ภาคที่ 5 บทที่ 21 คนขุดแร่

ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座)

บทที่ 21 คนขุดแร่

ซูเฉินและกู่ชิงลั่วเดินเคียงข้างกันในสวนดอกไม้ของพระราชวังฉู่ โดยมีฉู่เจียงอวี๋คอยเดินตามอยู่ข้างหลังทั้งสองราวกับว่าเขาเป็นผู้ช่วยหรือคนรับใช้

“เจ้าคิดว่าจะไปจากที่นี่เมื่อไหร่งั้นหรือ ?” กู่ชิงลั่วถามขึ้น

ซูเฉินถอนหายใจ “ตอนแรกข้าอยากจะอยู่ที่นี่อีกสักพัก แต่ดูเหมือนว่าหากข้าอยู่ที่นี่นานเกินไป องค์รัชทายาทคงจะเหนื่อยจนตายเสียก่อน”

ฉู่เจียงอวี๋ทำเหมือนกับว่าเขาไม่ได้ยินอะไรทั้งสิ้น

กู่ชิงลั่วพยักหน้า “ถ้าเป็นอย่างนั้น ข้าว่าเจ้าก็ควรกลับไปได้แล้ว”

ซูเฉินมองไปยังกู่ชิงลั่วอย่างไม่เต็มใจนัก

เขาไม่อยากไปจากที่นี่เร็วนักเลย

แต่ก็อย่างที่กล่าวไป หากเขาอยู่ที่นี่นานกว่านี้… ต่อให้อีกเพียงไม่กี่วัน ฉู่เจียงอวี๋คงจะต้องเสียสติเป็นแน่

ในตอนนี้นั้น ตระกูลฉู่ไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าให้ซูเฉินออกไปจากภูผาสูญโดยเร็วที่สุด เรื่องฉาวโฉ่นั้นจะได้เงียบไปสักที ที่จริงแล้วหากเขาไปตายที่อื่นเสียก็คงหมดเรื่อง

แน่นอนว่าซูเฉินไม่ได้ใส่ฉู่เจียงอวี๋นัก แต่ยังมีอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เขาต้องรีบไปจากที่นี่

“เมื่อออกไปจากที่นี่แล้วเจ้าต้องระวังตัวให้มากขึ้น เจ้าอย่าลืมว่าเมื่อพวกเขาไม่ต้องกลัวเรื่องนั้นแล้ว พวกเขาก็พร้อมที่จะใช้ทุกชั้นเชิงที่มี” กู่ชิงลั่วกล่าวเตือนซูเฉิน

“ข้าเข้าใจ นั่นเป็นอีกเหตุผลว่าทำไมข้าถึงต้องไปจากที่นี่โดยเร็วที่สุด ยิ่งข้าอยู่นานเท่าไร พวกเขาก็ยิ่งมีเวลาเตรียมตัวเท่านั้น” ซูเฉินพูดขณะกุมมือของกู่ชิงลั่วเอาไว้

ฉู่เจียงอวี๋รู้สึกได้ว่าใบหูของตนนั้นร้อนฉ่า

ข้าก็อยู่ตรงนี้นะ ! เจ้าไม่เชื่อใจพวกเราขนาดนี้เลยหรือ ?!!

ถึงแม้ว่าพวกเราจะส่งคนออกไปเตรียมฆ่าซูเฉินแล้วก็เถอะ แต่ก็ไม่ควรจะไร้ความเชื่อใจหรือมาพูดกันแบบนี้ !

ไหนกันล่ะ ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเราสองฝ่าย ?

ฉู่เจียงอวี๋ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก

สองคนนั้นยังคงกระซิบกระซาบคำหวานเลี่ยนกันต่อไป

พวกเขาพึ่งจะได้อยู่ด้วยกันไม่นานก็จะต้องแยกจากกันอีกแล้ว ทำให้คนทั้งคู่ไม่เต็มใจนัก พวกเขาจึงเว้นระยะห่างและทำเหมือนกับว่าฉู่เจียงอวี๋นั้นเป็นธาตุอากาศ

ฉู่เจียงอวี๋รู้สึกราวกับว่าถูกกรอกอาหารสุนัขใส่ปาก เขาแอบรู้สึกโกรธอยู่ในใจแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

หลังจากผ่านช่วงเวลาแห่งการฝืนใจไปได้แล้ว ซูเฉินก็กำลังจะจากไปในที่สุด

“ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าจะรีบกลับมา ข้าสัญญาว่าเมื่อถึงตอนนั้นจะไม่มีใครคอยตามรังควานเราอีก และข้าก็จะดูแลเจ้าไปจนกว่าจะถึงวันสิ้นโลกเล ย!” ซูเฉินพูดกับกู่ชิงลั่วก่อนจะออกเดินทาง

ระหว่างบีบนวดหน้าของซูเฉินด้วยความรักใคร่ กู่ชิงลั่วก็หัวเราะราวกับคนเสียสติ

เป็นเวลานั้นเอง ที่นางพลันรู้สึกได้ถึงความศรัทธาอันน่าทึ่ง

นั่นก็เพราะซูเฉินพูดมันออกมา

ไม่ว่าซูเฉินจะพูดอะไร เขาก็จะทำได้อย่างแน่นอน !

ในเวลาต่อมา เรือเคลื่อนเมฆาก็ได้พาซูเฉินพุ่งทะยานผ่านอากาศไปพร้อมกับหัวใจของกู่ชิงลั่ว

ซูเฉินที่นั่งอยู่บนเรือเหาะตะวันกรุ่น จ้องมองลงไปยังพื้นเบื้องล่างจนกระทั่งเขามองไม่เห็นวี่แววของกู่ชิงลั่วอีกต่อไป แล้วเขาก็ออกคำสั่ง “ออกเดินทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือ”

อวิ๋นเป้าชะงักไป “พวกเราไม่ได้จะกลับไปที่เขาหมื่นดาบกันหรอกหรือ ?”

“พวกคนจากตระกูลฉู่คงรอเราอยู่ก่อนแล้ว ทันทีที่เราไปจากพื้นที่ของตระกูลฉู่และยอมให้ข่าวเงียบไป พวกที่ไล่ตามเรามาก็จะปรากฏตัวทันที พวกเราจะผ่านไปทางอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย วนรอบอาณาจักรหลงซาง และใช้เส้นทางนั้นในการกลับไปยังเขาหมื่นดาบ”

กังเหยียนถามขึ้น “นายท่าน ตระกูลฉู่จะพยายามโจมตีเขาหมื่นดาบหรือไม่ ?”

ซูเฉินตอบกลับไป “ตราบใดที่ข้ายังอยู่ เขาหมื่นดาบจะไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น”

“ข้าเข้าใจแล้ว” กังเหยียนหันเรือเหาะตะวันกรุ่นไปยังทิศตะวันตกเฉียงเหนือตามคำสั่งของซูเฉินทันที

หลังจากเหาะอยู่กลางท้องฟ้ามาไม่กี่วัน เรือเหาะตะวันกรุ่นก็มาถึงยังชายแดนอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย

โดยปกติแล้วชายแดนระหว่างอาณาจักรมนุษย์ด้วยกันจะมีการป้องกันผู้บุกรุกที่มีกำลังอ่อนกว่าซึ่งเป็นเรื่องง่าย ในขณะที่ผู้ที่แข็งแกร่งนั้นไม่ว่าอย่างไรก็คงจะหยุดไว้ไม่ได้… นอกจากนั้นทั้งเจ็ดอาณาจักรก็ยังถือเป็นพันธมิตรกันชั่วคราวในตอนนี้และยังคงร่วมมือกัน ดังนั้นมันจึงไม่ได้เข้มงวดเท่าที่ควร

เรือเหาะตะวันกรุ่นเคลื่อนผ่านชายแดนไปอย่างง่ายดาย ทันทีที่ผ่านไปได้แล้ว ซูเฉินก็ได้เข้าไปยังแดนฝันและกำจัดข่าวนั่นเสีย

หลังจากนี้เป็นต้นไป เขาก็จะไม่ได้เป็นฝ่ายถือไพ่เหนือกว่าอีกแล้ว

“ต่อจากที่นี่เราจะออกเดินเรือไปทางทิศตะวันออก ต่อจากเขาพันดาบไปก็จะเป็นสันเขานอน และหลังจากผ่านแม่น้ำทรายพิสุทธิ์ เขานิลกาฬ และปณิธานสระนทีสวรรค์แล้วเราก็จะเข้าสู่อาณาจักรหลงซาน” อวิ๋นเป้าพูดพลางดูเส้นทางตามแผนที่

“สันเขานอนหรือ” ชื่อแสนคุ้นหูสะท้อนไปมาในโสทประสาทของซูเฉินขณะที่เขาจมดิ่งลงสู่ห่วงความคิด

นั่นคือที่ตั้งของตระกูลจูไม่ใช่หรือ ?

ตระกูลจูแห่งสันเขานอน !

จูเซียนเหยา !

เพียงแค่นึกถึงจูเซียนเหยา ซูเฉินก็รู้สึกว่าหัวใจของตนเริ่มร้อนขึ้นอย่างฉับพลัน

อันที่จริงเขาไม่ควรจะไปหาหญิงสาวคนอื่นหลังลาจากกับกู่ชิงลั่ว แต่ท่วงท่าที่มีเสน่ห์ รูปร่างผอมบาง และรังสีความอ่อนโยนที่แผ่ซ่านของจูเซียนเหยานั้นยากยิ่งนักที่จะลืมได้ลง

คุณสมบัติเหล่านี้ประทับอยู่ในดวงใจของเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่ชายหนุ่มจะเมินเฉย

ตอนนี้นางจะเป็นอย่างไรบ้าง ? ซูเฉินอดสงสัยไม่ได้

กังเหยียนคือคนที่เข้าใจซูเฉินดีที่สุด เมื่อเขาเห็นผู้เป็นนายกลายเป็นเช่นนี้และนึกถึงสันเขานอนที่พวกเขากำลังพูดถึง เขาก็รู้สาเหตุของใจที่ว้าวุ่นของซูเฉินทันที ดังนั้นจึงพูดแนะนำ “ไปเถอะ… ถ้าอยากจะไป”

“มันจะเหมาะสมหรือ ?” ซูเฉินถาม

“เหมาะสมสิ !” กังเหยียนพยักหน้าด้วยความมั่นใจ

“มันเหมาะสมอย่างไรกัน ?” ซูเฉินถามอีก

กังเหยียนยิ้มออกมา “เพราะถ้าข้าบอกว่าไม่เหมาะสม ท่านคงจะทำร้ายข้าน่ะสิ”

ซูเฉินพูดไม่ออก

แล้วเขาก็เริ่มหัวเราะร่วน

ชายหนุ่มเข้าใจสิ่งที่กังเหยียนต้องการจะสื่อ เพราะที่เขาถามคำถามกับกังเหยียนไป อันที่จริงแล้วตัวเขาเองก็มีคำตอบอยู่ในใจตั้งแต่แรกแล้ว !

สาเหตุเดียวที่เขาถามกังเหยียน ไม่ใช่เพราะไม่รู้จะทำอย่างไร แต่เพราะต้องการการสนับสนุนเท่านั้นเอง

ฟังดูประหลาดนักที่กังเหยียนสนับสนุนในประโยคแรก และเปิดเผมความในใจของชายหนุ่มที่ประโยคถัดไป

การที่เขาพยายามหาข้ออ้างให้ตัวเองและถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งนั้นเป็นความรู้สึกที่กระอักกระอ่วนนัก

แต่ก็เป็นอย่างที่กังเหยียนกล่าว เขาได้ตัดสินใจไปตั้งนานแล้ว ที่เขาต้องการก็เพียงแค่ข้ออ้างที่พอรับได้

“ดูเหมือนข้าจะเป็นคนที่เชื่อใจไม่ได้เอาซะเลย” ซูเฉินบ่นพึมพำกับตัวเอง

“แม้แต่วีรบุรุษที่แข็งแกร่งที่สุดยังถูกล่อลวงได้ด้วยสาวสวย เช่นเดียวกับที่อัจฉริยะมากความสามารถหลายคนมักมีชีวิตรักที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อน” อวิ๋นเป้าเอ่ยขึ้นอย่างใจเย็น

คิ้วของซูเฉินยกขึ้นสูงทันที “ใครจะคิดว่าเจ้าจะพูดอะไรสวย ๆ งาม ๆ แบบนี้เป็นด้วย ?”

อวิ๋นเป้าขำคิกคัก “ช่วงนี้ข้าอ่านหนังสือบ่อยขึ้นน่ะ”

“แต่ดูเหมือนว่าจะอ่านผิดแนวนะ” กังเหยียนแทรกขึ้น

อวิ๋นเป้าหันไปมองค้อน “อย่างกับว่าเจ้าเป็นนายข้างั้นแหละ !”

กังเหยียนหัวเราะและไม่พูดอะไรต่อ

ซูเฉินเองก็หัวเราะด้วยเช่นกัน “ก็ได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นงั้นไปสำรวจรอบสันเขานอนและไปเจอเพื่อนเก่ากันเถอะ”

อวิ๋นเป้าพูดอย่างมีเลศนัย “ข้าว่าคำว่า ‘เจอ’ ของข้ากับเจ้าน่ะห่างไกลกันโขเลยนะ”

ปั่ก !

ซูเฉินฟาดเข้าอย่างจังที่ด้านหลังหัวของเขา

สันเขานอนนั้นอยู่ที่ใจกลางอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย ความโดดเด่นของมันทำให้ดูเหมือนกำแพงที่แบ่งอาณาจักรเลี่ยวเยี่ยออกเป็นฝั่งตะวันตกและตะวันออกเลยทีเดียว ด้วยเหตุนี้ที่นี่จึงถูกขนานนามว่าสันเขานอน

ในความเป็นจริงแล้ว สันเขานอนนั้นถือเป็นพื้นที่ในเมืองเจี้ยนแห่งอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย โดยมีเมืองหลวงเป็นเมืองนภาลัยราบ

ตระกูลกู่นั้นนับเป็นหนึ่งในตระกูลที่ใหญ่ที่สุดในเมืองนภาลัยราบเลยทีเดียว

เมืองนภาลัยราบตั้งอยู่บริเวณกลางสันเขานอนและถูกล้อมรอบไปด้วยยอดเขาสูง สันเขานอนนั้นมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นหิน ทำให้พื้นผิวดินในพื้นที่บางกว่าปกติและหากลงไปลึกกว่าชั้นดินก็จะเป็นหินภูเขาที่ทำให้พืชพรรณสำคัญต่าง ๆ เติบโตไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาหินนี้ก็มีแร่ชั้นดีที่สุดในอาณาจักรเลี่ยวเยี่ย แร่ธาตุสิบสามอย่างจำนวนมากก็ถูกพบที่นี่ ซึ่งนับรวมไปถึงแร่หายากอย่างทองเมฆดาราและหินแสงจันทร์ด้วยเช่นกัน

ตระกูลจูเป็นเจ้าของเหมืองหินแสงจันทร์นั่นเอง

เรือเหาะตะวันกรุ่นค่อย ๆ ลดระดับและลงจอดยังผืนดินนอกอาณาเขตเมืองนภาลัยราบ ซูเฉิน อวิ๋นเป้า กังเหยียน และคนอื่น ๆ ต่างก็ลงจากเรือเหาะ เงามรณะนั้นยังคงอยู่ในระดับขั้นอสูรกาย มันจึงปกปิดตัวตนด้วยพลังงานสูญและซ่อนตัวอยู่ในเงาของซูเฉินเพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องวุ่นวาย

ขณะที่กำลังเดินไปตามถนนหนทาง พวกเขาก็ได้เดินผ่านคนงานขุดแร่จำนวนมากที่กำลังทำหน้าที่ของตัวเองอย่างหักโหม

การขุดเหมืองแร่นั้นเป็นอาชีพหลักของที่แห่งนี้ คนขุดแร่จึงถูกพบเห็นได้ทั่วทุกมุมเมือง

พวกซูเฉินเดินผ่านทางเข้าเมืองเล็ก ๆ ที่มีนักขุดแร่กลุ่มใหญ่กำลังดื่มไวน์ เล่นพนัน และตะโกนถ้อยคำหยาบคายเสียงดังกันอยู่ที่นั่น

“ถามพวกเขาที ว่าพวกเราจะไปหาตระกูลจูได้อย่างไร” ซูเฉินพูดขึ้น

ข้ารับใช้ดาบนามหลินเซียวเดินเข้ามาหาพวกเขา “สวัสดี ข้าขอถามได้หรือไม่ ว่าพวกเราจะเดินทางไปยังตระกูลจูแห่งสันเขานอนได้อย่างไรบ้าง”

หนึ่งในชายร่างกำยำมองมายังหลินเซียว “คนจากนอกเมืองงั้นหรือ ?”

หลินเซียวพยักหน้า “ใช่แล้ว มีปัญหาไรงั้นหรือ ?”

ชายร่างใหญ่ระเบิดหัวเราะก่อนจะหันหลังและตะโกน “มีคนนอกมาถามทางไปตระกูลจู !”

หลังจากเสียงนั้นดังขึ้น พวกที่กำลังดื่ม เล่นพนัน และสบถด่าอยู่เหล่านั้นพลันหยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่แล้วเดินเข้ามาทันที พวกเขาก้มลงมองพวกของหลินเซียวและซูเฉิน

หลินเซียวก้าวถอยหลังไปเล็กน้อยขณะที่เอามือไปจับดาบของเขา “พวกเจ้าคิดจะทำอะไร ?”

“พวกเจ้ามาที่ตระกูลจูทำไม ?” เสียงอ้อยอิ่งที่แฝงไปด้วยความเกียจคร้านดังขึ้น

กลุ่มคนถูกแหวกออก ชายที่ร่างเปลือยอยู่ครึ่งหนึ่งเดินตรงมาด้านหน้า เขามีรอยสักรูปอสูรที่มีหน้าเป็นเสือดุร้ายอยู่กลางหน้าอกและแบกค้อนอันยักษ์ไว้บนหลัง

ค้อนนั้นต้องหนักมากอย่างแน่นอน เมื่อไรก็ตามที่เท้าของชายคนนั้นก้าวเหยียบเท้าลงบนพื้น แผ่นดินก็ถึงกับสั่นไหวเบา ๆ

หลินเซียวตอบกลับไป “นั่นไม่ใช่เรื่องของพวกเจ้า”

“เจ้านั่นบอกว่าไม่ใช่เรื่องของพวกเราว่ะ !” ชายร่างกำยำพูดเสียงดังกังวาลขณะหันไปข้างหลัง ทำให้คนขุดแร่ทุกคนต่างก็เริ่มหัวเราะออกมา

ชายร่างใหญ่กล่าว “เหมือนว่าพวกเจ้าจะไม่ใช่ศัตรูของตระกูลกู่ ใช่หรือไม่ ?”

หลินเซียวตอบ “ใช่”

ชายร่างใหญ่ดึงค้อนยักษ์มาจากหลังของเขา “ถ้าพวกเจ้าไม่ใช่ศัตรูของตระกูลจู… งั้นก็ถือเป็นศัตรูของพวกเรา !”

ฟึ่บ !

ค้อนอันใหญ่ยักษ์นั่นทุกฟาดลงมายังหลินเซียว

การโจมตีนี้ทั้งรวดเร็วและรุนแรง มันกะทันหันจนคนธรรมดาทั่วไปไม่มีทางหลบได้แน่นอน ชายตัวใหญ่คนนี้แข็งแกร่งอย่างเห็นได้ชัดและเขายังเลือกที่จะโจมตีอย่างกะทันหันเสียด้วย

ค้อนนั้นดูราวกับว่าจะปะทะเข้าที่ใบหน้าของหลินเซียวและบดขยี้มัน แต่ในวินาทีนั้นเอง หลินเซียวพลันวางมือของเขาลงบนค้อนยักษ์และเคลื่อนไปตามการเคลื่อนไหวของมัน เขายืมแรงของค้อนอันนั้นเพื่อลอยขึ้นไปในอากาศราวกับกิ่งก้านของต้นหลิวที่เคลื่อนไหวไปตามแรงลม ทั้งร่างของเขาแทบจะอยู่ในสภาพไร้น้ำหนัก

แม้ว่าค้อนยักษ์นั้นจะถูกฟาดลงมาอย่างดุร้าย แต่มันกลับใช้ไม่ได้ผลเลยกับเป้าหมายคนนี้ที่ลบล้างพลังการโจมตีของมันไปอย่างง่ายดาย

ในพริบตาต่อมาหลินเซียวก็ลอยกลับลงมายังพื้นดิน

เขาจ้องชายร่างกำยำด้วยความโมโห “ร้ายกาจนักนะ !”

ชายคนนั้นขบขัน “เจ้าเป็นคนมีฝีมือสินะ พี่น้องทั้งหลาย… โจมตีมันเลย !”

ขณะที่ป่าวประกาศดังลั่น คนขุดแร่จำนวนนับไม่ถ้วนต่างก็โบกเครื่องมือของพวกเขาขึ้นในอากาศขณะที่พุ่งตรงมายังกลุ่มของหลินเซียวและซูเฉินที่อยู่ด้านหลัง

การขุดแร่นั้นเป็นงานที่ใช้แรงกายสูง ผู้ใดที่สามารถทำงานนี้ได้ย่อมผ่านการฝึกฝนมาแล้วทั้งสิ้น แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ แต่อย่างน้อยก็คงเป็นผู้ฝึกตนระดับสูงเป็นแน่

เมื่อถูกผู้ฝึกตนจำนวนมากพุ่งเข้าใส่ คนส่วนมากคงจะแตกตื่นจนหนีไป แต่โชคไม่ดีนักที่พวกเขาเลือกคู่ต่อสู้ผิดคน ด้วยไม่มีทางเลยที่สถานการณ์นี้จะจบลงได้ด้วยดี !!

12 ข้ารับใช้ดาบที่ซูเฉินพามาด้วยตลอดทางนั้นล้วนอยู่ในระดับด่านทะลวงลมปราณและยังไม่สามารถไปต่อได้ ซึ่งทั้งสิบสองคนต่างก็ใกล้จะถึงจุดที่จะทะลวงด่านพลัง

…ที่จริงแล้วสาเหตุหนึ่งที่ซูเฉินพาพวกเขามา ก็เพราะต้องการที่จะช่วยเหลือให้พวกเขาสามารถพัฒนาระดับพลังต่อได้และหลุดจากสภาวะคอขวดในตอนนี้นั่นเอง รูปแบบการทะลวงด่านของฉือไคฮวงนั้นยังไม่สมบูรณ์แบบ แต่ซูเฉินก็สามารถสร้างโครงสร้างต้นแบบอย่างง่ายขึ้นมาได้แล้ว และด้วยการใช้ตัวต้นแบบนี้เป็นพื้นฐาน หากเขาหาหนทางอื่นในการเพิ่มแรงกดดันภายนอกได้ มันก็จะเท่ากับว่าชายหนุ่มสามารถช่วยคนเหล่านี้ให้ก้าวข้ามไปสู่ด่านพลังที่สูงขึ้นได้ !

อันที่จริง เหตุที่ซูเฉินต้องการช่วยให้พวกเขาฝึกสำเร็จ มันก็เพื่อที่เขาเองก็จะได้วิเคราะห์และเข้าใจกระบวนการฝึกฝนให้สำเร็จมากยิ่งขึ้นด้วยนั่นเอง

ผู้เชี่ยวชาญระดับด่านทะลวงลมปราณขั้นสูงเพียงคนเดียวก็สามารถล้มผู้ฝึกตนทั้งกลุ่มได้อย่างง่ายดายแล้ว

สิ่งที่หลินเซียวต้องทำมีแค่ปล่อยพลังต้นกำเนิดของเขาออกมาเท่านั้น !

คลื่นพลังอันแข็งแกร่งแผ่กระจายไปยังเหล่าคนขุดแร่อย่างทั่วถึง ทำให้พวกเขารู้สึกว่าขาของตนนั้นไร้เรี่ยวแรงราวกับลูกกวางที่กำลังเผชิญหน้ากับเสือที่ดุร้าย… ก่อนที่พวกเขาจะร่วงลงไปกับพื้นภายในชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น