บทที่ 2011 – พัฒนาแสงขุมปราณพุทธองค์ พลังที่ได้มาโดยบังเอิญ
ชิงสุ่ยครอบครองพลังที่แข็งแกร่งรวมถึงร่างกายที่เหนือมนุษย์ ทำให้พลังปราณกระบี่ที่ผันผวนอยู่รอบตัวของเขาไม่สามารถทะลวงผ่านเกราะปราการฉันแรกของร่างกายไปได้ ในแง่ของความแข็งแกร่ง ชิงสุ่ยแทบไม่จำเป็นต้องปกป้องร่างกายตัวเองเลย
ชิงสุ่ยยื่นนิ้วชี้ออกมา จากนั้นร่างของเขาก็เคลื่อนไหวพริบตา นิ้วมือกลายเป็นกระบี่ยาวปักเข้าข้างหน้าอกคู่ต่อสู้
ซือเฉิงเย่หยางถ่มเลือกคำโตออกมา การโจมตีจากนิ้วมือเพียงแค่นิ้วเดียวทำให้อวัยวะภายในของเขาบาดเจ็บสาหัส เมื่อนิ้วมือกดลงบนจุดชีพจรจุดสำคัญ ผสมกับพลังหยางที่รุนแรงจากตัวของชิงสุ่ย มันรุนแรงยิ่งกว่าพลังปราณกระบี่มหาศาลที่ซือเฉิงเย่หยางพยายามปลดปล่อยออกมาหลายเท่าตัว
ชิงสุ่ยเองก็รู้สึกเกลียดซือเฉิงเย่หยางก่อนหน้านี้เขาเองก็ได้ยินคำพูดที่น่าหงุดหงิดใจตั้งแต่ตอนอยู่ข้างนอก ผนวกกับซือเฉิงเย่หยางคือศัตรูของเทียนฮี่เรินโม่ ในอนาคตทั้งสองคนจะต้องเผชิญหน้ากันในฐานะศัตรู นั่นก็หมายความว่าการต่อสู้ที่เกิดขึ้นชิงสุ่ยไม่จำเป็นต้องยังมือใดๆทั้งสิ้น
ในหัวของซือเฉิงเย่หยางเหลือแค่เพียงความว่างเปล่า สิ่งเดียวที่เขารู้สึกได้คือคำพูดที่ว่า “เดี๋ยวข้าจะให้บทท่าน แกล้งเสแสร้งกระอักเลือดก่อนถูกโยนลงจากลานประลอง”คำพูดที่ว่าดังก้องอยู่ในหัวของเขาตลอดเวลา
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครกล้าขึ้นไปบนลานประลองอีกเลย ทุกคนตระหนักได้แล้วว่าชิงสุ่ยไม่ได้เป็นเพียงแค่หมอ แต่ยังเป็นยอดยุทธที่ไม่ธรรมดา
และที่ทำให้ทุกคนตระหนักได้ก็คือความพ่ายแพ้ของซือเฉิงเย่หยางที่เป็นถึงอัจฉริยะตระกูลซือเฉิง
ชิงสุ่ยหยุดมองซือเฉิงเย่หยาง ก่อนจะขยับสายตาไปหาเป่ยหมิงเสวี่ยเพราะรู้สึกได้ว่าเธอกำลังมองดูเขาอยู่ก่อนจะยิ้มและพยักหน้า “ยินดีที่ได้พบท่าน แม่นางเป่ยหมิง”
“ยินดีที่ได้พบท่านเช่นกัน ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆ”เป่ยหมิงเสวี่ยยิ้มกว้างขณะกล่าวทักทาย
อวี้ซีหยวนที่ยืนอยู่บนฐานลานประลองที่ห่างออกไปไม่ไกล จ้องมองทั้งสองคนด้วยความอยากรู้อยากเห็น และจากสัญชาตญาณของเธอ เธอรู้สึกได้หรือว่าทั้งสองคนเป็นเหมือนคนที่รู้จักกันแบบห่างเหิน
ในขณะเดียวกัน ฐานลานประลองสุดท้ายก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินตรงขึ้นไปยืนบนลานประลอง แน่นอนว่าชิงสุ่ยย่อมต้องไม่รู้จัก แต่เป่ยหมิงเสวี่ยก็ช่วยอธิบายว่าชายคนนี้มาจากตระกูลโซว่
เมื่อได้ยินคำแนะนำ ชิงสุ่ยก็ตระหนักได้ทันทีว่าพวกเขาจะต้องเป็นตระกูลโซว่จากเมืองเมืองต้าฉาง ที่เขาเคยไปมีความขัดแย้งเล็กน้อยเมื่อในอดีต นั่นก็หมายความว่าตอนนี้ทั้ง 10 ฐานลานประลองมีผู้ปกครองจนครบถ้วนหมดทุกที่ เป็นธรรมดาที่ผู้ไม่ได้รับเลือกย่อมต้องรู้สึกเสียใจ แต่พวกเขาก็ทำอะไรไม่ได้ โลกใบนี้ทุกอย่างยืนอยู่ด้วยพละกำลัง ใครที่มีความแข็งแกร่งกว่าย่อมถูกเสมอ
หลังจากทุกอย่างหยุดนิ่งเป็นเวลา 1 ก้านธูป อักขระที่อยู่บนฐานลานประลองก็เริ่มส่องแสงสว่าง นำทางยอดยุทธทั้ง 10 คนหายไป
คนอื่นๆที่เฝ้าอยู่ด้านล่างฐานลานประลอง เริ่มนำทีมของตนเองกระจายออกไปตามหาสมบัติที่อยู่บริเวณโดยรอบ ภายในดินแดนแห่งปราณจิตมีเพียงแค่ 10 คนเท่านั้นที่ได้รับเลือก ส่วนคนอื่นๆตอนนี้ได้แต่ฝันแต่พวกเขาก็ไม่เคยคิดละทิ้งความฝัน
……..
ชิงสุ่ยรีบตั้งสติ ก่อนจะรู้ตัวว่าเขามาปรากฏตัวอยู่ในห้องแห่งหนึ่งของพระราชวัง สถานที่แห่งนี้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของอนุสรณ์สถานขนาดใหญ่ที่เคยตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลางที่เขาเห็นก่อนหน้า ในขณะเดียวกันอีก 10 คนก็ยืนอยู่ร่วมกับเขา พื้นที่ทั้งหมดดูโลกแล้วว่างเปล่า ภายในตกแต่งด้วยรูปปั้นพระพุทธรูปสีทอง
แม้ว่าพระพุทธรูปจะมีขนาดเล็กแต่ก็ยังใหญ่กว่าตัวมนุษย์ แต่ละองค์สูงประมาณ 3 เมตรกว้าง 2 เมตร ให้ความรู้สึกหนักอึ้งและยังส่องประกายแสงแห่งพุทธองค์สีทองสดใส คนอื่นๆกำลังมองดูรูปปั้นทั้งหมดด้วยความใจเย็น ซึ่งแตกต่างจากชิงสุ่ยที่กำลังยืนแข็งทื่อด้วยความตกใจ
แสงขุมปราณพุทธองค์ทั่วร่างกายของเขากำลังส่องแสงเชื่อมโยงกับรูปปั้นทั้งหมดที่อยู่รอบข้าง พลังปราณที่อยู่ภายในตัวรูปปั้นกำลังเพิ่มพูนพละกำลังของเขาอย่างต่อเนื่อง ชิงสุ่ยตื่นเต้นเป็นอย่างมาก เพราะพลังที่เขากำลังดูดซับมาเป็นพลังที่ผู้อื่นรอบข้างมองไม่เห็น และไม่มีใครคาดคิดถึงมัน
อาจเป็นเพราะว่าชิงสุ่ยเองก็ไม่รู้วิธีการพัฒนาแสงขุมปราณพุทธองค์ที่อยู่ในร่างกายจึงทำให้เขาค่อนข้างประหลาดใจ รูปปั้นแต่ละองค์เพิ่มพูนพลังปราณพุทธองค์ให้กับเขาถึง 20 ส่วน และเมื่อมีรูปปั้นพระพุทธองค์ทั้งหมด 10 องค์ นั่นก็หมายความว่าพลังของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2 เท่า
คนอื่นๆเดินวนรอบรูปปั้นพุทธองค์ พวกเขาต่างคาดหวังและรอคอยว่ารูปปั้นพุทธองค์จะมอบของขวัญให้กับทุกคนที่ได้เข้ามา ดุจพระเจ้าประทานพร
ก่อนที่จะนั่งลงรอคอย โดยธรรมดาแล้วชิงสุ่ยก็นั่งลงเหมือนกับคนอื่น เพียงแต่มีเขาแค่คนเดียวเท่านั้นที่มีพลังปราณสีทองไหลเข้าสู่ร่างกาย
เส้นพลังปราณจากรูปปั้นพุทธองค์ยังคงไหลเข้าสู่ร่างกายชิงสุ่ยอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งรูปปั้นสุดท้ายพลังงานแห้ง บางสิ่งบางอย่างก็เกิดขึ้นในจิตใจของเขา
ตราประทับแสงพุทธองค์ ตราประทับพุทธองค์วชิระ ตราประทับพุทธองค์เมธา
ตราประทับแสงพุทธองค์ คือพระหัตถ์พุทธองค์ขั้นสูงสุด ที่จะสร้างอาการมึนงงให้กับฝ่ายตรงข้าม แต่ระยะเวลาที่ศัตรูจิตใจล่องลอยนั้นจะขึ้นอยู่กับพลังของผู้ใช้เป็นส่วนหนึ่ง
ตราประทับพุทธองค์วชิระ คือพระหัตถ์พุทธองค์ขั้นสูงสุด ที่ช่วยเพิ่มพูนพลังปราการป้องกันกาย
ตราประทับพุทธองค์เมธา คือพระหัตถ์พุทธองค์ขั้นสูงสุด ที่จะช่วยลดพลังการโจมตีของศัตรูลงในจำนวนที่แน่นอน
ชิงสุ่ยมองดูไปรอบๆก่อนจะเผยรอยยิ้ม ก่อนที่ประตูถูกเปิดออกอย่างช้าๆ เผยให้เห็นแสงแดดที่ส่องเข้ามาภายใน ชิงสุ่ยเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าห้องแห่งนี้ถูกปิดตายไร้ซึ่งแสงสว่างแต่ข้างในกลับไม่ได้มืดเลย
“ชิงสุ่ย ออกไปข้างนอกกัน”อวี้ซีหยวนกล่าวกับชิงสุ่ยด้วยรอยยิ้ม
“อืม”
ในขณะเดียวกันเป่ยหมิงเสวี่ยก็เดินตรงมาหาเขาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “สภาพแวดล้อมภายนอกอาจเป็นไปด้วยภัยอันตราย ข้าคิดว่าการที่พวกเรารวมกลุ่มกันคงเป็นการดีที่สุด”
ชิงสุ่ยมองดูคนรอบข้างและเห็นว่าแต่ละคน มีกลุ่มนึง 3 คน กับอีกกลุ่มนึง 4 คน เขาจึงเริ่มคิดได้ว่า “หรือบางทีมันจะต้องมีการต่อสู้เกิดขึ้น?”
“ตกลง พวกเราออกไปกันเถอะ”ชิงสุ่ยยิ้มและก้าวเดินออกไปพร้อมกับหญิงสาวสองคน
ทันทีที่เดินออกจากประตู สภาพผิวทัศน์รอบข้างปกคลุมไปด้วยภูเขาใหญ่ หุบผามากมาย ยิ่งไปกว่านั้นทุกที่รถอุดมสมบูรณ์ไปด้วยป่า แม่น้ำ ทะเลสาบ และทุ่งหญ้าเหมือนภาพในฝัน
แสงขุมปราณพุทธองค์ตอนนี้ได้รับการพัฒนารวมไปทั้งหมดเกือบ 4 เท่า แม้ว่าตัวเขาจะไม่รู้ว่าเขาแข็งแกร่งมากเพียงใด แต่ด้วยพลังปราการป้องกันที่เขาครอบครอง เขาสามารถป้องกันพลังได้อย่างน้อย 7 พันล้านเต๋า ซึ่งเป็นระดับที่สูงกว่าคนทั่วไปพึงมี
ทุกอย่างเป็นไปได้ด้วยดี
ชิงสุ่ยไม่ได้กล่าวถามหญิงสาวทั้งสองคนว่าพวกเขาได้รับสมบัติสิ่งใด ซึ่งพวกเธอเองก็ไม่ได้ถามเขากลับ ถามหาสมบัติถือเป็นข้อห้ามในหมู่ยอดยุทธ ถ้าหากจะถามก็คงทำได้เฉพาะในบรรดาผองเพื่อนเท่านั้น