บทที่ 22 เดินทางผ่าน (1)
ขณะที่จ้องมองไปยังแต่ละคนที่กองอยู่บนพื้น หลินเซียวพลันเดินเข้าไปหาชายร่างใหญ่และเหยียบมือของเขาไว้ “เจ้าจะพูดได้หรือยัง ว่าพวกเราจะไปที่ตระกูลจูได้ยังไง ?”
แม้ว่าการโจมตีของชายร่างใหญ่จะน่ารังเกียจยิ่งนัก แต่เขาก็ยังคงมีความกล้าหาญอยู่ เขาขบฟันแน่นและพูด “ถ้าเจ้ามีความสามารถนักก็ฆ่าข้าเลยสิ !”
หลินเซียวเลิกคิ้วขึ้น เขายกนิ้วหนึ่งขึ้นมาและเล็งไปยังหน้าผากของชายร่างใหญ่นั้น
ชายร่างใหญ่สัมผัสได้ถึงความรู้สึกเย็นยะเยือกวิ่งลงตามกระดูกสันหลังของเขา
ความกลัวตายล้นเอ่อเกินกว่าความกล้าของเขาเสียแล้ว ชายร่างใหญ่ตะโกนลั่น “ข้าพูดแล้ว ! ข้าพูดแล้ว !”
ริมฝีปากของหลินเซียวพลันเผยยิ้มเย็นชา “งั้นความห้าวหาญนั่นก็แค่ปลอมเปลือกสินะ ?”
‘บัดซบ ! เขาแค่มาถามทางไม่ใช่หรือ เหตุใดข้าจึงต้องขัดขืนจนเดือดร้อนเองด้วยเล่า ?’ ชายร่างใหญ่คิดอยู่ในใจ หลังจากความพยายามที่จะเป็นวีรบุรุษของเขาได้ล้มเหลวไม่เป็นท่าแล้ว เขาก็ได้แต่ตอบคำถามอย่างว่านอนสอนง่าย “เมื่อเจ้าไปถึงเมืองแล้ว เดินไปตามถนนหลักฝั่งตะวันตกจนกระทั่งเจอกับตรอกสนธยา พวกเขาอยู่ในอาคารที่สามของถนนเส้นนั้น”
“ทำไมพวกเจ้าถึงโจมตีเรา ?” หลินเซียวถามต่อ
ถึงแม้ว่าซูเฉินจะไม่ได้บอกให้เขาถามคำถามนี้ด้วย แต่ลูกน้องที่ดีก็ย่อมต้องทำตามหน้าที่ให้ครบถ้วน
ชายร่างใหญ่ผู้แกว่งขวานหน้าบึ้งตึง “พวกเจ้ามาที่นี่เพื่อช่วยตระกูลจูก่อสงคราม พวกเจ้าจะไม่รู้เหตุผลได้อย่างไร ?”
“ช่วยตระกูลจูก่อสงครามหรือ ?” หลินเซียวชะงักและหันไปทางซูเฉิน
ซูเฉินเดินออกมา “ตระกูลจูมีปัญหากับใครงั้นหรือ ?”
ชายแกว่งค้อนคนนั้นตะลึงงัน “เจ้าไม่รู้จริง ๆ หรือ ? พวกเจ้าไม่ใช่กำลังเสริมที่พวกนั้นเรียกมางั้นหรือ ?!”
“ไม่ใช่ อย่างน้อยก็ในตอนนี้” ซูเฉินตอบ
ข้อเท็จจริงที่พวกเขาไม่ได้มาช่วยเหลือตระกูลจูในตอนนี้นั้นไม่ได้หมายความว่าในอนาคตพวกเขาจะไม่ตกลงร่วมมือด้วย แต่นั่นก็ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของตระกูลจู ซูเฉินมักจะเรียบเรียงถ้อยคำในการตอบคำถามให้กำกวมเล็กน้อยเสมอ โดยเฉพาะในเวลาที่กำลังคุยกับศัตรู
ชายแกว่งค้อนคนนั้นถอนหายใจ “งั้นข้าก็แค่หาเรื่องใส่ตัวสินะ ? จริง ๆ ก็ไม่หรอก แต่พวกเจ้าเป็นเพื่อนกับพวกเขา ยังไงก็ต้องช่วยเหลือพวกเขาแน่ ๆ”
“อย่าทำให้ข้าเสียเวลา ใครจะทำสงครามกับตระกูลจู และทำทำไม ?”
ชายผู้เหวี่ยงค้อนเริ่มอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้ฟัง
หนึ่งในตระกูลใหญ่ในเมืองนภาลัยราบเป็นต้นเรื่องของสถานการณ์ในตอนนี้
เหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงนั้นไม่ได้ลงรอยกันเสมอไป การต่อสู้กันระหว่างตระกูลมักเกิดขึ้นเพื่อผลประโยชน์… และถือเป็นเรื่องที่เกิดได้ทั่วไป
ตระกูลสายเลือดชั้นสูงในเมืองนภาลัยราบก็ไม่ยกเว้น
เพื่ออำนาจในการควบคุมเหมืองที่อุดมสมบูรณ์ของสันเขานอนแล้ว ตระกูลมากมายต่างก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด
มีตระกูลจักรพรรดิอสูรอยู่สองตระกูลในเมืองนภาลัยราบ หนึ่งในนั้นคือจิ้งจอกร้อยเล่ห์ตระกูลจู ในขณะที่อีกตระกูลคืออสรพิษทมิฬตระกูลหรง
อสรพิษทมิฬเป็นอสูรกายที่ครอบครองพลังวิชาแห่งความมืดที่แข็งแกร่ง มันอาศัยอยู่ในความมืดและไม่เพียงมีวิชาพรางตัวแต่ยังมีวิชาลอบสังหารที่ทรงพลังอีกด้วย สายเลือดนี้จึงเป็นประโยชน์กับมือลอบสังหารได้อย่างดีเยี่ยม
ด้วยเหตุนี้ ทั้งสองตระกูลจึงถือครองอำนาจส่วนใหญ่ในเมืองนภาลัยราบ ซึ่งชายแกว่งค้อนคนนั้นมาจากตระกูลเล็กตระกูลหนึ่งในเมืองนภาลัยราบที่คอยสนับสนุนตระกูลหรงด้วยเช่นกันนั่นเอง
ทั้งสองฝ่ายต่างก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาหลายต่อหลายปีและผ่านการปะทะกันมาหลายครั้งในประวัติศาสตร์ของเมืองนภาลัยราบ
คราวนี้ ซูเฉินเดินทางมาถึงในตอนที่ทั้งสองตระกูลกำลังจะต่อสู้กันอีกครั้ง และไฟแห่งการต่อสู้ก็มีแต่จะลุกโชนมากขึ้นเท่านั้น ดูเหมือนว่าความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และทั้งสองฝ่ายต่างก็พร้อมที่จะลงมือ
ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมคนเหล่านี้ถึงเลือกที่จะโจมตีทันทีที่พวกเขาพบเห็นซูเฉิน
“งั้นพวกเจ้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพวกเขาไม่ถูกกันงั้นหรือ ?”
ชายแกว่งค้อนคนนั้นยิ้มออกมา “สองตระกูลนี้จะต่อสู้กันทุก ๆ สิบหรือยี่สิบปีเพื่อผลประโยชน์ ผู้หญิง หรือแม้แต่อะไรบางอย่างที่เกิดขึ้นในหอนางโลม เหตุผลของมัน… ไม่ได้สำคัญมานานแล้วละ”
“เรื่องเป็นอย่างนี้เองสินะ” ซูเฉินเริ่มจะเข้าใจ
เพราะพวกเขาเป็นเพียงแค่คนขุดแร่ ซูเฉินจึงไม่มีความจำเป็นที่จะสร้างความลำบากให้คนเหล่านี้มากนัก เขาจึงปล่อยคนเหล่านั้นแล้วจากไป
ขณะที่ชายผู้แกว่งค้อนมองซูเฉินที่กำลังเดินห่างออกไป เขาค่อย ๆ ยืนขึ้นด้วยท่าทีที่ดูชั่วร้ายขณะกล่าว “แจ้งข่าวไปว่าตระกูลจูได้กำลังเสริมที่แข็งแกร่งมา สถานการณ์กำลังจะเปลี่ยนไป”
“พวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหนกัน ?” คนขุดแร่ตัวเล็กร่างผอมแห้งถาม
ชายผู้กวัดแกว่งค้อนคนนั้นหยุดอยู่ครูหนึ่งแล้วจึงตอบ “มีผู้เชี่ยวชาญในระดับด่านทะลวงลมปราณอย่างน้อยสิบสองคน และเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคาดการณ์ความทรงพลังของอีกสามคนข้างหน้า แต่ข้าคิดว่าหนึ่งในนั้นคงจะอยู่ในระดับด่านสู่พิสดารเป็นอย่างน้อย ส่วนพวกเขาจะมีความแข็งแกร่งอะไรซ่อนไว้อีกก็ไม่อาจมีใครรู้ได้”
“ชายที่แกว่งค้อนคนนั้นดูแปลก ๆ นะ” อวิ๋นเป้าพูดขึ้นทันทีที่เดินออกมา
“โอ้ ?” ซูเฉินมองไปยังอวิ๋นเป้า “ยังไงงั้นหรือ ?”
อวิ๋นเป้าส่ายหัว “ไม่รู้สิ แต่ข้าก็สลัดความรู้สึกแปลก ๆ เกี่ยวกับเขาไม่ได้”
ซูเฉินคิดอยู่สักพักแล้วก็พูด “คนที่ใช้ค้อนคนนั้นอยู่ในระดับด่านก่อเกิดลมปราณ ทำให้เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดอย่างเป็นทางการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับอีกฝ่ายคือการโจมตีที่สิ้นคิดเกินไปและมีรูปแบบที่ไม่ดีพออย่างที่การโจมตีของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดควรจะเป็น แม้ว่าพวกเราจะเก็บซ่อนพลังต้นกำเนิดเอาไว้ทำให้ไม่สามารถคาดการณ์ระดับพลังได้ แต่แค่การปรากฏตัวของกังเหยียนคนเดียวก็ควรเพียงพอแล้วที่จะทำให้รู้ว่าพวกเราไม่ใช่แค่กลุ่มคนทั่วไป”
ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถมือกับคนจากเผ่าหินผาได้ เช่นเดียวกับ 12 ข้ารับใช้ดาบที่ได้ซ่อนพลังต้นกำเนิดเอาไว้เช่นกัน แต่ท่าทางของพวกเขานั้นคล้ายคลึงกันเป็นอย่างมาก จึงเป็นที่ชัดเจนว่าพวกเขาล้วนถูกฝึกมาอย่างดี
กลุ่มคนเช่นนี้ต้องมีความพิเศษบางอย่างแน่นอน
จึงเป็นเรื่องน่าขบคิด ว่าผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณที่โจมตีกลุ่มคนเช่นนี้กำลังคิดอะไรกัน ? ด้วยมันไม่ต่างอะไรกับการฆ่าตัวตายเลยแม้แต่น้อย !
อวิ๋นเป้าถามขึ้น “งั้นเขาจะโจมตีทำไมกันเล่า ?”
สัญชาตญาณของเขาตอบคำถามได้ในทันที แต่มันก็ไม่สมเหตุสมผลเลย นี่คือข้อแตกต่างที่สุดระหว่างสัญชาตญานและหลักเหตุผล
ซูเฉินตอบกลับไป “แค่เพราะเมื่อโจมตีออกไปเขาก็จะสามารถวัดระดับพลังที่แท้จริงของพวกเราได้แล้ว”
การปลดปล่อยพลังต้นกำเนิดของหลินเซียวได้เปิดเผยระดับพลังด่านทะลวงลมปราณของเขา แม้ผู้ฝึกตนเหล่านั้นจะสัมผัสมันไม่ได้ แต่ผู้เชี่ยวชาญด่านก่อเกิดลมปราณจะต้องสัมผัสมันได้แน่ ๆ ส่วน 12 ข้ารับใช้ดาบนั้นก็เห็นได้ชัดว่ามีหน้าที่เหมือนผู้คุ้มกัน ดังนั้นหากใครสักคนหนึ่งอยู่ในระดับด่านทะลวงลมปราณก็แปลว่าคนที่เหลือก็ต้องอยู่ในระดับเดียวกันอย่างแน่นอน
และหากเหล่าผู้คุ้มกันยังอยู่ในระดับด่านทะลวงลมปราณ ย่อมหมายความว่าผู้นำของคนเหล่านั้นจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าเป็นแน่ แม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคาดเดาพลังของซูเฉินอย่างแม่นยำ แต่ชายที่แกว่งค้อนคนนั้นก็พอที่จะประมาณคร่าว ๆ ได้
“เจ้าหมอนั่นใจกล้าดีจริง ๆ!” หลินเซียวกล่าววิจารณ์อย่างกระโชกโฮกฮาก
ถึงแม้จะมีหลากหลายเหตุผลที่สามารถอธิบายพฤติกรรมนี้ได้ แต่ภยันตรายนับไม่ถ้วนจากการกระทำของพวกเขาที่นำเข้ามาสู่ตัวเองก็ปฏิเสธไม่ได้เช่นกัน
กังเหยียนพูดขึ้น “นี่สินะที่เขาว่ากันว่าคนตายเพื่อเงิน นกตายเพื่ออาหาร !”
ขณะที่พูดคุยกันอยู่นั้น พวกเขาก็ได้เดินทางมาถึงยังเมืองนภาลัยราบ
ระหว่างที่กำลังเข้าเมืองนั้น พวกเขาได้พบเห็นผู้ฝึกตนอยู่ทุกหนแห่ง พวกเขามีดาบห้อยอยู่ที่เอวและมีสายตาที่ดูเฉียบคม
ดูเหมือนว่าการต่อสู้ที่กำลังก่อตัวขึ้นระหว่างสองตระกูลสายเลือดชั้นสูงจะดึงเอาบรรยากาศภายในเมืองไปเสียหมด
ทั้งตระกูลจูและตระกูลหรงต่างก็มีอำนาจควบคุมครึ่งหนึ่งของเมืองนภาลัยราบ
ซูเฉินผ่านเข้าไปทางประตูฝั่งตะวันตกซึ่งถือเป็นพื้นที่ของตระกูลหรง ดังนั้นทุกคนรอบตัวเขาต่างก็ล้วนคือคนของตระกูลหรงนั่นเอง ไม่มีใครจากตระกูลจูอาจหาญพอที่จะเข้ามายังพื้นที่แห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจ
หากพวกซูเฉินป่าวประกาศว่าพวกเขาเป็นพันธมิตรกับตระกูลจูตรงนี้ละก็ พวกเขาจะต้องถูกรุมจู่โจมด้วยจำนวนคนที่มากกว่ากลุ่มคนขุดเหมืองเมื่อก่อนหน้านี้อย่างแน่นอน
ขณะที่เดินอยู่ในพื้นที่ของศัตรูนั้น แม้กระทั่งอวิ๋นเป้าผู้ไม่เคยเกรงกลัวสิ่งใดก็ยังต้องรู้สึกหวาดระแวง เขาบ่นพึมพำขึ้น “ถ้าพวกเรารู้เร็วกว่านี้ก็คงจะเข้ามาจากอีกทางแล้วละ”
ด้วยเรือเหาะตะวันกรุ่น การจะอ้อมเมืองนภาลัยราบนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นเลย แต่ถึงอย่างนั้นมันก็คงจะสายไปเสียแล้ว
ขณะที่พวกเขากำลังเดินต่อไป ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างก็จ้องมองมายังพวกเขาอย่างสนใจ สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ซูเฉินยังคงเดินต่อไปราวกับว่าไม่มีสิ่งใดผิดแปลก เขาเคยเห็นเมืองที่ใหญ่โตกว่านี้มาก่อนแล้ว เมืองนภาลัยราบเล็ก ๆ นี่จึงไม่ได้น่าสนใจนักสำหรับชายหนุ่ม
ถนนเส้นหลักที่ทอดยาวไปยังระหว่างกลางของเมืองนภาลัยราบนั้นรู้จักกันในชื่อถนนสีชาด
พื้นที่ของตระกูลจูและตระกูลหรงถูกแบ่งออกด้วยถนนเส้นนี้
ซูเฉินและพรรคพวกค่อย ๆ เดินไปยังถนนเส้นนั้น ทำให้เป็นที่ดึงดูดสายตามากยิ่งขึ้นไปอีก
ในตอนที่พวกเขากำลังไปถึงถนนสีชาดนั่นเอง ชายคนหนึ่งก็พลันเข้ามาหยุดพวกเขาไว้
“พวกเจ้ากำลังจะไปไหน ?”
“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” กังเหยียนกล่าวอย่างดุดัน “เจ้าออกไปจากทางของพวกเราจะดีกว่า”
“แล้วถ้าข้าไม่ไปเล่า ?” ชายคนนั้นหัวเราะพร้อมตอบ
ขณะที่พูดนั้น คนจำนวนมากก็พากันเข้ามารุมล้อมพวกเขาเอาไว้
ชายท่าทางน่าสงสัยพูดอย่างเกรี้ยวกราด “ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีแขกที่เลือกเดินผิดทางมานะ”
กังเหยียนหันหลังกลับไปมองซูเฉิน เมื่อเขาเห็นว่าซูเฉินไม่ได้มีทีท่าว่าจะตอบอะไรกลับไป เขาจึงต้องจัดการสถานการณ์ตรงหน้าอย่างผิวเผินไปก่อน “งั้นข้าขอโทษล่วงหน้าก็แล้วกัน”
เขาก้มหัวลงและพุ่งเข้าใส่คู่ต่อสู้
การเคลื่อนไหวของชายร่างใหญ่ไม่ได้เร็วมากนัก และเขาก็ไม่มีอาวุธใด ๆ กังเหยียนเพียงแค่พุ่งตรงเข้าหาคู่ต่อราวกับแรดอย่างไรอย่างนั้น
ชายคนที่หยุดพวกเขาไว้ก่อนหน้านี้ไม่ได้มองว่ากังเหยียนนั้นเป็นพิษเป็นภัยแต่อย่างใด จึงยกมือของเขาขึ้น พลังต้นกำเนิดมากมายเริ่มไปรวมตัวอยู่ในฝ่ามือนั่น เห็นได้ชัดว่าเขาอยู่ในระดับด่านทะลวงลมปราณ ซึ่งทำให้เข้าใจได้ทันทีว่าทำไมอีกฝ่ายจึงเดินเข้ามาขวางทางอย่างมั่นอกมั่นใจนัก
แต่ถึงอย่างนั้น ในวินาทีต่อมา ก่อนที่กังเหยียนจะพุ่งเข้าใส่เขา ชายคนนั้นก็พลันมีท่าทีเปลี่ยนไปเล็กน้อยทันทีที่สัมผัสได้ถึงคลื่นแรงกดดันมหาศาลที่โถมกระหน่ำเข้าหาตน “แย่แล้ว !”
ชายผู้ขวางทางพวกซูเฉินได้ปลิวหายไปตามแรงระเบิดเสียแล้ว เขาลอยไปกลางอากาศก่อนจะตกลงมากระแทกยังพื้นเบื้องล่างอย่างแรง ผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างก็มองตามร่างของชายคนนั้นไป
“บัดซบ ! จัดการมันซะ !”
ไม่มีใครรู้ว่าใครเป็นผู้ออกคำสั่ง แต่ทุกคนต่างเริ่มวิ่งเข้าใส่กังเหยียน ทำให้เกิดความโกลาหลในทันที
กังเหยียนกระทืบเท้าของเขาลงกับพื้น คลื่นแรงกระแทกที่รุนแรงแผ่กระจายไปทั่วทุกทิศทางโดยมีเท้าของเขาเป็นจุดศูนย์กลาง ผู้คนต่างถูกส่งขึ้นไปบนอากาศก่อนจะร่วงกลับลงมาบนพื้นราวกับเกี๊ยวจำนวนมากที่หกกระจายเรี่ยราด
แต่ก็ยังมีบางคนที่ไม่ได้รับผลกระทบใด ๆ
ชายกลุ่มหนึ่งยังคงยืนอยู่อย่างมั่นคงราวกับว่ามีรากงอกลงไปในผืนดินและกำลังส่งยิ้มอันเยือกเย็นมายังกังเหยียน
กังเหยียนไม่ได้ประหลาดใจอะไร การกระทืบเท้าของเขานั้นก็เพื่อกำจัดพวกที่อ่อนแอออกไป ดังนั้นมันจึงทำอะไรไม่ได้มากกับพวกที่แข็งแกร่งกว่า
แต่นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะมันได้บรรลุจุดประสงค์ในการใช้ไปเรียบร้อยแล้ว !
คนที่ถูกส่งปลิวขึ้นไปในอากาศโดยกังเหยียนกลับมาสมทบพรรคพวกอีกสามคนที่เหลือซึ่งกำลังเผชิญหน้าอยู่กับกังเหยียนในขณะนี้
กังเหยียนฉีกยิ้ม “ขยะถูกกำจัดไปหมดแล้ว ทีนี้เราจะได้เริ่มงานหลักเสียที”
“เจ้ากำลังเรียกหาความตาย !” คนที่ปลิวไปในอากาศทำการเคลื่อนตัวเข้าหากังเหยียนอย่างรวดเร็วพร้อมแทงนิ้วของเขาไปที่กังเหยียน การโจมตีด้วยนิ้วนี้แหวกมวลอากาศออกและทิ้งรอยเส้นทางสุญญากาศไว้ขณะที่พุ่งตรงเข้าหากังเหยียนอย่างสวยงาม
ขณะที่อีกคนหนึ่งกำลังพุ่งมาพร้อมกวัดแกว่งหอกในมือ ด้านหลังของเขาปรากฏภาพของงูหลามสีเขียวอมฟ้าขึ้น คนคนนี้จะต้องมีสายเลือดอสรพิษอย่างแน่นอน งูหลามตัวนั้นพันลำตัวของมันไว้รอบหอกที่กำลังจ้วงแทงไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งราวกับอสรพิษที่กำลังโจมศัตรู
คนที่สามนั้นกำลังกวัดแกว่งมีดไปมา พลังของมีดเล่มนั้นเข้มข้นอย่างน่าเหลือเชื่อ และทุกครั้งที่เขาแกว่งมัน มีดนั้นก็จะส่งเสียงกระหึ่มราวกับสายฟ้าคำรามออกมา การใช้งานของมันแตกต่างไปจากวิชาดาบอัสนีบาตของซูเฉินแต่ก็มีผลการใช้งานที่เหมือนกัน ทว่าสายฟ้าฟาดที่มีดเล่มนี้ปล่อยออกมานั้นกลับสามารถทะลุทะลวงได้ดีกว่ามากทำให้กระบวนท่านี้ดูสง่างามเหลือเกิน
ส่วนคนที่สี่นั้นไม่มีอาวุธแต่อย่างใด เขากลายร่างเป็นมนุษย์หัววัวและขยายร่างจนมีความสูงถึงราว 2 จั้งเศษ
…ช่างเป็นภาพที่แปลกประหลาดจริง ๆ ด้วยนี่เป็นการประกาศศักดาของบุคคลที่มีสายเลือดเข้มข้นอย่างถึงที่สุด พวกเขาเหล่านั้นสามารถทำให้ภาพลวงตาของสายเลือดกลายเป็นร่างแท้จริงได้ สายเลือดของคนคนนี้คือสายเลือดอสูรกายระดับสูงซึ่งไม่ได้จัดว่าเป็นระดับที่สูงมากนัก แต่เขาก็ได้ปลุกพลังมาร่วมแปดครั้งแล้วและความเข้มข้นของมันยังมากถึงสี่ในสิบส่วน จนสามารถกลายร่างเป็นอสูรกายได้ตามใจต้องการ แม้ว่าเขาดูเพียงจะเทียบเท่ากับด่านทะลวงลมปราณ แต่คนผู้นี้ต้องเป็นคนที่แข็งแกร่งที่สุดในสี่คนนี้แน่ อย่างไรก็ตาม ในเมื่อเขาสามารถแปลงกายเป็นอสูรตนนี้ในระดับด่านทะลวงลมปราณ แปลว่าเข้าคงจะไม่ได้มีอนาคตที่ยั่งยื่นอย่างแน่นอน !
ผู้เชี่ยวชาญด่านทะลวงลมปราณสี่คนเข้าโจมตีกังเหยียนในเวลาเดียวกัน
อวิ๋นเป้าหน้าบูดบึ้งและกำลังจะกระโดดเข้าไปร่วมวงต่อสู้ก่อนที่ซูเฉินจะเข้ามาหยุดเขาไว้ก่อนขณะกล่าว “ปล่อยให้กังเหยียนสู้”