บทที่ 857 การแต่งงานของอาอวี่

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ

องค์ชายวายร้ายอยากเป็นพ่อ บทที่ 857 การแต่งงานของอาอวี่

“ไม้ผุ!” พอพูดไม่ไหวฉีเฟยอวิ๋นเฟิงอู๋ชิงก็หันหลังจากไป เมื่อเขาไปแล้วฉีเฟยอวิ๋นถึงได้หน้าตาเคร่งขรึมขึ้นมา

“ท่านอ๋อง ท่านคิดสิ่งใดอยู่?” ฉีเฟยอวิ๋นถาม

“สิ่งที่ข้าคิดก็คือสิ่งที่อวิ๋นอวิ๋นคิด” มีหรือที่หนานกงเย่จะไม่เข้าใจในสิ่งที่ฉีเฟยอวิ๋นคิด

เฟิงอู๋ชิงไม่ใช่คนที่พูดจาไร้สาระ สามารถกล่าวคำพูดถึงองค์รัชทายาทออกมาได้แสดงว่าปีกใต้ได้ตัดสินใจแน่แล้ว รวมถึงจักรพรรดิแห่งปีกใต้ได้เดินทางเป็นพันลี้มายังเมืองต้าเหลียงต้องเพื่อสิ่งใดเป็นแน่

และเพื่อสิ่งใดนั้นก็สามารถคาดคิดได้

ทั้งสองคนสงบเงียบลงจากนั้นหนานกงเย่ก็กล่าวว่า: “ข้าไม่เห็นด้วยที่จะให้อวิ๋นอวิ๋นไปเป็นองค์รัชทายาทเป็นแน่ ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงขึ้นคลองบัลลังเป็นจักรพรรดิ”

“ปีกใต้นั้นพูดง่ายประคับประคองซูมู่หรงขึ้นคลองบัลลังก์จักรพรรดิไม่ใช่เรื่องยากแต่ว่าท่านอ๋องเคยคิดหรือไม่ ว่าตอนนี้จักรพรรดินีแห่งแคว้นเฟิ่งมีข้าเพียงผู้เดียวและจนถึงตอนนี้จักรพรรดินีก็ไม่มีความเคลื่อนไหว เมื่อถึงเวลานั้นจะทำเช่นไร?”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่ได้กังวลทางปีกใต้มากนักแต่นางกลับเป็นห่วงแคว้นเฟิ่ง

เช่นไรจักรพรรดินีแห่งแคว้นเฟิงก็ดูไม่น่าเชื่อถือนัก ออกมาครั้งหนึ่งก็เป็นเวลาหลายเดือน ฉีเฟยอวิ๋นยังนึกว่ากลับไปตั้งนานแล้ว แต่ว่านางเพิ่งจากไปตอนนี้แล้วยังบอกว่าจะเดินทางไปเที่ยวดูภูเขาและแม่น้ำ

จักรพรรดินีซึ่งไม่สนใจบ้านเมืองเช่นนี้เกรงว่าแคว้นเฟิ่งใช้เวลาไม่นานเท่าใดก็ต้องมาตามหานางเสียแล้ว

ใครให้นางเป็นองค์รัชทายาท!

หากว่าจักรพรรดินียืนยันที่จะไม่กลับไป ผู้ที่โชคร้ายก็คือองค์รัชทายาท

หนานกงเย่วางเจ้าห้าซึ่งกำลังนอนหลับอยู่ลง: “เมื่อก่อนวิตกกังวลว่าแคว้นอื่นๆหลายๆแคว้นจะบุกเมืองต้าเหลียงแต่ตอนนี้ไม่ต้องเป็นกังวลแล้ว แต่พวกเขาจ้องราวกับเสือเพื่อแย่งชิงพระชายาของข้าไป ข้าสังหารไม่ได้ต่อสู้ก็ไม่ได้ คงจะดีกว่าหากพวกเขาบุกรุกเมืองต้าเหลียงข้าจะได้ทำลายล้างและกวาดล้างให้สิ้นซาก”

ฉีเฟยอวิ๋นกอดเจ้าห้าเอาไว้แล้วตบเบาๆ: “สิ่งที่ท่านอ๋องคิดใช่ว่าจะเป็นเรื่องที่ดี แม้ว่าท่านผู้เดียวจะสามารถแบกรับใต้หล้าได้ แต่หากว่าเป็นข้าข้าจะไม่ทำเช่นนั้นเป็นแน่

ใต้หล้าของท่านอ๋องจะใหญ่สักเท่าใดชีวิตคนก็เพียงแค่ชาติเดียว ระยะเวลาอันสั้นไม่กี่สิบปีก็ยังคงต้องกลบอยู่ใต้ดิน หลายร้อยหลายพันปีหลังจากนี้ก็เป็นกองกระดูกอันแห้งเหี่ยว”

หนานกงเย่นอนลง: ข้ากล่าวไปงั้นๆ หากว่าไม่มีอวิ๋นอวิ๋นบางทีอาจจะทำเช่นนั้นและตอนนี้ข้าก็ไม่มีความคิดเช่นนั้นแล้ว”

ฉีเฟยอวิ๋นประหลาดใจ: “เหตุใดหล่ะ?”

“จะเป็นสิ่งใดได้อวิ๋นอวิ๋นก็รู้ดีอยู่แล้ว อวิ๋นอวิ๋นผู้เดียวเหยียบแผ่นดินเกิดสองแคว้นจะทำลายบ้านเมืองใดก็ไม่เหมาะ ส่วนเมืองอู๋โยวนั้นข้าใส่ใจเมื่อใดกัน?”

“ท่านอ๋อง ท่านต้องการแย่งชิงใต้หล้าเพื่อสิ่งใด?”

“เป็นเมืองต้าเหลียงทั่วทุกสารทิศเมืองต้าเหลียงนั้นยากจนเกินไป ข้าไร้หนทางปกครองบ้านเมืองนี้จึงต้องคิดหาวิธีการอื่น หากว่าไม่มีเมืองอู๋โยวข้าก็สามารถรวมสองแคว้นเข้าด้วยกัน แม้ว่าจะยากลำบากชั่วคราว แต่พอเวลานานไปหลังจากนั้นเป็นระยะเวลาสิบกว่าปีก็ไม่เป็นไรแล้ว”

“แต่ต่อมาท่านอ๋องก็ยอมแพ้แล้วราวกับว่าไม่รู้ว่าข้าเป็นผู้ที่เหยียบเรือสองแคม!”

ฉีเฟยอวิ๋นท่าทีพึงพอใจส่วนหนานกงเย่เหลือบมองฉีเฟยอวิ๋นอย่างโกรธเคือง: “คำพูดดีๆประโยคหนึ่งถูกอวิ๋นอวิ๋นกล่าวได้ไม่น่าฟังเช่นนี้”

ฉีเฟยอวิ๋นไม่เห็นด้วย: “คำพูดที่ไม่น่าฟังเกรงว่าท่านอ๋องนั้นยังไม่เคยได้ยิน”

หนานกงเย่มิได้เห็นด้วยเพียงแค่กล่าวว่า: “ขณะที่ข้าโจมตีเมืองอู๋โยวเคยคิดว่าจะไม่คืนมันกลับไป เช่นไรสงครามระหว่างสองแคว้นไร้ซึ่งความเมตตาและความชอบธรรม เพียงแค่ข้าสังหารจวินโม่ซ่างก็จะไม่มีผู้ใดรู้ว่าข้าเคยสัญญาสิ่งใด ข้าไม่ปรารถนาให้อวิ๋นอวิ๋นดูถูกข้า

อวิ๋นอวิ๋นแตกต่างไปจากผู้คนทั่วไปซึ่งมีการชั่งวัดอยู่ในใจ ข้ามีค่าหรือไม่มิใช่แลกเปลี่ยนมาในชั่วข้ามคืนแต่แลกเปลี่ยนมาตามกาลเวลา

เริ่มแรกอวิ๋นอวิ๋นก็รังเกียจข้าเช่นนั้นข้าทำสิ่งต่างๆในทุกๆวันโดยที่ไม่สามารถปล่อยวางได้ราวกับเดินอยู่บนน้ำแข็งอันเปราะบาง และในที่สุดก็ค้นพบหนทางทางหนึ่งเข้า”

“โอ้?”

ฉีเฟยอวิ๋นหน้าตาประหลาดใจ เหตุใดนางจะไม่รู้

“เพียงแต่หากว่าเป็นเรื่องดีอวิ๋นอวิ๋นก็ชอบทั้งสิ้นแต่หากว่าเป็นเรื่องไม่ดีอวิ๋นอวิ๋นก็ไม่ชอบทั้งนั้น” หนานกงเย่กล่าวอย่างไม่พอใจนักและเหลือบมองบนให้ฉีเฟยอวิ๋นราวกับว่าฉีเฟยอวิ๋นทำเสียเรื่องมากมาย

ฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกไม่เป็นธรรมยิ่งนัก

“ข้าไม่ได้ขอให้ท่านอ๋องทำเช่นนั้น”

“เจ้าไม่ได้ขอให้ข้าทำเช่นนั้นข้าเต็มใจเอง”

“เช่นนั้นท่านอ๋องมีความสามารถกวาดล้างทั่วทุกสารทิศได้จริงหรือ?” ฉีเฟยอวิ๋นรู้ว่าหนานกงเย่มีกำลังความสามารถของเขาแต่การที่จะบอกว่ากวาดล้างทั่วทุกสารทิศนั้นไร้เงินและไร้ซึ่งคนมากมายเช่นนั้น เมืองต้าเหลียงยากจนและอีกสามแคว้นนั้นบ้านเมืองมั่งคั่งประชาราษฎร์เข้มแข็งมากกว่าเมืองต้าเหลียงและกำลังทหารก็แข็งแกร่ง กำลังความสามารถนั้นมาจากที่ใดกัน?

“หากว่าข้านึกถึงทหารขึ้นมาก็ย่อมมีหนทาง” หนานกงเย่หน้าตามั่นใจ

ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิด: “หากว่าท่านอ๋องยกกำลังทหารไปจริงๆ จะโจมตีแคว้นใดก่อน?”

หนานกงเย่แววตาเย็นชาแล้วค่อยๆลืมตาขึ้นมองฉีเฟยอวิ๋น: “อวิ๋นอวิ๋นคิดว่าอย่างไรหล่ะ?”

ฉีเฟยอวิ๋นครุ่นคิดอย่างรอบคอบครู่หนึ่ง: “มองตามสถานการณ์ในตอนนี้ท่านอ๋องจะโจมตีเมืองอู๋โยวก่อน แต่เมืองอู๋โยวเป็นพันธมิตรเราท่านอ๋องเคยลงมือโจมตีครั้งหนึ่งพวกเขาก็กลายเป็นผู้พ่ายแพ้ภายใต้เรา ดังนั้นหากว่าจะยกทัพท่านอ๋องจะไม่โจมตีเมืองอู๋โยวก่อนแต่ว่าจะโจมตีแคว้นเฟิ่งหรือปีกใต้นั้นไม่รู้ได้ น่าจะเป็นแคว้นเฟิ่งกระมัง ปีกใต้รับมือได้ยากกว่าถึงจะถูก”

“แม้ว่าจวินโม่ซ่างแห่งเมืองอู๋โยวจะมีความกล้าแต่เขาไร้ซึ่งจิตวิญญาณ ข้าไม่ได้เห็นเขาอยู่ในสายตาดังนั้นจึงต้องทิ้งเขาไว้รบทีหลังและเป็นลำดับสุดท้าย แม้ว่าแคว้นเฟิ่งจะรบได้ง่ายแต่ข้าก็ไม่กลัวแคว้นเฟิ่ง เช่นไรสตรีก็เทียบกับบุรุษไม่ได้ หากว่าสามารถเอาชนะปีกใต้ได้แคว้นเฟิ่งไม่ข้าก็เร็วก็จะยอมจำนนและแคว้นเฟิ่งก็จะไม่มีทางยื่นมือช่วยเหลือปีกใต้ ซึ่งข้าไม่ต้องกังวลว่าแคว้นเฟิ่งจะร่วมมือกับปีกใต้

หากว่าโจมตีแคว้นเฟิ่งก่อนจะทำให้อีกสองแคว้นตัดสินใจได้อย่างรวดเร็วในการที่จะช่วยเหลือพวกเขา

หากว่าเมืองอู๋โยวและปีกใต้ดึงสายตาไปไว้ที่แคว้นเฟิ่งแล้วหล่ะก็แม้ว่าจะทำการณ์ได้สำเร็จจักรพรรดินีก็จะไม่รับปากสิ่งใด แต่หากเสนอเรื่องการสู่ขอก็จะรับปาก

เมื่อเป็นเช่นนั้น สถานการณ์ในตอนนั้นก็จะไม่สามารถควบคุมได้ ”

“ความทะเยอทะยานของท่านอ๋องนั้นใหญ่หลวงนักคิดที่จะกลืนความสมบูรณ์ในคำเดียว หากว่าสามารถรบชนะปีกใต้ได้จริงๆ เมืองอู๋โยวนั้นก็เคยเอาชนะได้ เมืองต้าเหลียงก็จะกลายเป็นเมืองที่มีอำนาจที่สุด เช่นนั้นแคว้นเฟิ่งและเมืองอู๋โยวก็จะไม่สู้รบเป็นแน่แต่กลับจะเข้าใกล้เข้ามา แต่เมื่อถึงเวลานั้นเมืองต้าเหลียงก็จะไม่สนใจพวกเขาแล้วจะเข้าใกล้หรือไม่ก็ต้องรบกัน”

“……”หนานกงเย่หลับตา: “หากว่าอวิ๋นอวิ๋นมิใช่ผู้หญิงของข้าคนนี้ หากอวิ๋นอวิ๋นมิใช่สตรีข้าคงสังหารอวิ๋นอวิ๋นไปแล้วและจะไม่มีวันใจอ่อน”

“……น่าเสียดายแล้ว ข้าเป็นสตรีงแล้วยังเป็นของท่านอีกด้วย”

หลังจากพักผ่อนสองสามวันฉีเฟยอวิ๋นรู้สึกว่าสบายดีแล้วจึงได้ออกจากสถานพยาบาล ในเวลานี้ผู้หญิงในสถานพยาบาลก็สบายดีจนสามารถลงจากเตียงได้แล้ว เมื่อรู้ว่าฉีเฟยอวิ๋นจะจากไปก็วิ่งมาขอบคุณฉีเฟยอวิ๋นพร้อมกับร้องห่มร้องไห้ด้วยความเสียใจยิ่งนัก

ฉีเฟยอวิ๋นมองอีกฝ่ายแล้วก็เพียงแค่ถอนหายใจ เทียบกับนางฉีเฟยอวิ๋นนั้นมีความสุขมากกว่ามาก มารอบหนึ่งก็นับว่าคุ้มค่า

กลับไปถึงจวนอ๋องเย่ฉีเฟยอวิ๋นพักผ่อนแล้วหนึ่งวันจากนั้นต้องจัดการเรื่องเรือนของอาอวี่ ฉีเฟยอวิ๋นเรียกอาอวี่มาแล้วถามว่ามีที่ใดที่เขาชื่นชอบหรือไม่จะได้จัดการให้เขาได้

“ข้าอยากอาศัยอยู่ในจวน” อาอวี่รู้ว่าเรื่องนี้ไม่เหมาะแต่เขาก็ต้องการ

ฉีเฟยอวิ๋นตบเจ้าห้าเบาๆอย่างเป็นห่วง เด็กคนนี้ไม่กินไม่ดื่มตลอดจะทำเช่นไรดี?

“อาศัยอยู่ในจวนไม่ได้เป็นแน่ แม้ว่าตงเอ๋อร์จะเป็นสาวใช้ข้างกายฮองเฮาแต่นางเป็นองครักษ์แล้วยังเป็นรองแม่ทัพด้วย ตอนนี้ได้เข้าวังกับฮองเฮาและยังได้รับพระราชทาน เจ้าจำเป็นต้องมีจวนของตนเองลำพัง จวนอ๋องเย่ไม่ได้มีมากมายนักเรื่องเรือนนั้นจะจัดการให้เจ้า เจ้าชื่นชอบที่ใดก็จะจัดการให้เจ้า” ฉีเฟยอวิ๋นกล่าวเสียงเบา

“ข้าไม่อยากออกไป” อาอวี่ดื้อดึง

ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่พอใจ: “เหตุใดเจ้าถึงไม่ออกไป อวิ๋นจิ่นออกเรือนยังต้องออกไป เจ้าเก่งกาจกว่าอวิ๋นจิ่นหรือ?”

“ไม่ได้เก่งกาจกว่าอวิ๋นจิ่นแต่ข้าก็จะไม่ออกไป ออกจากจวนข้าไม่คุ้นชิน” อาอวี่ก้มหน้าลงด้วยหน้าตาอันเศร้าเสียใจ

“เรื่องที่เจ้าพอใจนั้นมีมากมายยังจะให้เจ้าพอใจทั้งหมดรึ เจ้าพอใจทุกสิ่งแล้วจะมีข้าไว้ทำไม? ตงเอ๋อร์กำลังจะออกเรือนหากว่าแม้แต่เรือนเจ้าก็ไม่ได้เตรียมให้เจ้าไม่กลัวจะถูกหัวเราะเยาะหรือ อาอวี่เจ้าโชคดีเช่นนี้ยังไม่รู้ว่าอยู่ท่ามกลางความโชคดีแล้วยังไม่รู้ถึงความโชคดีอีก?”

ฉีเฟยอวิ๋นเงยหน้าขึ้นมองหน้าตาอันไร้เดียงสาของอาอวี่ จะกล่าวเช่นไรดีหล่ะ?