GGS:บทที่ 882 นี่คุณอยากได้เงินขนาดนั้นเลยเหรอ
ราคาของรูปปั้นได้พุ่งสูงขึ้นเร็วราวกับติดจรวดจนสร้างความตกตะลึงให้กับชาวเน็ตไปทั่วกัน
“โว่…ห้าสิบล้านหยวน ราคาของชิ้นนี้มันช่าง….”
“ไอ้คนที่บอกว่าลูกพี่จิ้งนั้นไม่ยอมรีบขายตอนห้าล้านเหรียญแล้วต้องมาขายเลหลังทีหลังนี้ตอนนี้หน้าแตกยับไปรึยัง”
“เฮ้เฮ้สมบัติที่พี่จิ้งเอาออกมาแต่ละชิ้นมีค่าแค่ห้าล้านหยวนน่ะนะ ไม่เคยมีเรื่องแบบนั้นมาก่อนเลยนะเท่าที่ฉันรู้มา”
“นายไม่รู้ความรู้สึกของฉันหรอก ฉันและภรรยาได้มีโอกาสไปสวนฟางหลินเมื่อเช้านี้จนได้เห็นรูปปั้นนั้นกับตาตัวเอง ตอนนี้ฉันรู้สึกได้เลยว่ามันสวยงามและรู้สึกถึงอารมณ์ศิลป์จริงๆ
หลังจากที่รูปปั้นนั้นได้ตั้งที่สวนฟางหลินจึงทำให้มีค่าห้าสิบล้านหยวนน่ะนะ ไม่ใช่ซะหรอก ฉันบอกได้เลยว่าฉันกับภรรยาตีค่ารูปปั้นนั้นเกินไว้กว่าร้อยล้านหยวน”
“นายน่ะยังโชคดีที่ได้เห็น ตอนฉันไปหลังจากได้ยินข่าวก็เจอคนเยอะจนแทรกเข้าไปเห็นยังไม่ได้เลย”
“ว่าแต่ใครเป็นคนสร้างรูปปั้นอันสุดแสนน่ามหัศจรรย์พันลึกนั้นได้กัน”
“มีคนบอกว่าช่างฝีมือคนนี้บรรลุถึงขั้นที่ไม่มีใครคาดเดาได้ แม้แต่เหล่าศิลปินนักปั้นทั้งหลายเมื่อเห็นยังต้องตกตะลึงกันเลย”
“ก่อนหน้านี้ซูจิ้งได้ครอบครองรูปปั้นเหมือนมีชีวิตเอาไว้ รูปปั้นนั้นถูกขายที่สิบล้านดอลล่า ไม่รู้ว่ารูปปั้นทั้งสองนั้นถูกสร้างสรรค์ด้วยคนเดียวกันรึเปล่า”
“ชาวต่างชาติตอนนี้มาเสนอที่ห้าสิบล้านหยวนแล้ว ซูจิ้งน่าจะขายแหล่ะ เขาน่าจะไม่ยื้อไปกว่านี้แล้ว”
ตอนนี้โลกภายนอกนั้นต่างก็ตกตะลึงไปตามๆกัน ไม่คิดว่าชาวต่างชาติจะมาเสนอซื้อรูปปั้นนี้ด้วยเงินกว่าห้าสิบล้านหยวน
ณ หน้าสำนักงานกลางที่ดูแลที่นี่และปิดประตูกั้นเอาไว้เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายภายใน
อลันและแอนนาในตอนนี้ยังไม่ได้รับการติดต่อจากซูจิ้งแต่ประการใดจึงได้มาที่นี่เพื่อสอบถามความคืบหน้า เมื่อเห็นผอ.หวังยังนั่งนิ่งเป็นทองไม่รู้ร้อนทั้งสองอดไม่ได้จนต้องถามออกมาว่า
“พวกเราเสนอเงินไปห้าสิบล้านหยวนแล้ว ทำไมผอ.ยังไม่ติดต่อไปยังคุณซูอีกล่ะครับ”
“ห้าสิบล้านยังน้อยเกินไป ผมไม่สนใจหรอก” ผอ.หวังที่กำลังนั่งไขว่ห้างอยู่ตอนนี้พูดออกมาอย่างหนักแน่น ความจริงตอนที่พูดออกไปนี้เขาอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ คำพูดนี้ช่างฝืนใจเขาอย่างมาก นี่เป็นครั้งแรกเลยที่เขานั้นได้เรียนรู้ความรู้สึกแบบนี้
หากไม่ใช่ว่าซูจิ้งนั้นบอกไว้ว่าหากไม่มีคนเสนอสองร้อยล้านหยวนไม่ต้องโทรไปเป็นเกณฑ์ไว้ล่ะก็ แค่ได้ยินว่าห้าสิบล้านหยวนนี่เขาคงนั่งไม่ติดที่แล้วล่ะ
“ไม่จริงน่า ห้าสิบล้านหยวนเนี่ยนะน้อยไป” แอนนาโวยวายออกมาด้วยท่าทางโกรธเล็กน้อย
“เฮ้อ ผมขอถามหน่อยเหอะว่าคุณสามารถใช้เงินห้าสิบล้านหยวนที่ว่ามานี่เสนอซื้อวีนัสไร้แขนของไมเคิลแองเจโล่ได้รึเปล่า
เอาจริงๆนี่ผมยังไม่ได้โวยวายเรื่องที่พวกคุณพยายามซื้อรูปปั้นนี้ด้วยราคาสองหมื่นหยวนก่อนนี้ด้วยซ้ำ ไอ้คนที่เริ่มก่อนคือพวกคุณที่จะโกงหรอกเหรอ
นี่ถ้าผมละโมบจนยอมขายให้พวกคุณไปผมคงไม่มีหน้าอยู่ในเมืองจีนนี้แล้ว” ผอ.หวังเริ่มตะคอกออกมาอย่างเหลืออด
“ผมขอโทษ มันเป็นความผิดผมเองจริงๆ แต่ราคาห้าสิบล้านหยวนนี้ถือว่าสูงแล้วจริงๆนะครับ คุณลองคิดดูก็ได้ว่าจะมีใครกล้าเสนอเงินสูงเท่าเราได้อีกกัน
ก็จริงที่ราคานี้ไม่สามารถที่จะซื้อรูปปั้นวีนัสไร้แขนนั้นได้ แต่คุณต้องไม่ลืมว่ารูปปั้นนั้นนอกจากจะแฝงไว้ด้วยอารมณ์ศิลป์แล้วมันยังมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ด้วย
แน่นอนว่าอย่างหลังนี่ถึงทำให้ราคาของมันทะลุขึ้นสูงกว่าที่ควรจะเป็น รูปปั้นที่ตั้งในเมืองฟางหลินนี้ไม่บันทึกทางประวัติศาสตร์หรือคุณค่าทางวัฒนธรรมเลย
รูปปั้นนี้ควรจะมีค่าในด้านงานศิลป์อย่างเดียวเท่านั้น การที่จะนำคุณค่ามาเทียบกันแบบนี้ผมว่าเป็นไปได้ยาก” อลันพูดออกมา
เอาจริงๆหลังจากได้ยินคำพูดนี้เองผอ.หวังก็เริ่มจะอยู่ไม่สุขเหมือนกัน นั่นก็เพราะว่าเขาเองนั้นเข้าใจในสิ่งที่ชายชาวต่างชาตินี้กำลังจะพยายามสื่ออกมาดี
งานศิลป์มากมายที่มีมูลค่าสูงเวอร์นั้นส่วนใหญ่เป็นผลมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนาน มันก็เหมือนกับเครื่องลายครามที่มีทั้งคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมีความงามจนยากจะปฏิเสธ
ด้วยเหตุผลทั้งสองอย่างนี้ทำให้ของที่มีลักษณะเดียวกันรูปร่างเหมือนกันราคาเพียงไม่กี่พันหยวนกับอีกชิ้นที่สร้างมาเมื่อกาลก่อนแต่กลับราคานับล้านก็มีเยอะ
ด้วยเรื่องนี้เขาเองก็คิดไว้เหมือนกันว่ารูปปั้นของซูจิ้งที่ไม่รูปที่มาที่ไปการจะนำไปเทียบกับรูปปั้นวีนัสไร้แขนนั้นคงจะยากไปหน่อย
แต่ยังไงซะเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาอยู่แล้ว เป็นซูจิ้งเองที่บอกราคาขั้นต่ำกับเขาไว้แล้วว่าอย่างต่ำสองร้อยล้านหยวน ด้วยราคาแค่ห้าสิบล้ายหยวนนี้เยาเองก็สมควรจะไม่สนใจจริงๆ ในที่สุดผอ.หวังก็ต้องฝืนในตัวเองและพูดออกมาว่า “ยังไงซะ ห้าสิบล้านหยวนนี้ถือว่าเป็นราคาที่ต่ำเกินไป คุณซูไม่สนใจอย่างแน่นอน”
“คุณซูคนนี้ต้องอยากได้เงินมากแน่ๆ รูปปั้นที่ไม่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์แบบนี้ห้าสิบล้านหยวนนี่ก็ถือว่าสูงแล้ว การที่นำมาตั้งไว้ที่นี่ท้าแดดท้าฝนหรือแม้แต่การถูกทำลายหรือถูกขโมยนี่เขาไม่กลัวเลยรึไง”
อลันและแอนนาพยายามใช้คำพูดกดันผอ.หวังเพราะยังไม่ยอมถอดใจ แต่ผอ.หวังเองก็หาได้สนใจไม่ จนสุดท้ายทั้งสองไม่มีทางเลือกจึงต้องโทรไปยังอเมริกาอีกครั้งเพื่อขออนุมัติเงิน
แต่ด้วยการที่ราคาห้าสิบล้านหยวนในตอนนี้ก็ถือได้ว่าสูงมากแล้วทำให้พวกเขานั้นไม่อยากจะเพิ่มวงเงินเข้าไปอีก
พวกเขาขอส่งคนมาอีกกลุ่มหนึ่งเพื่อมาวิเคราะห์และประเมินดูก่อนตัดสินใจเพราะไม่ยากเสียใจภายหลังหากเลือกซื้อพลาดไปด้วยเงินอันสูงค่า
ในที่สุดแล้วข่าวการปฏิเสธเงินห้าสิบล้านหยวนของซูจิ้งก็ได้แพร่กระจายออกไปจนทำให้แม้แต่ชาวเน็ตก็อยู่กันไม่สุขอีกต่อไป
“แม่…เอ๊ย ห้าสิบล้านหยวนนี่ยังไม่มากพออีกเหรอ”
“มีคนว่าซูจิ้งนั้นไม่เพียงจะเขาจะไม่สนใจนะ เขานั้นไม่อยาก ไม่แยแส ไม่ไยดีต่อเงินห้าสิบล้ายหยวนนี่เลยด้วยซ้ำ”
“นี่เขารวยจนปล่อยวางได้หรือว่ารูปปั้นนี้มีค่าเกินห้าสิบล้านหยวนจริงๆกันแน่”
“วีนัสไร้แขนนั่นไม่รู้ว่าราคาเท่าไหร่กันนะ”
“ถ้ารูปปั้นวีนัสล่ะก็บอกเลยว่าประเมินค่าไม่ได้ พวกเขาไม่ได้ขายด้วยเงินกันแล้วล่ะ แต่รูปปั้นวีนัสนั่นมันไม่เพียงมีคุณค่าทางศิลปะอย่างเดียวแต่มันมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ด้วยนี่สิ มันเป็นของจากยุคอดีตก็ว่าได้นะ มันเอามาเทียบกับรูปปั้นงามเลิศในสวนฟางหลินไม่ได้หรอก”
“ในมุมมองฉันนะ ห้าสิบล้านหยวนนี่ก็มากพอแล้ว ซูจิ้งจะคลั่งเงินไปถึงไหนกัน”
“มันก็จริง จากมุมมองนี้เราเห็นว่าเขานั้นเป็นพวกละโมบอยากได้เงินทางอย่างมาก แต่ไม่ลองคิดดูว่าทำไมเขานั้นไม่เทขายสมบัติทั้งหมดแทนที่จะเก็บมันเอาไว้ล่ะ
ครั้งนี้ซูจิ้งเองก็เพียงแค่เอารูปปั้นมาตั้งเอาไว้ในสวนเท่านั้นเอง เขานั้นมีวิธีการสุดแสนจะง่ายดายและมากมายที่จะทำให้เงินห้าสิบล้านหยวนมาเข้ากระเป๋าอยู่แล้ว
แต่นี่หากเขาเลือกวิธีนี้เพื่อที่จะได้เงินเข้ากระเป๋าจริงๆมันก็ดูยุ่งยากเกินไปแล้วนี่ไม่ใช่วิธีการของเขาเลยนะ”
โลกภายนอกในตอนนี้ต่างก็คุยกันเรื่องนี้อย่างจ้าล่ะหวั่น บางคนคิดว่ารูปปั้นนี้สมควรมีค่าเกินกว่าห้าสิบล้านหยวน แต่บางคนก็คิดว่าซูจิ้งนั้นเป็นพวกหน้าเงิน
แต่ที่แน่ๆเหล่าศิลปินนั้นได้ผลจากรูปปั้นนี้มากที่สุด เหล่าศิลปินชั้นยอดอย่างเต๋าฉินซู่และเจียซิเซียและคนอื่นๆเองต่างก็เข้ามาเยี่ยมชม
วันต่อมาเหล่าศิลปินในวงการปูนปั้นงานแกะสลักของจงหยุนถึงกับต้องตกตะลึง นั่นก็เพราะเอี้ยป๋อและโจวซิเหยีนได้นำคนมายังสวนฟางหลิน
พวกเขาได้รีบขอติดต่อซูจิ้งในทันทีเพราะสมบัติของซูจิ้งแต่ละชิ้นนั้นล้วนแล้วแต่ไม่ธรรมดา เหตุการณ์นี้ทำให้ผู้คนภายนอกนั้นเริ่มสงสัยกันแล้วว่ารูปปั้นนี้เป็นเพียงงานศิลป์ร่วมสมัยจริงๆหรอ
“นายเจออะไรบ้าง” เอี้ยป๋อถามในขณะที่มองดูรอบๆรูปปั้นเป็นเวลานาน
“มองไม่ออกเลย เธอนั้นคล้ายกับว่าจะมาจากยุคกรีกโบราณเพราะมีอะไรหลายอย่างที่ทำให้คิดอย่างนั้น แต่ก็ยังมีจุดแตกต่างกันอย่างหูที่เรียวยาวนั่น มันดูพิเศษจนเหมือนกับว่าวิธีการของยุคนั้นไม่สามารถสร้างสรรค์ออกมากได้ แล้วนายล่ะ”
“ฉันเองก็ไม่เจออะไรเหมือนกัน ไม่สามารถประเมินได้ว่ามาจากยุคสมัยใด จะบอกว่ามันเป็นงานศิลป์ของยุคนี้แต่มันก็มีอะไรหลายอย่างที่ดูขัดใจ ยังไงก็คงต้องนั้นไปตรวจสอบอายุอีกทีจริงๆ” เอี้ยป๋อ (เย่โป)พูดออกมา
พวกเจานั้นได้ติดต่อซูจิ้งจนได้รับการอนุญาตให้ตรวจสอบรูปปั้นนี้จนได้ ทันทีทุกคนได้เห็นผลการตรวจสอบอายุทำให้ทุกคนตกตะลึงราวกับเห็นผีจากอดีตเลยทีเดียว