให้อีกฝ่ายได้ต่อรองเลยแม้แต่น้อย..
จากนั้นหลิงหยุนจึงอธิบายต่อทันที“อาวุโส.. หากผู้ที่ข้าจับตัวมาเป็นคนอื่น ข้าจะมอบตัวเขาให้กับท่านทันทีโดยไม่ต้องให้ท่านเอ่ยปากพูดเสียด้วยซ้ำ!”
“แต่สำหรับตี๋ยั่วถังผู้นี้..ข้ามอบให้ท่านไม่ได้จริงๆ!”
“เพราะเหตุใด!”
“หรือเพียงเพราะว่าเขาคือคนของสำนักกระบี่เทียนซานงั้นรึ!”
หลิงหยุนอธิบายให้โจวเหวินอี้ฟังอย่างตรงไปตรงมา“อาวุโส.. ท่านเป็นถึงหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา ย่อมต้องรู้เรื่องราวระหว่างตระกูลฉิน ตระกูลหนิง และสำนักกระบี่เทียนซานเมื่อสิบแปดปีก่อนดี!”
โจวเหวินอี้ถึงกับถอนหายใจ..เพราะสิ่งที่เขากังวลใจก็กำลังจะเกิดขึ้นจริงๆ!
แน่นอนว่าโจวเหวินอี้ย่อมรู้เรื่องราวในโลกยุทธภพเมื่อสิบแปดปีก่อนเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นเรื่องระหว่างหลิงเสี่ยวกับธิดาพรรคมารเย่ชิงเฉวียน หรือเรื่องระหว่างตระกูลฉินกับตระกูลหนิง
โจวเหวินอี้พยักหน้าพร้อมตอบกลับไปเช่นกัน“ข้าย่อมรู้..”
“เมื่อครู่อาวุโสถามข้าว่า..ข้ามาจากที่ใดใช่หรือไม่”
“ข้าหลิงหยุนเป็นลูกหลานตระกูลหลิงแต่ผู้ที่เลี้ยงดูข้ามาจนเติบใหญ่ก็คือนางฉินจิวยื่อท่านแม่ของข้าเอง!”
ครั้งนี้แม้จะอยู่ต่อหน้าหลิงลี่..หลิงหยุนก็ยังจงใจเรียกฉินจิวยื่อว่า ‘ท่านแม่’ แทนที่จะเรียกแม่บุญธรรม!
“ท่านแม่เลี้ยงดูข้ามาอย่างยากลำบากตลอดสิบแปดปีบุญคุณที่ท่านแม่เลี้ยงดูจนเติบใหญ่นี้ ข้าหลิงหยุนย่อมต้องตอบแทน!” “และศัตรูของท่านแม่ก็เสมือนศัตรูของข้า – หลิงหยุนด้วยเช่นกัน!”
“หากไม่ใช่เพราะเรื่องของท่านแม่ตี๋ยั่วถังก็ต้องถูกข้าสังหารตายไปแล้วเช่นกัน..”
ประโยคต่อไปของหลิงหยุนนั้นได้แสดงท่าทีของตนเองออกมาอย่างชัดเจน “ในเมื่อข้าสามารถจับตัวตี๋ยั่วถังได้เช่นนี้.. ขอถามอาวุโสว่า.. ข้าควรจะปล่อยตัวเขาเพียงแค่คำพูดของท่านไม่กี่ประโยคอย่างนั้นรึ”
สายตาของหลิงหยุนเต็มไปด้วยความเย็นชาและคำพูดก็คมบาดใจ ทำให้โจวเหวินอี้ถึงกับวางตัวลำบาก..
“แต่ผู้ที่ควรจะต้องรับผิดชอบในเรื่องนี้ทั้งหมดควรจะต้องเป็นตี๋เสี่ยวเจินไม่ใช่ตี๋ยั่วถัง..”
โจวเหวินอี้ยังไม่ยอมแพ้..
“ตี๋ยั่วถังก็ต้องรับผิดชอบด้วยเช่นกัน!”
หลิงหยุนพูดแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา“และไม่เพียงแค่ตี๋ยั่วถังเท่านั้น แต่สำนักกระบี่เทียนซานทั้งหมดจะต้องร่วมรับผิดชอบในเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน!”
“สำนักกระบี่เทียนซานจะต้องชดใช้ให้กับความขมขื่นของท่านแม่ข้าที่ได้รับมาตลอดหลายปีนี้!”
จากนั้นหลิงหยุนก็ผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีและไม่ต้องการที่จะเจรจาในเรื่องนี้ต่ออีก!