ตอนที่ 1170 - วายุที่กำลังจะเกิดขึ้น

The Divine Nine Dragon Cauldron

เมื่อกลุ่มหยางไท่มาถึงโลกใบนั้นก็ถูกอสูรพิชิตไปแล้ว มันเต็มไปด้วยการทำลายล้าง
  เช่นเดียวกับที่ซือหยูเคยเห็นมีเพียงไม่กี่ร้อยคนท่ามกลางคนนับหมื่นล้านเท่านั้นที่รอดมาจากโลกใบนั้น
  กลุ่มผู้คุมกฎที่นำโดยหยางไท่เองก็ตายกันหมด
  ความเร็วที่โลกใบหนึ่งจะถูกทำลายค่อยๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ พันธมิตรบูรพาเล็งเห็นปรากฏการณ์อันผิดปกติเหล่านี้
  พวกเขาต้องเพิ่มการป้องกันและมาตรการที่แน่นหนายังมีการส่งคนไปตรวจสอบดูโลกของอสูรด้วย
  แต่คนทีถูกส่งไปก็ไม่เคยได้กลับมาในทุกครั้ง
  อีกทั้งยังมีเทพหนึ่งคนที่ตายไปด้วย  พันธมิตรบูรพากำลังเผชิญหน้ากับอันตรายใหญ่หลวงหาได้สงบสุขอย่างที่ตาเห็น
  “จัดการกับเผ่าอสูรคือเรื่องสำคัญที่สุดและข้าก็เป็นแค่คนที่เทพแต่งตั้ง มันไม่ใช่อำนาจของข้า ถ้าหากเทพทั้งสองหักสัมพันธ์กันเมื่อใดก็ไม่แปลกที่ข้าจะถูกริบตราเทพคืน ถึงตอนนั้นเทพกระเรียนจะแก้แค้นข้า เรื่องนั้นก็จะเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน!”
  เมื่อสูญเสียอย่างมิอาจพูดได้เทพกระเรียนคงปล่อยให้ซือหยูรอดชีวิตหากอารมณ์ดี แต่ถ้าไม่ เมื่อคนตระกูลเทพกระเรียนเริ่มแสดงความแค้นกับเขา ซือหยูก็พร้อมตายทุกเมื่อ
  ถึงงงตอนนั้นเทพจิงก็จะไม่ออกหน้าแทนเขาอีกแล้ว
  ซือหยูต้องเพิ่มพลังในเวลาที่จำกัด
  เขาอยากจะปิดบังพลังของตัวเองไว้เพื่อยื้อเวลาและสงวนพลังที่แท้จริงแต่เขาไม่รู้ตัวเลยว่าวายุกระหน่ำกำลังจะพัดมาหาเขาแล้ว  ในโลกเทพตำราชายผู้สง่างามและมีใบหน้าน่ามองนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ เขาอ่านตำราเงียบ ๆ
  ตำรานั้นพิเศษมันสร้างจากวัตถุดิบที่พิเศษ สัมผัสของมันราบเรียบและมีกลิ่นอายที่อ่อนโยน
  ขณะที่เขาอ่านผู้เฒ่าหน้าดำสนิทปรากฏตัวออกมา เขาคุกเข่าลงด้วยความนับถือ
  “นายน้อยการสืบสวนเสร็จสิ้นแล้ว”
  ชายที่อ่านตำราเปิดหน้าตำราต่อไป
  ผู้เฒ่าหน้าดำกล่าว
  “ตอนข้าไปสืบที่จิวโจวข้าเจอศพฉินคั่วด้วยคันฉ่องแสงสะท้อนกลับ นายน้อยโปรดดู”
  ผู้เฒ่าหยิบชิ้นหยกที่คล้ายคันฉ่องที่มีผิวลื่นออกมา
  มันสร้างจากกระดูกของเทพมันมีวิธีเทพของเทพอยู่ด้วย มันสามารถใช้สืบเรื่องภายในห้าปีที่ผ่านมาได้  ฉินคั่วตายไปเพียงปีเดียวคันฉ่องจึงสามารถย้อนภาพเหตุการณ์ที่เขาตายได้อย่างไม่ยากเย็น
  ภาพฉายผ่านหยกที่คล้ายคันฉ่อง
  ฉินคั่วหยุดชายหนุ่มผมสีเงินไม่ให้ฆ่าราชาเขตกลางทีแรกชายหนุ่มผมสีเงินวางอาวุธลงแล้ว พอราชาเขตกลางเดินออกไป ชายหนุ่มคนนั้นก็ง้างมือสังหารเขาด้วยกระบี่
  ไม่นานฉินคั่วก็เข้ามาแทรกร่างของเขากลายเป็นก้อนเนื้อเพราะซือหยู ดวงวิญญาณเองก็ถูกซือหยูริบเอาไป
  ทุกเหตุการณ์ชัดเจน
  ผู้เฒ่าหน้าดำยืนนิ่งรอให้นายน้อยพูด
  นายน้อยเหลือบมองและถาม
  “เจ้ารออะไรอยู่?ไปหาที่อยู่และจับตัวมันมา ส่งมันให้เทพลงทัณฑ์”
  ผู้เฒ่าหน้าดำสีหน้าไม่สู้ดีนัก
  “เขาอยู่ในพันธมิตรบูรพา”   นายน้อยเลิกคิ้วเล็กน้อย
  “โอ้?นั่นก็ยิ่งดีกว่าเดิมไม่ใช่รึ? คนจิวโจวไม่เกี่ยวข้องกับพันธมิตร น่าจะฆ่ามันได้ไม่ยาก”
  ผู้เฒ่าหน้าดำตอบอย่างกระอักกระอ่วน
  “นายน้อยเขาไม่ใช่คนธรรมดา ท่านเคยได้ยินชื่อเขาแล้ว เขาคือซือหยู ท่านคุ้นชื่อนี้หรือไม่?”
  ซือหยูรึ?นายน้อยเลิกคิ้วอีกครั้ง
  “เจ้าจะบอกว่าเอาคือโอรสสวรรค์จากเฉินหลงที่ทุกคนพูดถึงรึ?ซือหยูที่มีตราเทพของเทพจิงและเทพกระเรียนน่ะรึ?”
  ผู้เฒ่าหน้าดำพยักหน้าเบาๆ สื่อว่าถ้าหากเขาทำอะไรที่อยู่ในอำนาจของเทพจิงและเทพกระเรียน เทพตำราจะไม่มีวันยอมรับ
  นายน้อยครุ่นคิดเขายืนขึ้นหลังจากผ่านไปนานและพูด
  “พวกคนบนโลกโง่เขลาที่คิดว่าซือหยูคือโอรสสวรรค์จริงๆ ข้าคิดว่ามันจะต้องมีเบื้องหลังที่เราไม่รู้”
  “หากเราเจอความลับเมื่อใดเราจะรู้จุดอ่อนของมัน ส่งคนไปสืบจะใช้เวลานาน เทพรอนานไม่ได้ ข้าต้องใช้สมบัติของเทพตำรา”
  สมบัติเทพตำราบันทึกทุกอย่างบนโลกเอาไว้สามารถหาความลับมากมายได้จากมัน
  เทพตำราบ่มเพาะวิถีของตำราความรู้คือวิถีเทพของเขา
  ผู้เฒ่าหน้าดำดีใจถ้าหากมีของสิ่งนั้นช่วย พวกเขาจะกรองเรื่องราวที่เกี่ยวข้องได้
  จำนวนทรัพยากรที่สมบัติเทพตำราต้องใช้แต่ละครั้งนั้นไม่น้อยมันอาจใช้ทั้งโลกขนาดเล็กทั้งใบก็ได้
  นายน้อยเข้าสู่ห้องตำราและกลับมาในไม่นานด้วยรอยยิ้ม
  “เขาฉลาดมากสมบัติเทพตำรายังแทบแกะรอยไมได้!”
  เมื่อเขาพูดจบเขาดีดนิ้วและส่งแสงสีเขียวไปยังระหว่างคิ้วของผู้เฒ่า นั่นทำให้ผู้เฒ่าได้รับข้อมูลโดยละเอียด
  ผู้เฒ่าตกใจ
  “อุบายอะไรกัน!นี่มันไร้ที่ติ!”
  “ไปเรียกคังเตี้ยยี่…”
  นายน้อยสั่ง
  ผู้เฒ่าแปลกใจ
  “นายน้อยคังเตี้ยยี่ถูกพิษร้ายแรง เขาจะอยู่ได้อีกไม่นาน ท่านคิดจะ…”
  ผู้เฒ่าหน้าดำตัวสั่น
  นายน้อยพูด
  “ให้เขาได้ทำสิ่งสุดท้ายก่อนตายส่งเขาให้…”
  เขาเริ่มคิด
  ผู้เฒ่าพูดขึ้นมา
  “ต้องเป็นเทพจิงอยู่แล้วใช่หรือไม่?หากตังเตี้ยยี่บอกความจริงเรื่องความตายของจิงไป่ เรื่องนี้ก็ไม่ต้องสืบต่อไปอีก”
  “เทพจิงจะริบตราเทพคืนและเทพกระเรียนก็จะทำแบบเดียวกันในไม่นาน ถึงตอนนั้น เราก็จับตัวจิ้งจอกน้อยที่ไม่มีพยัคฆ์ให้พึ่งพิงได้ไม่ใช่หรือ?”
  แต่นายน้อยกลับส่ายหน้าเบาๆ
  “ไม่ใช่คังเตี้ยยี่จะถูกเทพจิงฆ่าถ้าส่งให้เทพจิง เทพจิงไม่เต็มใจให้ความจริงแพร่งพราย! เขาก็จะถูกฆ่าถ้าส่งให้เทพกระเรียน เช่นเดียวกันถ้าส่งให้กับซือหยู”
  ผู้เฒ่าหน้าดำถาม
  “แล้วเราจะต้องส่งเขาให้ใครเล่า?”
  นายน้อยยิ้มเบาๆ
  “แน่นอนคนที่เกลียดซือหยูที่สุดยังไงล่ะ!”
  คนที่ชิงชังซือหยูที่สุดจะต้องเป็นคนตระกูลเทพกระเรียนอยู่แล้วใช่ไหม?
  เหอเสี่ยวหลานน่าจะเป็นคนที่แค้นเขาที่สุดใช่ไหม?
  แต่คังเตี้ยยี่จะต้องถูกเหอเสี่ยวหลานสังหารแน่นอนถ้าหากนางได้ตัวเขา  คนที่เต็มใจเผยความจริงจะต้องเป็นพี่ชายทั้งสองคนของนาง
  ถ้าหากส่งตัวคังเตี้ยยี่และเผยความจริงต่อหน้าทุกคนเรื่องเหอเสี่ยวหลานฆ่าลูกเทพจิงจะถูกเปิดเผย จะไม่มีใครช่วยนางได้อีก
  การกำจัดเหอเสี่ยวหลานจะทำให้ซือหยูเสียตราเทพไปและพี่ชายเหอเสี่ยวหลานทั้งสองก็ยิ่งกว่าเต็มใจ
  ส่วนจะส่งให้กับใครนั้นเหอจิงหงคือตัวเลือกที่ดีที่สุด
  เขามีอุบายกลยุทธ์ และหัวใจที่โหดร้าย เขาคือคนที่เหมาะสมที่สุดในการจัดการเรื่องนี้
  “จัดการเสียที่เราต้องทำก็คืออดทนรอให้ซือหยูเสื่อมอำนาจและชิงตัวเขากลับมา”
  นายน้อยพูดอย่างไร้อารมณ์
  ผู้เฒ่าหน้าดำพยักหน้า
  “ข้าจะส่งคนไปซุ่มรอบตำหนักของซือหยูและจับตัวเขาทันทีเมื่อเขาถูกยึดตราเทพคืน!”
  นายน้อยพยักหน้า
  “เรียกพวกเด็กสวนไผ่สามคนมาด้วยพวกเขาเป็นเซียนขั้นสูงสุด จะมีเซียนขั้นสี่สี่คนหากรวมเจ้า เราจะทำสำเร็จแน่นอน”
  “ขอรับ!”
  ผู้เฒ่าดีใจถ้าหากมีคนจากสวนไผ่มาช่วย พลังของเขาจะน่าสะพรึงกลัวขึ้นไปอีก เซียนคนเดียวสามารถตายได้ในไม่กี่ลมหายใจ มันคือพลังที่ทำให้คนตัวสั่นด้วยความกลัว
  …
  ขณะเดียวกันตำหนักซือหยูได้รับแขกคนสำคัญหลายคน
  หยางไท่คือหนึ่งในนั้นซือหยูมักจะจับตาดูความเคลื่อนไหวของศูนย์การค้าอยู่ตลอดเวลา เขาตามตระกูลเทพกระเรียนที่ไล่ล่าเขามาอีกทีเพื่ออะไรกัน?
  เขามากับแขกที่เป็นสตรีอ่อนหวาน
  นางไม่ได้งดงามนักแต่นางมีความเป็นสตรีและชดช้อยสงบเสงี่ยม
  แม้พวกเขาจะเป็นฝ่ายมาเยี่ยมเยือนซือหยูนางก็ยังคงเงียบ นางเอาแต่ฟังเป็นส่วนใหญ่ ซือหยูไม่รู้จักชื่อนาง ไม่ต้องพูดถึงตัวตนของนาง
  ดูจากท่าทางของหยางไท่นางไม่น่าจะต่ำต้อยกว่าเขา
  “ข้าไม่คิดเลยว่าน้องซือจะถูกมอบหมายให้ทำงานใหญ่…”
  หยางไท่เริ่มพูด
  ซือหยูเพียงแค่พยักหน้าตตอบเขาเลิกนับจำนวนคนชั้นสูงที่มาเยี่ยมเยือนเขาในรอบสองเดือนไปแล้ว
  หลายคนนั้นมาเพื่อยืนยันอำนาจของซือหยูแต่ซือหยูจะเผยความสัมพันธ์จริงของเขากับเทพทั้งสองหรือ? เขาได้แต่ให้คำตอบแบบขอไปทีกับคนอื่น
  ซือหยูไม่รู้เหตุผลที่สองคนนี้มาเขาร้อนใจเล็กน้อย แต่เมื่อเขากำลังจะพูดตัดบท สตรีที่มากับหยางไท่ก็เริ่มพูด
  “ท่านซือข้ามาเยี่ยมก็เพราะรู้ว่าท่านมาจากจิวโจว พวกเราผู้คุมกฎอาวุโสสืบเรื่องความตายของผู้คุมกฎฉินคั่วในจิวโจวมาสักระยะแล้ว ท่านที่มาจากจิวโจวมีเบาะแสหรือไม่?”
  ซือหยูหัวใจเต้นทั้งสองจงใจมาเพื่อเรื่องนี้
  ด้วยความกลัวสถานะของซือหยูในตอนนี้นางจึงไม่ถามอย่างเปิดเผย นางรอจนถึงตอนนี้เพื่อเลี่ยงคนอื่น ๆ ที่มาก่อน
  ถ้าอย่างนั้นสตรีตรงหน้าเขาก็คือผู้คุมกฎอาวุโส เขาแค่ไม่รู้ลำดับของนาง
  ซือหยูสุขุมเยือกเย็นเขาทำหน้าเสียใจ
  “ตอนที่ข้าจากจิวโจวมาข้าไม่ได้เจอผู้คุมกฎฉินคั่ว ข้าได้ยินว่าพวกเขามาจิวโจวเพื่อล่าเสี้ยววิญญาณนามเทพอสูรกระดูกโรย หรือว่ามันจะเกี่ยวข้องกับพวกอสูร?”
  นางส่ายหน้า  “ไม่เป็นเช่นนั้นเสี้ยววิญญาณเทพอสูรถูกเมิ่งเค่อจับกุม ฉินคั่วไม่ได้ถูกเทพอสูรฆ่า จากที่ข้าคาดเดา ฆาตกรจะต้องเป็นเซียนขั้นสูงสุด ท่านซือรู้เรื่องคนที่แข็งแกร่งในจิวโจวหรือไม่?”
  นางกำลังสับสนนี่จึงเป็นเหตุที่นางมาหาเขา จิวโจวถูกทิ้งร้างไปแล้ว หาใครมาสืบสวนไม่ได้อีก คนเดียวที่เหลือที่พวกนางรู้จักนั้นมีเพียงซือหยู
  ซือหยูเกิดความคิดเขาพูดด้วยน้ำเสียงลึก
  “บอกตามตรงจิวโจวมีเซียนขั้นสูงสุดสองคน และทั้งสองนั้นเป็นอสูร!”
  สายตานางกับหยางไท่เริ่มสนใจเซียนขั้นสูงสุดเป็นอสูรหมดเลยรึ? ถ้าเช่นนั้น โลกที่เสื่อมถอยอย่างจิวโจวจะต่อสู้กับพวกมันได้ยังไง?
  “อสูรสองตนนั้นอยู่ไหนล่ะ?”
  นางรีบถาม  ซือหยูหัวเราะในใจคนไร้ปัญญาอย่างนางเป็นผู้คุมกฎอาวุโสจริง ๆ น่ะรึ?
  “หนึ่งในนั้นถูกฆ่าเพราะคนจิวโจวรวมพลังกัน…”
  ซือหยูตอบ
  “ส่วนอีกหนึ่งยังมีชีวิตอยู่และหนีมายังพันธมิตรบูรพาถ้าจะมีใครที่ฆ่าฉินคั่วได้ คนคนนั้นก็ต้องเป็นหนึ่งในสองอสูร”
  นางขอให้ซือหยูวาดรูปอสูรที่ยังมีชีวิตอยู่ซือหยูวาดรูปเซียนมณีให้นางทันที
  เขาจะปล่อยให้ผู้คุมกฎอาวุโสจัดการกับเทพอสูรมณีแทน