ซือหยูพยักหน้าและพูดอย่างจริงใจ
“ขอบคุณท่านที่สนับสนุนและช่วยเหลือมาหลายปี!”
ม่อเทียนฉวนหน้าแดงนางสงสัยซือหยูที่มาจากต่างโลกโดยตลอดว่าเขาพยายามจะชิงจิวโจว นางมักจะทำให้เขาตกอยู่ในอันตรายอยู่เสมอ ดังนั้นนางจึงอับอายเมื่อซือหยูบอกว่าขอบคุณที่นางช่วย
“ฮ่าๆๆๆ!น้องซือ ข้ารู้ว่าข้าตัดสินใจถูกที่เลือกติดตามเจ้า…”
จักรพรรดิผีพูดด้วยความตื่นเต้น
“สิ่งที่เจ้าทำช่างน่าสนุกนัก!”
แม้จักรพรรดิเทพจะเคยเห็นเทพมามากมายแต่เป็นซือหยูที่ทำให้เขาสนุกสนานเช่นนี้
ซือหยูตอบ
“หึหึ!เรื่องที่น่าตื่นเต้นกว่านี้ยังรอเจ้าอยู่!” ซือหยูมองเทพกิเลนที่ยืนบนไหล่ของเขา
“ข้ายังมีความปรารถนายิ่งใหญ่กว่าที่ยังไม่ลุล่วง!มันจะน่าสนุกกว่านี้อีก!”
จักรพรรดิผีตาลุกวาวแม้ซือหยูจะไม่ได้เล่ารายละเอียด มันก็น่าตกใจราวกับเกิดแผ่นดินไหวเมื่อดูจากความมั่นใจของเขา
“ไปกันเถอะ!ผู้สืบสวนกำลังจะเทียบท่าแล้ว!”
ภายในสองเดือนชาวพันธมิตรบูรพาตกตะลึงกับข่าวประหลาด
“เฮ้ย!เจ้าได้ยินหรือไม่? อาชญากรที่ลักพาตัวลูกเทพกระเรียนไม่ใช่โจรลักพาตัวอีกแล้ว!”
“หือ?เกิดอะไรขึ้น? เขาถูกจับกลายเป็นนักโทษไปแล้วรึ?”
“ไม่ใช่!เขาไม่มีความผิดแล้ว!”
“หา!เจ้าแน่ใจเรอะ? ใครก็ตามที่กล้าลักพาตัวลูกเทพล้วนต้องโทษประหาร! เขาจะไม่มีความผิดได้ยังไง? เจ้าพูดเหลวไหลอะไรกัน? ถ้าเขาไม่ผิด ลูกหลานเทพทั้งหมดก็ตกอยู่ในอันตรายแล้ว!”
“หึหึ!ความบริสุทธิ์ของเขาถูกประกาศโดยเทพสองคน หนึ่งในนั้นคือเทพกระเรียนเองด้วย! ไม่มีใครอื่นได้รับอนุญาตให้สืบความเรื่องนี้อีกแล้ว!”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?เจ้าจะบอกว่าเทพสองคนสั่งอภัยโทษเขารึ? เจ้าหมายความว่าเขากลายเป็นประชาชนหลังจากเป็นอาชญากรงั้นเรอะ?”
“เจ้าพูดผิดไปสองอย่าง!อย่างแรก เทพสองคนไม่ได้ให้คำสั่ง พวกเขาสองคนอภัยให้เขาด้วยตัวเอง! อย่างที่สอง เขาไม่ใช่แค่ประชาชน แต่เขายังเป็นคนที่ถูกมอบหมายให้ทำงานสำคัญด้วย!”
“บ้าไปแล้ว!เจ้าหลอกข้าเล่นเรอะ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าคนที่กล้าลักพาตัวลูกเทพกระเรียนจะถูกมอบหมายหน้าที่สำคัญ! เจ้าหมายความว่าเขากลายเป็นผู้คุมกฎใช่ไหม? นี่มันไม่น่าเชื่อแล้ว!” “โว้!ผู้คุมกฎ? เจ้าล้อเล่นเรอะ? ตอนนี้ ชายคนนั้นคือตัวแทนของเทพทั้งสองคน ตราประจำตัวเทพทั้งสองคนนั้นอยู่ในมือเขา เขามีอำนาจสั่งทุกคนในโลกสองใบ ตั้งแต่ผู้คุมกฎไปจนถึงคนธรรมดา! ใครก็ตามที่ขัดคำสั่งเขาจะถือว่าเป็นการดูหมิ่นเทพ! ตอนนี้เขาไม่ต่างจากเทพในโลกทั้งสองใบนั้น!”
เพล้ง!
ทุกคนในร้านอาหารเงียบกริบมีเพียงเสียงถ้วยชาหลายใบที่ร่วงกราวลงกับพื้น
“ได้โปรดพูดว่าเจ้าล้อเล่นเถอะ!เทพสองคนให้ตราเทพกับเขาคนนั้นเรอะ? เขาเป็นตัวแทนของเทพสองคนนั้นจริงเรอะ?”
แม้แต่เสียงเส้นผมร่วงลงพื้นยังดังลั่นในเวลานี้หูของทุกคนผึ่งผายพร้อมรับฟังทุกสิ่งทุกอย่าง
ชายคนที่เล่าเรื่องนี้ตื่นเต้นเมื่อเห็นว่าทุกคนฟังเขาอย่างตั้งใจเขาที่เป็นยอดฝีมือธรรมดาภูมิใจที่กลายเป็นที่สนอกสนใจจากยอดฝีมือมากมายที่นี่ หลังจากยกสุราขึ้นดื่มเขาพูดเสียงดัง
“บางทีเจ้าอาจจะไม่รู้แต่ท่านซือที่กลับชาติมาเกิดจากมังกรได้มีวิญญาณเก้ามังกรในร่าง เขาควรจะถูกประหารหลังจากลักพาตัวเหอเสี่ยวหลาน! แต่เขาก็ปั่นป่วนธารดาราด้วยพลังเก้ามังกรอันแข็งแกร่ง มันทำลายฟ้าดินและดวงดาราไปมากมาย เทพทั้งสองตกตะลึงกับสิ่งที่เขาทำ!”
“เมื่อเทพทั้งสองเห็นความผิดตกที่เกิดจากดวงวิญญาณเก้ามังกรพวกเขาก็เชื่อว่าท่านซือคือยอดฝีมือหายากที่ถูกเลือกโดยสวรรค์ พวกเขาจึงอภัยให้กับเขาและให้ตราเทพกับเขาตามลำดับ!”
หลังพูดจบชายคนนั้นหยุดพัก เมื่อเห็นว่าทุกคนในร้านกำลังตั้งใจฟังเขา เขาก็ถามต่อไป
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไรเทพสองคนนั้นถึงให้ตราเทพกับท่านซือ?”
“ทำไมกันล่ะ?บอกพวกข้าสิ! แม้แต่ลูกหลานเทพก็ไม่ได้ตราเทพมาง่าย ๆ! เทพสองคนเต็มใจให้ตราเทพของตัวเองกับเขาได้ยังไง?”
ทุกคนในร้านวางจานชามและตะเกียบพร้อมกับมองชายที่พูดเมื่อเห็นว่าชายคนนั้นปล่อยให้พวกเขาเดา พวกเขาก็เริ่มรำคาญใจ
ทำไมกัน?
ก็แค่ตอบพวกข้ามา!
พวกข้าคิดคำตอบเองไม่ได้หรอก!
“เพราะเทพทั้งสองคนคิดจะรับท่านซือเป็นศิษย์น่ะสิ!ในอนาคต คนผู้นี้จะถูกบ่มเพาะจนกลายเป็นเทพ!”
อ๊ากกก!
ทุกคนใจร้านอุทานด้วยความตกใจ
พวกเขาเริ่มหันไปพูดคุยกันเอง
“ท่านซือเป็นผู้มีน้ำใจเขาไม่อยากให้เทพทั้งสองผิดหวัง จึงยอมรับตราเทพของทั้งสองพ้อมกัน เมื่อเขาตัดสินใจได้เมื่อใด เขาจะเลือกเองว่าจะเป็นศิษย์ของเทพคนใด!” คำตอบเช่นนี้ไร้เหตุผลสำหรับหลายคนแต่ใครจะต้องการเหตุผลสำหรับโจรลักพาตัวที่จู่ ๆ ก็กลายเป็นผู้สืบสวนของเทพสองคนเล่า?
เรื่องประหลาดย่อมมีคำอธิบายอันไร้เหตุผลรองรับ
เมื่อข่าวลือไปถึงหูคนตระกูลเทพกระเรียนทุกคนก็หงุดหงิดใจ พวกเขารู้ว่านี่คืออุบายของซือหยู เป็นไปไม่ได้ที่เทพกระเรียนจะเต็มใจให้ตราเทพกับซือหยู
แต่ตระกูลเทพกระเรียนก็ถูกบังคับให้ต้องทนเงียบ
เมื่อคนบนโลกเทพจิงรู้ข่าวพวกเขามิอาจหาเหตุผลในการตัดสินใจของเทพจิงได้ เทพจิงไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้เลย ผู้คนเองก็ไม่ถามเพราะพวกเขาจะไม่มีวันไม่ฟังคำสั่งของเทพจิง
เมื่อโลกเต็มไปด้วยข่าวลือเทพทั้งสองเงียบไร้การเคลื่อนไหว ไม่มีใครมาไขข่าวลือให้กระจ่างเลย คนที่ไม่เชื่อข่าวลือก็ถูกหยอกล้อว่าเป็นคนโง่จากคนที่เลือกเชื่อข่าวลือ
เมื่อโลกได้เห็นการตอบสนองของเทพที่นิ่งเงียบผู้คนก็เริ่มที่จะเชื่อว่าซือหยูเคยเป็นมังกรกลับชาติมาเกิดและถูกเลือกโดยสวรรค์ หมายความว่าเทพสองคนคิดจะรับเขาเป็นศิษย์จริง ๆ!
ไม่ช้าไม่นานข่าวลือก็กำลังจะกลายเป็นเรื่องจริง
ในขณะเดียวกันท่านซือผู้โด่งดังกำลังสนุกสนานอยู่กับการดูแลอย่างยอดเยี่ยมในตำหนักที่ตกแต่งอย่างดี
ในสองเดือนซือหยูได้กลายเป็นอสูรเนรมิตรขั้นสอง
ซือหยูเอนกายใต้ต้นไม้อย่างเกียจคร้านได้สั่ง
“องุ่น!”
องุ่นที่ปอกเปลือกแล้วถูกป้อนใส่ปากซือหยูโดยนิ้วอันเรียวเล็ก ซือหยูเคี้ยวองุ่นอย่างชอบใจ
“หั่นแตงโมให้ข้าชิ้นนึงสิ!”
“ซือหยู!อย่าล้ำเส้นนะ!”
เสียงคนโมโหดังที่ข้างหูของเขาดูเหมือนว่าคนที่รับใช้เขาจะข่มความโกรธมานานแล้ว
เหอเสี่ยวหลานฟื้นฟูร่างกายกลับมาแล้วหญิงสาวอวดดีกำลังสวมชุดสาวใช้จ้องมองซือหยูพลางกัดฟันแน่น
ในสองเดือนที่ผ่านมาซือหยูได้ตำหนักในโลกเทพกระเรียนมาด้วยตราเทพ ต่อมาเขาก็เริ่มปิดประตูฝึกตนในตำหนักหลังจากได้ทรัพยากรมากมายบนโลก เมื่อเขาคิดจะพัก เขาก็ให้เหอเสี่ยวหลานมารับใช้เขา
ซือหยูลืมตาพูดด้วยรอยยิ้ม
“ก็ได้ถึงเวลาที่ข้าต้องสืบคดีแล้ว! ใช่สิ! ข้าได้ยินว่าคังเตี้ยยี่หายตัวไปเมื่อไม่นานมานี้ นี่เป็นปัญหากวนใจข้า! เขาอยู่ที่ไหนกัน? ขอข้าคิดหน่อย! บางทีข้าอาจจะต้องไปโลกเทพตำราก่อน บางทีเทพตำราอาจจะมีตราชีวิตของเขา! แล้วถ้าเขาพูดอะไรมาก่อนตายเล่า?”
“นี่นายท่าน โปรดทานแตงโมเถอะ”
เหอเสี่ยวหลานยิ้มแห้งๆ และป้อนแตงโมให้ซือหยู
ซือหยูเอนกายลงและถอนหายใจ
“เห้อขอข้าคิดอีกหน่อยก็แล้วกัน ใช่ คิดอีกสักหน่อย นี่เป็นเรื่องสำคัญ ข้าจะตัดสินสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้”
เหอเสี่ยวหลานถอนหายใจด้วยความโล่งอกถึงในใจนางจะมีแต่ความชิงชังซือหยูก็ตาม
ซือหยูรู้ว่าเทพจิงและเทพกระเรียนไม่คิดจะทำลายความสัมพันธ์ระหว่างกัน
เทพจิงยอมรับความตายของจิงไป่สิ่งที่เขาต้องการในเวลานี้คือศักดิ์ศรี เขาไม่สนว่าซือหยูจะหาตัวฆาตกรเจอหรือไม่
แต่เขาก็ยังหวังให้ซือหยูสืบสวนอย่างเหมาะสม
ดังนั้นเทพจิงจึงไม่รับตราเทพคืนจากซือหยูเทพทั้งสองยังค่อนข้างพอใจกับซือหยูที่ชักช้าในตอนนี้เพราะจะลำบากหากซือหยูเจอหลักฐาน
พวกเขายินดีที่ได้เห็นว่าการสืบสวนชะงักลงส่วนเรื่องข่าวลือนั้น ทั้งสองเลือกที่จะไม่สนใจ
ด้วยเหตุนี้ซือหยูจึงทำทุกอย่างที่เขาต้องการได้ในโลกของเทพทั้งสองด้วยตราเทพ
โชคดีที่ซือหยูนั้นใช้อำนาจได้ดีเขาไม่ทำเรื่องอุกอาจแม้จะมีตราเทพ นี่เองก็เป็นเหตุผลที่เทพทั้งสองไม่ริบตราเทพคืนจากเขา
ซือหยูรู้ว่าเขาทำอะไรได้และทำอะไรไม่ได้นั่นทำให้เทพทั้งสองสบายใจ
หลังจากพักไม่นานซือหยูกำลังจะปิดประตูฝึกตนต่อไป
เขาเรียกเทพกิเลนออกมา
“เทพกิเลนเจ้าใช้ทรัพยากรที่ข้าให้หมดหรือยัง?” เทพกิเลนตอบด้วยรอยยิ้ม
“ยังไม่หมดหรอกน่า!ที่เจ้าให้ข้ามาน่ะคือหนึ่งในพันของโลกเทพจิงกับเทพกระเรียนเชียวนะ มันมากกว่าทั้งหมดในจิวโจวเสียอีก ข้าจะใช้หมดในเวลาไม่นานได้ยังไง?”
“แต่เจ้าหนูทำไมเจ้าถึงเลือกบ่มเพาะเซียนพวกนั้นล่ะ? เจ้าจะทำอะไรกับพวกเขาในอนาคต?”
เทพกิเลนถามด้วยความสงสัย
ซือหยูตอบอย่างจริงจัง
“ข้ารวบรวมข้อมูลตั้งแต่มาถึงที่นี่ข้าแอบบ่มเพาะคนหาข่าวอยู่ จึงเทพกระเรียนกับเทพจิงจะไม่รู้ ตามข้อมูที่ข้าได้ ข้ารู้ว่าพันธมิตรบูรพาที่ดูเจริญรุ่งเรืองนี้เต็มไปด้วยวิกฤติ ถ้าข้าไม่สะสมพลังในตอนนี้ มันจะสายไปเมื่อเกิดปัญหา!”
ข้อมูลส่วนใหญ่ที่เขาได้มานั้นเกี่ยวข้องกับเผ่าอสูร
เมื่อซือหยูอยู่ในจิวโจวเขาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเผ่าอสูรเลย
เขาคิดว่าจิวโจวเป็นเพียงโลกที่ถูกทำลายโดยเผ่าอสูรหลังจากรวบรวมข้อมูลมา เขาหนักใจ ข้างในมีแต่ความกังวล
เผ่าอสูรมิได้บ่อนทำลายแต่เพียงจิวโจวแต่ยังร่อนเร่อยู่ในธารดารา
เผ่าอสูรมีที่มาจากดินแดนอสูรในโลกใบอื่นอสูรแทบทั้งหมดมาจากที่นั่น
อสูรเกิดมาพร้อมกับความแข็งแกร่งวิธีฝึกฝนเองก็โหดร้ายเกินทน พวกเขาจะเติบโตได้โดยการกลืนกินเลือดเนื้อของสิ่งอื่น
ในธารดารามีสายพันธุ์เกินหนึ่งพันสาย แต่ก็ไม่มีเผ่าพันธุ์ใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าเผ่าอสูร
เผ่าอสูรนั้นเหนือกว่าใครพวกมันมักจะบุกรุกโลกหลาบใบในธารดาราและกลืนกินสิ่งบนโลกนั้นจนหมด
มันจะเกิดทุกๆ สองถึงสามทศวรรษ
ในสิบปีที่ผ่านมามีเกิดขึ้นในทุกสองปี
หลังจากได้รับสัญญาณจากโลกใบนั้นว่าอสูรกำลังจะบุกรุกหยางไท่ที่เป็นผู้คุมกฎอาวุโสลำดับสามได้รับมอบหมายให้นำกลุ่มสิบคนไปต่อกร