บทที่ 649 เอาอีกแล้ว

เซียนกระบี่มาแล้ว![剑仙在此]

ตอนที่ 649 เอาอีกแล้ว

เทพีกระบี่หิมะไร้นามนิ่งเงียบไปอย่างผิดปกติ

จากนั้นนางถึงได้ส่งข้อความกลับมาว่า ‘เจ้านี่มันอัจฉริยะจริงๆ’

หลินเป่ยเฉินฉีกยิ้มอย่างผู้ชนะ

เขามั่นใจอยู่แล้วว่าตนเองต้องอ่านสถานการณ์ได้ทะลุปรุโปร่ง

‘แต่เจ้ารู้มากเกินไปแล้ว’

เทพีกระบี่หิมะไร้นามส่งข้อความเพิ่มเติมมาอีกครั้ง ‘นี่คือความลับสุดยอดของเทพีกระบี่ หากเจ้ากล้านำเรื่องนี้ออกไปแพร่งพรายล่ะก็… รับรองว่าเจ้าได้ถึงแก่ความตายแน่นอน’

‘ฮ่าฮ่า ไม่ต้องเป็นกังวลไปหรอกท่าน’

หลินเป่ยเฉินพิมพ์ข้อความด้วยความสะใจ ‘ข้าไม่ได้โง่ขนาดนั้นสักหน่อย’

หลังจากหยุดเล็กน้อย เด็กหนุ่มก็ส่งข้อความต่อ ‘ตกลงว่าบัดนี้เทพีกระบี่ฟื้นฟูพลังกลับมาได้แล้วใช่ไหม? ข้าอยู่ในเมืองเจาฮุยแล้ว ที่นี่เป็นอาณาเขตของเทพีกระบี่ สมมุติหากข้าเกิดพบปัญหาขึ้นมา พวกท่านก็สามารถยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือได้แล้วสิ?’

ทว่า เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบกลับมาว่า ‘เรื่องนั้นก็แล้วแต่สถานการณ์นะ…’

หลินเป่ยเฉินกะพริบตาปริบๆ ด้วยความไม่อยากเชื่อ

แล้วแต่สถานการณ์อย่างนั้นหรือ?

ทำไมเขาถึงได้รู้สึกว่าเทพีกระบี่มีพลังลดน้อยกว่าเดิมอย่างไรไม่รู้?

‘บัดนี้สถานการณ์มันเปลี่ยนไปแล้ว’

‘เว่ยหมิงเฉินร่วมมือกับปีศาจตนหนึ่งที่แฝงตัวอยู่ในกลุ่มมนุษย์ ถ้าจัดการโดยไม่ระมัดระวัง อาจนำมาสู่วิกฤตความศรัทธาของเทพีกระบี่ก็เป็นได้…’

‘การส่งมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ในครั้งต่อไปให้แก่เจ้า คงไม่ง่ายดายเหมือนเดิมอีกแล้ว’

‘บัดนี้ ดินแดนทวยเทพก็กำลังเกิดความโกลาหลอยู่เช่นกัน ถ้าการส่งมอบพลังศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถทำให้เจ้าเก็บชัยชนะเหนือศัตรูได้ ความศรัทธาของทุกคนก็จะลดน้อยลง และนั่นจะนำมาสู่ปัญหาใหญ่’

‘มันจะทำให้เทพเจ้าองค์อื่นๆ อาศัยโอกาสนี้เข้ามาแย่งชิงพื้นที่ของเทพีกระบี่…’

‘นั่นจะก่อให้เกิดการดำเนินพิธีตรวจสอบวิหารและอัญเชิญเทพเจ้าไม่รู้จบ’

‘สรุปสั้นๆ ก็คือ สถานการณ์ ณ บัดนี้ค่อนข้างซับซ้อน’

‘นี่จึงเป็นเหตุผลที่เทพีกระบี่ยังไม่ลงโทษผู้คนในวิหารประจำเมืองเฉียนเกา ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีอยู่แล้วว่าคนเหล่านั้นหันหน้าเข้าหาปีศาจหมดสิ้น’

เทพีกระบี่หิมะไร้นามอธิบายยาวเหยียด

เมื่ออ่านข้อความทั้งหมดจบลง หลินเป่ยเฉินก็รู้สึกหนังหัวชายิบ

ตกลงเทพีกระบี่เป็นเทพเจ้าจริงหรือเปล่าเนี่ย?

‘เขียนมาตั้งยืดยาว ตกลงท่านต้องการจะบอกอะไรกันแน่?’

เขาส่งข้อความถามไปด้วยความร้อนใจ

เทพีกระบี่หิมะไร้นามตอบกลับมาว่า ‘บัดนี้ นครเจาฮุยไม่ได้เป็นศูนย์รวมศรัทธาต่อเทพีกระบี่เหมือนเดิมอีกแล้ว เทพีกระบี่จึงไม่สามารถลงมือทำสิ่งใดได้โดยสะดวกเหมือนที่เจ้าคิด ถ้าเจ้าต้องการความช่วยเหลือ เจ้าก็ต้องสร้างความศรัทธาให้กลับมาแข็งแกร่งดังเดิมก่อน และนั่นหมายความว่าเจ้าต้องบุกยึดวิหารประจำเมืองเจาฮุยให้สำเร็จ คืนอำนาจทั้งหมดให้สาวกของเทพีกระบี่ตัวจริงได้ควบคุมอีกครั้ง ถึงตอนนั้นเมื่อไหร่ เทพีกระบี่จึงจะสามารถช่วยเจ้าได้ในที่สุด’

หืม?

หลินเป่ยเฉินยกมือนวดขมับด้วยความปวดหัว

เรื่องนี้มัน…

พูดง่ายแต่ทำยากนะ

บุกยึดวิหารประจำเมืองเจาฮุย และคืนอำนาจที่แท้จริงให้แก่สาวกอย่างนั้นหรือ?

หรือนางกำลังหมายถึงท่านป้านักพรตใหญ่หลงเยว่?

ถ้าอย่างนั้นให้เขาบุกไปที่วิหารและตามหาท่านป้าหลงเยว่ตอนนี้เลยดีหรือไม่?

ปัญหาทุกอย่างจะได้คลี่คลายลงอย่างรวดเร็ว

ถ้าหลินเป่ยเฉินสามารถคืนอำนาจทั้งหมดให้แก่ท่านป้านักพรตใหญ่หลงเยว่ได้อีกครั้ง ก็ไม่มีอะไรที่จะจัดการไม่ได้แล้ว

ไม่ว่าจะมีปัญหาอื่นใดตามมาอีกมากมายขนาดไหนก็ตาม

แต่ตราบใดที่ท่านป้านักพรตใหญ่หลงเยว่เป็นผู้ควบคุมวิหารประจำเมือง เทพีกระบี่ก็จะสามารถช่วยเหลือหลินเป่ยเฉินได้อีกครั้ง

เมื่อถึงตอนนั้น ยังจะมีใครกล้ามีเรื่องกับเขาอีกหรือ?

ฮ่าฮ่าฮ่า

‘รับทราบตามนั้น’

นี่คือประโยคจบการสนทนาในแอปวีแชทของเด็กหนุ่ม

จากนั้น เขาก็ลองเปิดแอปเจิ้นอ้ายหว่าง

ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง! ติ๊ง!

ปรากฏข้อความส่วนตัวเด้งขึ้นมารัวๆ

‘เจ้าสุนัขบ้า เจ้ายังมีชีวิตอยู่หรือไม่?’

‘ข้าเห็นเจ้าถอนเครื่องรางดาวนำโชคไปแล้วนะ เจ้าเอาไปใช้ออกคำสั่งกับชาวทะเลแล้วหรือยัง?’

‘รีบส่งรูปหมาป่าน้อยมาให้ข้าดูบ้างสิ ข้าคิดถึงพวกมันจะแย่แล้ว’

‘ทำไมถึงไม่ตอบข้อความข้าเลย เจ้าส่งรูปหมาป่ามาให้ข้าดูหน่อย แล้วข้าจะส่งเครื่องรางเทพเจ้าไปให้เจ้าอีก ดีหรือไม่?’

‘เจ้ายังไม่ตอบข้อความข้าอีกหรือ’

‘เพราะเหตุใดกัน?’

‘เจ้าต้องการเครื่องรางสองชิ้นใช่ไหม?’

‘หรือว่าอยากได้สามชิ้น?’

‘ข้าสามารถมอบให้เจ้าได้สูงสุดสี่ชิ้น ให้มากไปกว่านี้อีกไม่ได้แล้ว’

‘ยังไม่พออีกหรือ?’

‘เจ้าหมาน้อย เจ้าโลภมากเกินไปแล้วนะ อย่าลืมสิว่าข้ามีสถานะเป็นถึงเทพเจ้าแห่งท้องทะเลในโลกของพวกเจ้า คิดว่าข้าจะสามารถมอบเครื่องรางเทพเจ้าให้กับใครง่ายๆ ก็ได้อย่างนั้นหรือ…’

หลินเป่ยเฉินแทบไม่อยากเชื่อข้อความที่ปรากฏขึ้นต่อสายตาของตัวเอง

ให้ตายสิ

ไม่ได้เช็กโทรศัพท์แค่ไม่กี่วัน เขาพลาดของวิเศษมากมายถึงขนาดนี้เชียวหรือ?

เครื่องรางเทพเจ้าของธิดาอู๋ไห่จือตี้ถึงสี่ชิ้น?

ตายๆๆๆ

อย่าว่าแต่ต้องส่งรูปหมาป่าน้อยไปให้ธิดาอู๋ไห่จือตี้ดูเพื่อแลกกับเครื่องรางเทพเจ้าเลย ต่อให้ต้องส่งหมาป่าน้อยทั้งสองตัวนั้นไปให้กับนาง เขาก็ยินดีทำโดยไม่ลังเล

หลินเป่ยเฉินไม่เคยรู้สึกเสียดายมากเท่านี้มาก่อน

‘ท่านยังอยู่หรือไม่?’

‘ธิดาอู๋ไห่จือตี้?’

‘ธิดาอู๋ไห่จือตี้ผู้ยิ่งใหญ่ยังอยู่หรือไม่ขอรับ?’

‘ถ้าข้าส่งรูปหมาป่าน้อยให้ท่านดูตอนนี้ยังทันหรือไม่?’

‘ถ้าเห็นแล้วช่วยตอบข้อความกลับมาด้วย’

หลินเป่ยเฉินส่งข้อความกลับไปรัวๆ เช่นกัน แต่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบรับกลับมาเลย

ธิดาอู๋ไห่จือตี้ยังไม่ได้อ่านข้อความของเขาด้วยซ้ำ

หมายความว่านางคงยังไม่ได้ต่ออินเทอร์เน็ต

หลินเป่ยเฉินเก็บโทรศัพท์กลับเข้าไปด้วยความหงุดหงิดใจ

เฮ้อ

เศร้าชะมัด เห็นทีหลังจากนี้เขาคงต้องขยันเช็กมือถือหน่อยดีกว่า

นี่คือบทเรียนราคาแพงทีเดียว

ถ้าเขามีเครื่องรางเทพเจ้าแห่งท้องทะเลอยู่ในมือถึงสี่ชิ้น ต่อให้เป็นนักบวชสูงสุดของโลกใต้ทะเลก็ยังต้องยอมคุกเข่าและเรียกเขาว่าบิดาแล้ว

ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเครื่องรางเหล่านั้นจะมีมูลค่ามากมายมหาศาลเพียงใด!

รถม้าเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้อย่างเชื่องช้า

ท้องถนนยามบ่ายมีผู้คนสัญจรหนาแน่น

หลินเป่ยเฉินกำลังชั่งใจอยู่ว่าถ้าเขาส่งรูปหมาป่าน้อยทั้งสองตัวไปให้ธิดาอู๋ไห่จือตี้ดูในตอนนี้ โอกาสที่จะได้ครอบครองเครื่องรางเทพเจ้าเหล่านั้นจะยังคงมีอยู่หรือไม่?

แต่คิดมาถึงตรงนี้ หูของเขาก็ได้ยินเสียงสะบัดสายแส้พร้อมกับเสียงอุทานเล็กน้อย

หลินเป่ยเฉินลุกขึ้นนั่งหลังตรงทันที

เสียงอุทานเมื่อสักครู่นี้คุ้นหูมาก

วันนี้เขาได้ยินเป็นครั้งที่สองแล้ว

“กงกง หยุดรถ”

หลินเป่ยเฉินพูดพร้อมกับเลื่อนประตูห้องโดยสารเปิดออกและกระโดดพุ่งออกไปด้านนอก

วูบ!

เด็กหนุ่มใช้วิชาตัวเบาทิ้งตัวลงไปยืนอยู่บนหลังคาของตึกหลังน้อยที่อยู่ใกล้เคียง

เขากวาดสายตามองรอบตัว

จึงได้เห็นร่างของใครบางคนกำลังลอยละลิ่วไปทางตรอกที่อยู่ห่างไกล

อีกฝ่ายมีวิชาตัวเบาร้ายกาจมาก

เพียงชำเลืองมองด้วยตาเปล่า ก็สามารถยืนยันได้แล้วว่าคนผู้นั้นมีพลังอยู่ในขั้นยอดปรมาจารย์

“ข้าจะแวะไปซื้อผลไม้ทานเล่นสักครู่… พวกเจ้าทุกคนรออยู่ที่นี่ก่อน”

หลินเป่ยเฉินตะโกนบอกผู้ติดตามของตนเองก่อนจะใช้วิชาตัวเบาไล่ตามไปทางตรอกห่างไกลแห่งนั้น

“นายน้อยขอรับ นายน้อย?”

หวังจงยกมือป้องปากตะโกนเรียก แต่ร่างของเด็กหนุ่มก็หายลับไปจากสายตาแล้ว

ในห้องโดยสารของรถม้า สองสาวรับใช้ได้แต่มองหน้ากัน

หลังจากนั้น…

“อ๊ะ อ๊า…”

พวกนางก็แก้มแดงระเรื่อ หัวใจเต้นรัวเร็ว

รู้สึกได้ถึงพลังลมปราณที่ไหลรินเข้าสู่ร่างกาย

อ้า…

เอาอีกแล้วสินะ

ใช่แล้ว

หลินเป่ยเฉินได้เชื่อมต่อสัญญาณไวไฟ แบ่งปันพลังกับหญิงรับใช้ทั้งสองคน

ก่อนหน้านี้ เขาไปมีเรื่องกับเจ้าหน้าที่ที่ชื่อว่าเฉียนซานเซิ่ง จึงมีความเป็นไปได้ที่หมอนั่นกำลังรอจังหวะแก้แค้นเขาอยู่

ถ้ามีเขาอยู่ด้วย เด็กหนุ่มก็ไม่เป็นห่วง

แต่ในยามที่เขาต้องปลีกตัวไปทำธุระอย่างอื่น ใครเล่าจะสามารถคุ้มครองสองสาวรับใช้ของเขาได้?

หากเฉียนซานเซิ่งส่งคนมารังแกพวกนางจะทำอย่างไร?

เมื่อได้รับพลังพิเศษเพิ่มเติมไปแล้ว หลินเป่ยเฉินจึงมั่นใจว่าเฉียนเหมยมีดีพอที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ได้แน่นอน