ภาคที่ 5 บทที่ 23 เดินทางผ่าน (2)

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 23 เดินทางผ่าน (2)

หากในสถานการณ์ปกติ คงยังพอเป็นไปได้ที่คนจากเผ่าหินผาในด่านทะลวงลมปราณจะสามารถเอาชนะมนุษย์ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณได้ แต่มันก็เท่านั้น

พละกำลังของพวกเขาคือร่างกายที่แข็งแกร่ง ในขณะที่จุดอ่อนก็คือความบกพร่องในการคิดวิเคราะห์และการใช้พลังต้นกำเนิด

ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณทั้งสี่ได้ก้าวข้ามขีดจำกัดที่ด่านทะลวงลมปราณจากเผ่าหินผาธรรมดาจะสามารถทำได้ไปแล้ว นอกจากนั้นหนึ่งในนั้นยังกลายร่างเป็นอสูรได้ซึ่งทำให้เขาแข็งแกร่งอย่างเหลือเชื่อ… สถานการณ์เช่นนี้แทบจะไม่มีโอกาสชนะเลยด้วยซ้ำ !

แต่กังเหยียนนั้นแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กังเหยียนได้ติดตามซูเฉินอย่างซื่อสัตย์ เขาคือคนที่เข้าใจซูเฉินดีที่สุดแล้วและยังเป็นคนที่ได้รับคำแนะนำจากซูเฉินมากที่สุดด้วย

ซูเฉินได้สอนทุกอย่างที่เขาสามารถสอนได้ให้กับกังเหยียนไปหมดแล้ว จะเหลือก็แต่วิชาบ่มเพาะพิสุทธิ์หรือวิชาสายเลือดต้นกำเนิดเท่านั้น อะไรที่คนอื่นมีกังเหยียนก็จะมีด้วย และอะไรที่คนอื่นไม่มีกังเหยียนก็จะมีเช่นกัน

การประลองครั้งนี้คือบททดสอบสำหรับกังเหยียน

กำปั้น นิ้วจ้วงแทง และหอกโจมตีมายังกังเหยียนอย่างไม่หยุดหย่อน พวกมันรายล้อมเขาด้วยเจตสังหารที่รุนแรง

เมื่อต้องเผชิญกับการโจมตีเหล่านี้ กังเหยียนก็โต้ตอบด้วยการแผดเสียงคำรามดังลั่น

“โฮก !”

ด้วยเสียงคำรามนั่น ร่างกายของกังเหยียนเริ่มขยายขนาดโตขึ้นพร้อมกับกล้ามที่พองตัวขึ้นเรื่อย ๆ

กังเหยียนผู้มีร่างค่อนข้างใหญ่เป็นทุนเดิมอยู่แล้วเริ่มจะตัวโตขึ้นอีกครั้งจนร่างกายของเขาเป็นมันเงาสีทองคำจาง ๆ

เกราะรบเหล็กกล้านั่นเอง !

นี่คือทักษะต้นกำเนิดที่ซูเฉินได้พัฒนาขึ้นมาขณะที่เขายังอยู่ในขั้นด่านก่อเกิดลมปราณ ในตอนนี้ซูเฉินได้ทอดทิ้งวิชานี้และไม่ได้มันในการต่อสู้มานานนมแล้ว แต่กังเหยียนยังคงใช้มันอยู่

และเพราะว่าเขาใช้มันมากที่สุด ทำให้เขาคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดีทีเดียว

ตู้ม !

กำปั้นแข็งแรงดั่งเหล็กกล้าปะทะเข้ากับปลายหอกที่ถูกห่อหุ้มด้วยงูหลามตัวยักษ์ หอกแหลมคมที่ทิ่มแทงเข้ามาถูกหยุดลงด้วยหมัดจนตัวหอกหักงอเสียรูปเดิมไป ต้องขอบคุณที่หอกเล่มนี้เป็นเครื่องมือต้นกำเนิด พลังที่พลุ่งพล่านนั้นจึงไม่สามารถทำลายมันลงได้เสียทีเดียว แต่ในจังหวะต่อมาพลังยืดหยุ่นที่กักเก็บอยู่ในหอกก็พลันไหลวนทำให้หอกคืนรูปกลับมาในสภาพตรงอีกครั้ง ทว่าผู้ใช้หอกนั่นกลับไม่สามารถควบคุมหอกในมือได้ มันจึงดีดตัวและกระแทกเข้าที่คางของเขาเต็มเปาจนร่างลอยขึ้นไปในอากาศ

ในขณะเดียวกัน เหล่ากำปั้นและมีดดาบก็เข้าถึงตัวของกังเหยียน แต่ราวกับปะทะเข้ากับเหล็กกล้าที่หนาเตอะ พวกมันกระเด็นออกไปคนละทิศละทาง

กังเหยียนนั้นดูไม่เป็นเดือดเป็นร้อนแต่อย่างใดและกลับหลังหัน คราวนี้เขาใช้มือฟาดลงบนข้อมือของชายคนหนึ่งที่แทงตนเอง

ดัชนีรอยสุริยาของผู้นี้ที่ปะทะเข้ากับกังเหยียนไร้ผลและไม่ระคายเคืองการป้องกันของชายร่างโตแม้แต่น้อย ก่อนที่หมัดหนักอึ้งของกังเหยียนจะฟาดเข้าที่ข้อมือของอีกฝ่าย ! ด้วยเสียง ‘กร๊อบ’ ดังลั่น ข้อมือของเขาแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยในทันที ทำให้เจ้าตัวหมุนหัวกลับมาและคำรามด้วยความเจ็บปวดทรมาน แต่ภายในพริบตาเดียวกังเหยียนพลันปล่อยหมัดเข้าไปที่หน้าอกย้ำอีกครา ทำให้เพื่อนมนุษย์ผู้โชคร้ายคนนี้ถูกส่งขึ้นไปในอากาศอีกครั้ง

เสียงดังปังสองเสียงดังขึ้นติดต่อกัน

ปีศาจหัววัวก้มหัวลงมาและแทงเขาทั้งสองข้างเข้าไปในหน้าอกของกังเหยียน

รอบนี้เขาทั้งสองข้างสามารถเจาะทะลวงเข้าไปได้สำเร็จ แต่พวกมันสามารถเข้าไปลึกแค่ข้อนิ้วเท่านั้นก่อนที่จะติดคาอยู่อย่างนั้น กังเหยียนสร้างเกราะขนาดใหญ่ขึ้นและกระแทกมันเข้ากับศีรษะของคนคนนั้น

เสียงเหล็กกระทบกันดังลั่น ปีศาจหัววัวถูกทุบจนแบนราบลงไปกับพื้นดิน กังเหยียนโซเซถอยออกมาเล็กน้อยโดยมีโลหิตพวยพุ่งออกมาจากหน้าอก แค่เพียงเวลาสั้น ๆ เท่านั้นก่อนที่เขาจะตาย รูสองรูนั้นพลันถูกอุดไว้และฟื้นฟูสภาพกลับมา

วิชากลืนสวรรค์

ในขณะเดียวกัน เลือดที่พวยพุ่งออกมาได้กลายเป็นชั้นเกราะป้องกันที่ห่อหุ้มทั้งร่างเอาไว้ ..พลังสายเลือดของลั่วโหยวเริ่มทำงานแล้ว

เมื่อของเหลวสีโลหิตนั่นผนวกเข้ากับเกราะรบเหล็กกล้าแล้ว วิชาการป้องกันของกังเหยียนก็เพิ่มสูงขึ้นในทันที

กังเหยียนโจมตีออกไปอีกครั้งทำให้กำปั้นของเขาปะทะเข้ากับมีด ในตอนนี้ผู้โจมตีอีกสองคนที่ลอยขึ้นไปในอากาศก็กลับมาแล้วเช่นกัน พวกเขาเข้าประกบกังเหยียนพร้อมกับอีกคนที่ใช้มีด ทั้งสองฝ่ายต่างก็เข้าไปพัวพันกับการต่อสู้บ้าระห่ำเข้าเสียแล้ว

ลีลาการสู้รบของกังเหยียนนั้นไม่ได้ซับซ้อนอะไร เขามักจะใช้แค่หมัดของเขาเท่านั้น และการใช้งานทักษะต้นกำเนิดของเขานั้นเรียบง่ายยิ่งกว่าเสียอีก ตั้งแต่บรรลุด่านก่อเกิดลมปราณเขาก็ใช้เพียงเกราะรบเหล็กกล้าและเกราะภูผาเหล็กเสมอ

ไม่ใช่เพราะเขาไม่สามารถเข้าถึงทักษะต้นกำเนิดที่ดีกว่านี้ได้ แต่เพราะไม่จำเป็นต้องใช้พวกมันต่างหาก !

กังเหยียนรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าตนนั้นไม่ใช่ซูเฉิน ไม่ได้หัวไวหรือหลักแหลมเท่าและไม่ได้มีความสามารถที่จะใช้กลอุบายอะไรได้มากมายนัก และตั้งแต่ที่ติดตามซูเฉินมาตลอดหลายปีนี้ เขาก็ไม่จำเป็นจะต้องครอบครองทักษะเหล่านั้นอยู่แล้ว การปรับตัวที่ว่องไวของเขานั้นอยู่ในระดับสุดยอดในขณะที่งานของเขานั้นแสนจะเรียบง่าย

นี่คือเหตุผลว่าทำไมกังเหยียนจึงเลือกเดินทางที่ง่ายที่สุดโดยพึ่งพาการโจมตีอย่างต่อเนื่องเพื่อลดทอนกำลังของคู่ต่อสู้และใช้แรงกายอันทรงพลังของตนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด

….หากเขาไม่ได้เป็นผู้โจมตีที่ดีที่สุด เขาก็จะเป็นเกราะที่แกร่งที่สุด !

ที่เป็นเส้นทางที่ต้องใช้ความทนทานและความยืดหยุ่นสูง มันต้องการความอดทนอดกลั้นและความสามารถในการรับความทุกข์ทรมานให้ได้ แต่ตราบใดที่ยังคงเดินบนเส้นทางนี้ต่อไป เขาก็จะสามารถทำให้กระทั่งทักษะต้นกำเนิดที่เรียบง่ายที่สุดให้เกิดผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมได้

สถานการณ์เช่นนี้เหมาะกับการใช้เกราะรบเหล็กกล้า เกราะภูผาเหล็ก และวิชากลืนสวรรค์ทีเดียว

ด้วยการควบคุมที่แน่วแน่ ทักษะต้นกำเนิดเหล่านี้ได้หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งกับร่างกายของกังเหยียนมาเป็นเวลานานแล้ว ทำให้พวกมันสามารถก้าวข้ามพลังของทักษะต้นกำเนิดอื่น ๆ ในประเภทเดียวกันไปได้

แม้กระทั่งซูเฉินผู้สร้างมันขึ้นมาเองยังไม่เชี่ยวชาญทักษะต้นกำเนิดอย่างกังเหยียนเลยด้วยซ้ำ และเช่นเดียวกัน แม้ว่าซูเฉินจะอารมณ์รุนแรงราวกับเผ่าคนเถื่อนและถือครองพลังกายอันแข็งแกร่ง แต่ความมั่นคงหนักแน่นของเขาก็ยังคงด้อยกว่ากังเหยียนอยู่

ในเชิงกายภาพแล้ว กังเหยียนนั้นเหนือกว่าใครทั้งสิ้น เขามีกำลังวังชามากกว่าเผ่าคนเถื่อนเสียด้วยซ้ำไป !

ในตอนที่ชายร่างโตเหวี่ยงหมัดผ่านอากาศออกไปอย่างบ้าคลั่งนั้น พลังต้นกำเนิดในร่างกายของเขาได้กลายเป็นพลังกายแทน เขากำลังต่อสู้ราวกับเผ่าคนเถื่อนจริง ๆ

แต่ข้อแตกต่างก็ยังคงมีอยู่

“ซื้ด !” ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณทั้งสี่สูดเอาลมเฮือกใหญ่เข้าไปและสร้างคลื่นพลังต้นกำเนิดมหึมาขึ้น

ในตอนนั้นเอง ทั้งสี่คนพลันเข้าโจมตีอย่างพร้อมเพรียงกันด้วยกำลังทั้งหมดที่มีรวมถึงพลังทั้งหมดที่แบ่งเก็บไว้ด้วยเช่นกัน

ใบหน้าขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของกังเหยียน

ใบหน้าของลั่วโหยว !

แม้ว่าทั้งกังเหยียนและซูเฉินจะใช้ยาต้นกำเนิดสายเลือดและลักษ์เลือดต้นกำเนิดเหมือนกัน ทว่าทั้งสองคนกลับมีวิธีการสำแดงอิทธิฤทธิ์ที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง

การสำแดงพลังของซูเฉินเป็นการสร้างภาพมนุษย์ขนาดมโหฬารซึ่งเป็นภาพจำลองของตัวเขาเองเพราะหัวใจของเขาคืออนาคตของมวลมนุษยชาติ ด้วยชายหนุ่มต้องการจะพัฒนาสายเลือดมนุษย์ให้แข็งแกร่งขึ้นโดยมีสายเลือดของลั่วโหยวเป็นส่วนหนึ่งของจุดเริ่มต้นและขุมพลัง ทำให้มันมอบพลังและทัศนวิสัยให้กับผู้ใช้ได้แต่ก็ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ !

ซึ่งเหตุที่เป็นเช่นนั้น ก็ด้วยเพราะซูเฉินคือผู้สร้างรูปแบบที่เสร็จสมบูรณ์แล้วออกมาซึ่งเต็มไปด้วยศักยภาพที่ซ่อนเร้นอยู่และสามารถใช้ออกมาในรูปแบบที่แตกต่างกันได้มากมาย

ส่วนฝ่ายกังเหยียนนั้นไม่ได้มีความสามารถในการจินตนาการอย่างซูเฉิน สิ่งเดียวที่เขาสามารถคิดได้คือการที่จะแข็งแกร่งขึ้นและปกป้องเจ้านายของตน ลั่วโหยวเป็นอสูรดึกดำบรรพ์ที่ทรงพลังอย่างน่าเหลือเชื่อ กังเหยียนนั้นพึงพอใจเป็นอย่างมากที่ได้ครอบครองแม้เพียงหนึ่งในพันของพลังดั้งเดิมที่ลั่วโหยวมี เขาจึงพยายามที่จะสานต่อพลังของลั่วโหยวไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง

ด้วยเหตุนี้เอง พลังลักษ์เลือดต้นกำเนิดของกังเหยียนจึงเป็นส่วนหนึ่งของลั่วโหยวเช่นกัน

ในตอนแรกเขาทำได้เพียงสร้างปากของลั่วโหยวขึ้นมา แต่ ณ ตอนนี้เขาสามารถทำได้กระทั่งแสดงใบหน้าของลั่วโหยวได้ทั้งใบ

ใบหน้านั้นมีขนาดหมึมาราวกับว่าจะครอบคลุมโลกทั้งใบและไม่มีทางเลยที่คนอื่น ๆ จะสามารถรู้ได้ว่าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่ สิ่งเดียวที่พวกเขาจะรู้ได้มีเพียงแค่ว่าสิ่งนี้นั้นปลดปล่อยรังสีพลังที่น่าเกรงขามออกมา

ด้วยปริมาณพลังที่มหาศาลถึงเพียงนี้ ร่างกายของกังเหยียนเริ่มที่จะขยายใหญ่ขึ้นและใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ ทุกหมัดที่เขาโจมตีออกไปเต็มไปด้วยพลังที่รุนแรงพอจะผ่าภูเขาออกเป็นสองส่วน หยาดเลือดทุกหยดที่ไหลรินออกมาจากบาดแผลบนร่างกายนั้นถูกควบคุมโดยพลังสายเลือดทำให้ผู้ใช้มีทั้งพลังป้องกันและขุมพลังงานที่ไร้ขีดจำกัด

สายเลือดของลั่วโหยวสามารถสร้างรูปลักษณ์ออกมาได้หลายรูปแบบ แค่ความสามารถในการควบคุมสายน้ำเพียงอย่างเดียวก็ให้ผู้ใช้วิชาสามารถพัฒนาทักษะต้นกำเนิดได้นับไม่ถ้วน

แต่กังเหยียนไม่ได้ต้องการสิ่งเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย

เขาต้องการเพียงแค่ใช้กลุ่มดาวปีศาจโลหิตเท่านั้น ด้วยการฝึกซ้ำ ๆ กังเหยียนจึงสามารถผนวกกำลังเข้ากับเกราะรบเหล็กกล้า เกราะภูผาเหล็ก และวิชากลืนสวรรค์เพื่อสร้างรูปแบบการต่อสู้ของตัวเองได้

รูปแบบการต่อสู้ที่ทั้งเรียบง่ายและมีเพียงมิติเดียวแต่ก็มีประสิทธิภาพอย่างถึงที่สุด !

ปัง !

กำปั้นหนัก ๆ ของกังเหยียนกระแทกลงที่ผู้ใช้มีดคนนั้น รอยร้าวมากมายเกิดตามผิวของมีดทันทีก่อนที่มันจะเริ่มแตกสลาย

เครื่องมือต้นกำเนิดชิ้นหนึ่งถูกบดขยี้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยมือเปล่า ใครก็ตามที่เห็นเหตุการณ์ตรงหน้านี้ต่างก็ตกตะลึง

…การเหวี่ยงหมัดไม่ได้เบาลงแต่อย่างใด มันยังคงพุ่งตรงต่อไปยังเป้าหมาย ก่อนเป็นผู้ใช้หอกที่โจมตีเข้ามา ทำให้กังเหยียนจำต้องหลบออกข้าง จนคมหอกนั่นแฉลบผ่านไป พร้อมกับที่กังเหยียนใช้มือซ้ายฟาดทุบลงไปยังศัตรูอย่างแรง

ในขณะที่ศีรษะของคู่ต่อสู้กำลังถูกทุบจนแหลกละเอียด แนวแสงดาบได้ถูกฟาดฟันเข้ามาปะทะกับเกราะภูผาเหล็กจนมันแตกออกเป็นเสี่ยง ๆ และเจาะทะลวงเข้าถึงร่างของกังเหยียนทำให้ตัวของเขาลอยกระเด็นออกไปและปรากฏรูที่ปกคลุมไปด้วยเลือดขึ้นที่กลางหน้าอก

การที่มันทะลุผ่านทั้งเกราะ พลังกลุ่มดาว เกราะรบเหล็กกล้า และร่างกายอันแข็งแกร่งของกังเหยียน แสดงให้เห็นว่าการโจมตีครั้งนี้รุนแรงเพียงใด !

แต่ถึงอย่างนั้น ด้วยความแข็งแกร่งของกังเหยียน มันก็ทำให้เขาไม่ได้รับความเสียหายมากนัก

กังเหยียนดีดตัวขึ้นยืน จังหวะเดียวกับบาดแผลที่พึ่งได้รับมานั้นถูกรักษาฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว

และเมื่อมองไปยังทิศทางของการโจมตีเมื่อครู่นี้ กังเหยียนก็ได้พบกับผู้โจมตีอีกหนึ่งคนที่เข้ามาร่วมวงต่อสู้ด้วย ชายคนนี้มีรูปร่างสูงผอมและกำลังจ้องมองมายังกังเหยียนด้วยสายตาที่เย็นยะเยือก

เมื่อคนอื่น ๆ เห็นดังนั้นก็เริ่มส่งเสียงออกมา “นายท่านสิบสอง !”

“เจ้ามีความสามารถทีเดียว ขนาดโดนดัชนีแยกภูผาของข้าไปครั้งหนึ่งแล้วยังมีแค่แผลเล็กน้อยเท่านั้น” ชายที่ถูกเรียกว่านายท่านสิบสองกล่าวอย่างเยือกเย็น

กังเหยียนกระแอมไออย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าได้เปรียบเรื่องจำนวนคนอยู่แล้ว และระดับพลังของเจ้าก็สูงกว่าข้า แล้วยังจะซุ่มโจมตีข้าอีกหรือ ? ช่างไร้ยางอายเสียจริง !!”

นายท่านสิบสองเป็นผู้เชี่ยวชาญด่านสู่พิสดาร หากแต่เขาก็เลือกที่จะซุ่มโจมตีกังเหยียน ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก และยิ่งไปกว่านั้นเหมือนว่าการโจมตีดังกล่าวจะได้ผลไม่ดีนักอีกด้วย

ใบหน้าของนายท่านสิบสองเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงขณะพูด “ไม่มีอะไรกำหนดว่าการต่อสู้นี้ต้องยุติธรรมอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีกฎเกณฑ์อะไรตั้งแต่แรก ! แต่ในเมื่อเจ้ากล้าเข้ามาบุกรุกอาณาเขตตระกูลหรงของข้า ถ้าอย่างนั้น…”

เขาไม่ได้กล่าวอะไรต่อเมื่อสัมผัสได้ถึงสัญญาณเตือนภัยอันตรายที่พรั่งพรูเข้ามาในจิตใจอย่างเฉียบพลัน ก่อนรีบหลบหลีกและกลับหันหลังไปพบเข้ากับลำแสงที่พุ่งผ่านไป ณ จุดที่เคยยืนอยู่เมื่อครู่นี้เอง ความตื่นตระหนกก่อตัวขึ้นทำให้เขาแผดเสียงออกมาด้วยความโมโห “ใครกล้าซุ่มโจมตีข้า”

“ข้าเอง” อวิ๋นเป้ากล่าวอย่างเกียจคร้าน “เจ้าดูจะชอบการซุ่มโจมตีไม่ใช่หรือ ? ข้าก็เลยเล่นกับเจ้าด้วยสักหน่อยยังไงล่ะ”

“เจ้า แค่ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณอย่างนั้นหรือ” นายท่านสิบสองกล่าวอย่างเย้ยหยัน “เจ้าควรจะ…”

ฟู่ว !

อีกหนึ่งลำแสงพุ่งตรงมาทางเขาอีกครั้ง นายท่านสิบสองทำได้เพียงแค่หลบการโจมตีโดยหายตัวไปโผล่ยังอีกจุดหนึ่งเท่านั้น

ความสามารถของเขาแลดูคล้ายกับวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายของซูเฉินทีเดียวและยังสามารถใช้มันได้หลายครั้งติดต่อกันเหมือนกับชายหนุ่มอีกด้วย อวิ๋นเป้าได้พยายามโจมตีเขาไปแล้วสองครั้ง และนายท่านสิบสองก็ยังคงหลบมันไปสองครั้งเช่นกัน ราวกับว่าเขาสามารถใช้มันได้ตามใจปรารถนา

ตระกูลหรงนั้นเชี่ยวชาญในการลอบสังหาร ทักษะต้นกำเนิดที่มีโดยกำเนิดส่วนมากของพวกเขาจึงเป็นทักษะซ่อนตัว หลบหลีก หรือการปลดปล่อยพลังอานุภาพสูงในครั้งเดียว เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้นั้นเชี่ยวชาญในการหลบหลีก

แต่เขาดูโกรธแค้นอวิ๋นเป้าเป็นอย่างมาก เพราะอวิ๋นเป้าได้โจมตีมาโดยไม่ได้นึกถึงช่องว่างระหว่างขั้นพลังของเขาเสียด้วยซ้ำ

นี่เป็นการท้าทายศักดิ์ศรีของเขาอย่างรุนแรงทีเดียว

ไอ้เด็กเหลือขอ ! เจ้ามั่นใจในตัวเองขนาดที่เชื่อว่าจะท้าทายคนที่ด่านสูงกว่าถึงหนึ่งขั้นเต็ม ๆ ได้เลยหรือ ?!

“อยากตายหรือไง !” นายท่านสิบสองพลิกมือของเขา สองนิ้วมือขวาถูกเคลือบไปด้วยของเหลวมีพิษและแทงมันเข้าที่อวิ๋นเป้า

เขาตั้งใจจะถลกหนังไอ้สารเลวนั่นทั้งเป็น

ในขณะเดียวกันนั้น กังเหยียนก็พลันพุ่งเข้าหาสี่คนก่อนหน้าที่ยังสะสางธุระกันไม่เสร็จสิ้น “ข้าละอยากเห็นว่าคราวนี้ใครจะมาช่วยชีวิตพวกเจ้ากัน !”

กังเหยียนยิ้มอย่างชั่วร้าย มีเงามืดฉายอยู่บนใบหน้า ทำให้สีหน้าท่าทางนั้นดูน่าขนลุกยิ่งนัก และมันก็ได้ฝังลึกอยู่ในใจของทุกคนในที่แห่งนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว !