ฉีอวิ๋นเยี่ยน
10
ตำหนักเฉิงเฉียนเป็นตำหนักที่ประทับของกุ้ยเฟยเมื่อครั้งพระนางยังดำรงพระชนมชีพอยู่ จึงไม่มีผู้ใดอยู่อาศัยในตำหนักมาหลายปีแล้ว แม้ว่าจะมีข้ารับใช้มาทำความสะอาดตามเวลา แต่ก็มีกลิ่นอายของความมีชีวิต ภายในตำหนักนั้นมืดสนิท เต็มไปด้วยกลิ่นเชื้อราอับชื้นไม่ต่างกับกลิ่นใบไม้เน่าเปื่อยหลังฝนตก ยามที่เข้ามาฉีอวิ๋นเยี่ยนจึงอดขมวดคิ้วมุ่นไม่ได้
คงเพราะขุนนางในพระราชสำนักพวกนั้นไม่เห็นหัวฝ่าบาท พระองค์เลยมาหดตัวหนีความจริงอยู่ที่นี่ ทั้งที่ฎีกากล่าวโทษเหล่านั้นล้วนมุ่งเล่นงานเขาโดยแท้ หากเป็นคนอื่นคงไหลลื่นตามน้ำของพวกเขา แล้วผลักตนไปสู่ความตายตรงประตูอู่เหมิน[1] ไปนานแล้ว การทำเช่นนี้นอกจากจะปิดปากทุกคนได้แล้ว ยังสามารถโยนความผิดฐานกักขังไทเฮาใส่เขาได้ทั้งหมดจนตัวเองมือสะอาด
ทว่าพระองค์กลับไม่ได้ทำเช่นนั้น แม้เรื่องจะมาถึงขนาดนี้แล้ว ก็ยังไม่เคยเอ่ยตำหนิติเตียนเขาเลยสักประโยคเดียว
ด้วยเหตุนี้ เมื่อมาหยุดเบื้องหน้าบัลลังก์ไม้จันทน์ม่วงแกะสลัก เขาจึงยอบกายลงกล่าวขออภัยโทษ
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง พระองค์คล้ายเพิ่งจะรู้สึกตัว เสียงของเสื้อผ้าเสียดสีกันดังขึ้นในความมืด ทรงโน้มตัวเข้ามาอย่างช้า ๆ พร้อมถามอย่างอ่อนล้าว่า “เมื่อครู่ เจ้าพูดว่าอย่างไรนะ”
เขาเอ่ยซ้ำทวนอีกรอบเบา ๆ ฮ่องเต้นิ่งงันไปครู่หนึ่งก่อนถามว่า “เหตุใดเจ้าต้องขอโทษ”
“เป็นเพราะกระหม่อม ฝ่าบาทถึงต้องลำบากเช่นนี้” นี่ไม่ใช่ข้อแก้ตัว ฮ่องเต้ต้องให้ความสำคัญกับตนเองเฉกเช่นเดียวกันกับนกที่ให้ความสำคัญกับขนของมัน ทว่าภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน พระองค์กลับกลายเป็นฮ่องเต้ผู้เลอะเลือนในสายตาของประชาชน เขาที่มีส่วนย่อมต้องรู้สึกผิดเป็นธรรมดา
ท่ามกลางความมืด ฝ่าบาทคลำเจอแขนเสื้อของเขาก่อน พระองค์ไล่มือลงพลางตบแขนเขาอย่างเงียบ ๆ ราวกับจะบอกให้วางใจและอย่าคิดมากกับเรื่องที่เกิดขึ้น ฮ่องเต้ไม่ได้เอ่ยอันใดออกมาสักคำ คล้ายกับว่าเหตุการณ์ที่เขาหลบหน้าไม่พูดไม่จากับพระองค์นั้นไม่เคยเกิดขึ้น ระหว่างพวกเขาทั้งสองยังคงเป็นกษัตริย์กับขุนนางที่เข้ากันดีเช่นเดิม
ในเมื่อฝ่าบาททรงไม่เอ่ยปาก เขาจึงต้องเป็นฝ่ายทำลายความเงียบแทน “ฝ่าบาทจะทรงวางแผนจัดการเรื่องนี้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ”
“หากรู้ว่าควรทำเช่นไร เจิ้นคงไม่มาขังตัวเองอยู่ที่นี่หรอก” ฮ่องเต้หญิงเอนกายไปพิงบัลลังก์ พลางถอนหายใจเสียงแผ่ว “เจ้าดูเอาเถิด จื่อเซิ่น นั่งอยู่บนบัลลังก์เช่นนี้มีดีอะไรกัน ไม่ว่าเจิ้นจะขยับตัวทำสิ่งใด ก็ล้วนถูกควบคุม ไร้ซึ่งอิสรเสรีสิ้นดี”
“หากแม้แต่ฝ่าบาทยังกล่าวเช่นนี้ คนทั่วหล้าไหนเลยยังมีอิสรภาพได้อีก” เขาคุกเข่าลงที่ตรงหน้าฮ่องเต้ ชุดเย่ซาสีฟ้าอ่อนคลี่ตัวออกท่ามกลางความมืด ราวกับปีศาจที่ล่อลวงใจคน “ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ ผู้ปกครองแผ่นดิน พวกเขาเป็นเพียงขุนนางที่รับใช้พระองค์ ขอเพียงฮ่องเต้ต้องการให้ขุนนางตาย ขุนนางก็ย่อมต้องตาย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีหลักการที่ว่าฮ่องเต้จะต้องหลบซ่อนตัวจากขุนนาง”
พระองค์หัวเราะเสียงต่ำ ในน้ำเสียงนั้นฟังอ่อนล้า “แต่ว่าจื่อเซิ่น เจิ้นไม่ได้คิดเหมือนเจ้า”
เขารู้ว่าการบีบคั้นฝ่าบาทเช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับพวกจิ้งจอกเฒ่าที่เอาแต่สร้างความลำบากใจให้พระองค์ กระนั้นเวลานี้เขาไม่เหลือทางเลือกอื่นใดอีกแล้ว หากไม่กดข่มขุนนางใหญ่พวกนั้นเอาไว้เสียแต่เนิ่น ๆ ภายภาคหน้าอาจเกิดปัญหายุ่งยากตามมาก็เป็นได้
หลังเงียบไปสักพัก สุดท้ายฉีอวิ๋นเยี่ยนก็ยื่นมือไปวางบนเข่าของฝ่าบาทอย่างเบามือ และกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงดูถูกตนเองจนเกินไปแล้ว” เขารับรู้ได้ว่าร่างของผู้เป็นนายที่อยู่ใต้ฝ่ามือนี้แข็งทื่อไป ทว่าไม่ได้เก็บมือกลับมา มิวายขยับเข้าไปใกล้ชิดยิ่งขึ้น “ไม่ว่าอย่างไร กระหม่อมจะอยู่เบื้องหลังพระองค์เสมอ ในอดีตเป็นเช่นนี้ ปัจจุบันก็เป็นเช่นนี้ รวมไปถึงอนาคตด้วยพ่ะย่ะค่ะ” ฉีอวิ๋นเยี่ยนเว้นช่วงไปครู่หนึ่ง ค่อย ๆ เอ่ยคำพูดที่สำคัญที่สุดออกมา “การว่าราชการช่วงเช้าในวันหน้าเองก็เช่นกัน”
สิ่งที่อยากบอกกล่าวไปแล้ว ทว่าฝ่าบาทกลับปฏิเสธคำพูดนี้ “นี่เท่ากับว่าเจ้าเอาตนเองไปรับคมดาบมิใช่หรือ ยามนี้ควรหลบมรสุมก่อนจะดีกว่า”
เขากล่าวเสียงเบาว่า “กระหม่อมมีแผนการในใจ”
องค์ฮ่องเต้เงียบงัน นานทีเดียวจึงจะถอนหายใจอย่างแผ่วเบา “จื่อเซิ่น เจิ้นติดค้างเจ้ามากมายนัก”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนไม่ได้เอ่ยอะไรอีก
ผ่านไปไม่นาน ฝ่าบาทถึงค่อย ๆ ผ่อนคลายลง แล้วขยับตัวมาทางเขา
ในตำหนักอันว่างเปล่าแห่งนี้ ฮ่องเต้ผู้อ่อนเยาว์บนบัลลังก์ค่อย ๆ โน้มกายลง แนบหน้าผากลงบนไหล่ของเขา การกระทำนี้ไม่ได้เหมือนกับพวกนกน้อยยามที่อยากได้มนุษย์เป็นที่พึ่งพิง ท่าทางเช่นนี้ของพระองค์กลับคล้ายลูกสัตว์ตัวน้อย ๆ ที่ต้องเผชิญหน้ากับคมดาบและศรธนูเพียงลำพัง หลังจากผ่านอันตรายมานานัปการในที่สุดมันก็ได้พบคู่ชีวิต ถึงได้กล้าพักผ่อนอย่างวางใจ
เสียดายที่ฝ่าบาทมองคนผิดไป หากว่าเขาเป็นคู่ชีวิตที่สามารถพึ่งพาได้จริง ๆ ยามนี้ก็ควรเสียสละตนเอง แบกรับการโจมตีทั้งหมดเอาไว้แทนพระองค์ ไม่ใช่มาปลอบโยนให้ต่อสู้ต่อไปเพื่อตนเองเช่นนี้
ณ ใต้ฝ่ามือ หัวเข่าของพระองค์ซึ่งมีอาภรณ์หนาขวางกั้นให้ความรู้สึกเดียวดาย ราวกับปีกของลูกนกน้อยที่ออกแรงเพียงนิดก็จะขาดสะบั้น ฉีอวิ๋นเยี่ยนผ่อนแรงที่มือลงโดยไม่รู้ตัว มองเข้าไปในความมืดตรงหน้าอย่างเงียบงัน
————————————–
ขณะที่ขุนนางบุ๋นบู๊ทั้งหลายรอจนจวนเจียนจะหมดความอดทน และเตรียมพากันกลับแล้วนั่นเอง เสียงเล็กแหลมของขันทีก็ดังแทรกทำลายบรรยากาศหนักอึ้ง แทบจะทำให้นกที่เกาะอยู่พากันตกใจจนบินหนีกระเจิง
“ฝ่าบาทเสด็จ!”
ตามหลักแล้วขุนนางควรจะเดินเข้าไปในท้องพระโรงเพื่อเข้าเฝ้า ทว่าไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นคนริเริ่ม กลุ่มขุนนางจึงไม่ได้เข้าไปถวายพระพรในท้องพระโรงราวกับนัดกันมา เพียงสะบัดชุดเย่ซาคุกเข่าลงดังตุ้บอยู่ที่นอกประตูอู่เหมิน
ชั่วอึดใจนั้นเองก็มีกลุ่มขันทีที่ไม่ได้ร่วมคุกเข่าก้าวเข้าไปในท้องพระโรง ถวายการคำนับร้องอวยพรทรงพระเจริญหมื่นปี
แม้ขันทีที่เกี่ยวข้องกับฉีอวิ๋นเยี่ยนจะยืนประจำตำแหน่งของตนเองก็ไม่อาจเติมเต็มท้องพระโรงอันกว้างใหญ่แห่งนี้ได้ มีแต่จะขับเน้นให้ที่ว่างดูเด่นสะดุดตามากขึ้นเท่านั้น
บริเวณนอกตำหนักหน้าประตูอู่เหมินในยามนี้ เต็มไปด้วยชุดเย่ซาหลากสีสันที่บ่งบอกสังกัดของขุนนาง รังสรรค์ภาพอันงดงามภาพหนึ่ง ร้อยกว่าชีวิตร่ำร้องเป็นเสียงเดียวกันจนเกิดเสียงดั่งกระแสน้ำไหลบ่า สะเทือนเสาตำหนักจนทะลุถึงเบื้องพระพักตร์
พวกเขาต้องการประท้วงเพื่อลงโทษขุนนางโฉดชั่ว ไม่เช่นนั้นก็จะคุกเข่าที่หน้าประตูอู่เหมินนี้โดยไม่ลุกไปไหน
อวี่ฉีที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ค่อย ๆ ยืดตัวตรง หรี่ตาลงโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี “ขุนนางพวกนั้นประท้วงเจิ้นงั้นหรือ นี่ยังเห็นเจิ้นมีตัวตนอยู่ในสายตาอยู่หรือไม่ เห็นเจิ้นเป็นของประดับหรืออย่างไร”
บรรดาขันทีในท้องพระโรงที่ว่างเปล่าเหลือบมองหน้ากัน แต่ไม่มีใครกล้าตอบ
สายตาของเธอกวาดผ่านขุนนางในท้องพระโรงทีละคน สุดท้ายก็หยุดตรงใบหน้าของฉีอวิ๋นเยี่ยน เขาคล้ายกับรู้สึกได้ จึงค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมา สีหน้ายังคงสงบเยือกเย็นเหมือนที่เคยเป็นเสมอ
เธอมองเขาเป็นเชิงสอบถาม แต่เขากลับเบือนหน้าไปอย่างช้า ๆ มองออกไปยังท้องฟ้าครึ้มนอกตำหนักแทน ไม่นานต่อจากนั้น เสียงราวกระซิบของเขาก็ดังขึ้นว่า “ฝนจะตกแล้ว”
คล้ายกับต้องการพิสูจน์ว่าคำพูดเขาไม่ได้โกหก หมู่เมฆมืดครึ้มบนท้องฟ้าเริ่มมีฝนปรอย ๆ ตกลงมา เม็ดฝนที่เล็กบางราวกับเข็มโปรยปรายประหนึ่งชั้นตาข่ายถี่ยิบที่ห่มคลุมม่านฟ้าเหนือกลุ่มขุนนางด้านนอก
เธอละสายตาจากใบหน้าของเขาหันไปอีกทาง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ให้พวกเขาคุกเข่าไปเถอะ เจิ้นก็อยากจะเห็นเหมือนกันว่าจะคุกเข่าไปได้สักกี่น้ำ” เอ่ยจบก็ลุกขึ้นยืน สะบัดแขนเสื้ออย่างเฉื่อยชา “เลิกประชุม!”
จบคำสั่งนั้น บรรดาขุนนางที่เป็นขันทีด้านในก็เตรียมทยอยออกจากท้องพระโรง กลับถูกสายตาของฉีอวิ๋นเยี่ยนสกัดเอาไว้เสียก่อน
เขาเก็บสายตากลับมา ก้าวขึ้นไปหนึ่งก้าว กดเสียงลงเอ่ยว่า “ฝ่าบาท ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้”
อวี่ฉีหยุดยืนมองเขา พร้อมกดเสียงลงเอ่ยเช่นกันว่า “เจ้าไม่ได้ยินรึ พวกเขาต้องการให้เจ้าตาย”
“หากฝ่าบาทไปแล้ว ด้านหลังคงไม่แคล้วเกิดเหตุพุ่งชนเสาฆ่าตัวตายกัน จากนั้นคนเหล่านี้ก็จะอ้างความตายกล่าวโทษฝ่าบาท ยามใดที่มีเลือดหลั่งตรงหน้าประตูอู่เหมิน เมื่อนั้นเรื่องราวก็ยุ่งยากแล้ว” ฉีอวิ๋นเยี่ยนกล่าวอย่างหนักแน่นมั่นคง ในเวลาเช่นนี้เสียงของเขายังอ่อนโยนสงบนิ่ง
“หากเป็นเจ้า เจ้าจะทำเช่นไร”
เขายิ้มบางจนแทบมองไม่เห็น ก่อนหันหน้าไปออกคำสั่งกับองครักษ์หลายคนที่อยู่หน้าตำหนัก “จงขวางเหล่าขุนนางใหญ่ด้านนอกที่คิดพุ่งชนเสาให้ได้ ถ้าหากใครหมดสติไป ก็รีบนำไปให้หมอรักษา ไปเรียกคนมาเพิ่มอีก แล้วกางร่มให้พวกเขาซะ คนพวกนั้นคุกเข่าอยู่นานเท่าไร พวกเจ้าก็ต้องยืนอยู่ข้าง ๆ ตามนั้น” ฉีอวิ๋นเยี่ยนเว้นจังหวะ แล้วกำชับด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “หากยังมีคนตาย ก็คงต้องรบกวนให้พวกเจ้าไปที่ตงฉ่างสักรอบหนึ่ง”
‘รบกวนให้พวกเจ้าไปที่ตงฉ่างสักรอบ’ น้ำเสียงขณะกล่าวนั้นช่างอบอุ่นอ่อนโยนเป็นที่ยิ่ง ความกดดันนี้ทำเอาเหล่าองครักษ์ที่ห้อยดาบไว้ข้างเอวถึงกับหน้าถอดสีในพริบตา
อวี่ฉีแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น เพียงแต่โบกมืออย่างเหนื่อยล้า “พวกเจ้าไปทำตามที่ฉีตงจู่บอก รีบออกไปกันได้แล้ว”
ครั้นกลับไปถึงตำหนักเฉียนชิง เธอก็ไล่ทุกคนออกไป แล้วขมวดคิ้วเดินวนไปมา
ฉีอวิ๋นเยี่ยนเห็นอยู่ตำตา แต่ก็ไม่ได้ห้ามเอาไว้ เพียงแต่กล่าวเสียงเบาว่า “ฝ่าบาทคงสังเกตเห็นได้ นอกจากโจวเก๋อเหล่าแล้ว ขุนนางท่านอื่น ๆ ในสำนักเน่ยเก๋อวันนี้ล้วนลาป่วยไม่มาเข้าร่วม”
เธออึ้งไป “หรือว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับพวกเขา ไม่สิ หากไม่เกี่ยวข้องจริง ๆ พวกเขาก็คงไม่ลาป่วยเพื่อหลีกเลี่ยงล่วงหน้าเช่นนี้แน่” เงียบไปครู่หนึ่งก็ถามว่า “แล้วโจวย่าชิงเล่า”
เขายิ้มขื่น “จากที่ผู้ใต้บังคับบัญชารายงาน โจวเก๋อเหล่า[2] ยามนี้กำลังโต้เถียงกับองครักษ์อยู่พ่ะย่ะค่ะ”
“ท่านผู้เฒ่ามีนิสัยซื่อสัตย์เถรตรง เกิดการพิพาทขึ้นถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ลงมือลงไม้ก็นับว่าดีเท่าไรแล้ว” อวี่ฉีพลันรู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ปล่อยให้พวกเขากระทำการด้วยความเคารพสักหน่อย อย่าได้ทำให้ท่านผู้เฒ่าโมโหจนล้มป่วยเอาได้” เอ่ยจบ น้ำเสียงก็เย็นลงเล็กน้อย “ส่วนอีกสามท่านที่เหลือ ไม่รู้ว่าในน้ำเต้านั้นขายโอสถชนิดใด[3]”
ฉีอวิ๋นเยี่ยนไม่แสดงความเห็น เพียงแต่ก้าวเข้ามา แล้วเปิดม้วนเอกสารในมือออก แพขนตาหลุบลงในองศาที่งดงาม “นอกจากโจวเก๋อเหล่าแล้ว ในเน่ยเก๋อมีเพียงหวังโส่วฝู่เท่านั้นที่เป็นตัวตั้งตัวตี สิ่งใดที่หวังโส่วฝู่ต้องการ เน่ยเก๋อย่อมต้องการไปด้วยเป็นแน่ ส่วนเรื่องที่ว่าขุนนางทั้งหลายคิดเช่นไรนั้น…” หางตาเรียวยาวของเขาเชิดขึ้น กล่าวเสียงเบาว่า “ล้วนไม่สำคัญ”
อวี่ฉีย่อตัวลง นั่งบนเก้าอี้ยาวไม้จันทน์ม่วง รับม้วนเอกสารไปแล้วถามว่า “รายงานลับของสายสืบหรือ”
ฉีตูจู่อธิบายด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “ห้าปีก่อน กระหม่อมได้ส่งสือจิ่วไปอยู่ที่ข้างกายหวังโส่วฝู่ นี่เป็นรายงานที่นางใช้เวลาจัดการรวบรวมนานหลายปีพ่ะย่ะค่ะ” หน่วยตงฉ่างนั้นเลี้ยงดูเด็กกำพร้าจำนวนมาก ใช้เวลานานหลายปีในการลับให้พวกเขากลายเป็นดาบที่แหลมคม ก่อนลอบส่งไปตามที่ต่าง ๆ เพื่อเฝ้ารอว่าสักวันหนึ่งจะสามารถปลิดชีวิตศัตรูลงได้
“สือจิ่วหรือ” อวี่ฉีพลันถามขึ้น “นางคงเป็นหญิงงามกระมัง” เธอเว้นไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวเสียงเย็นว่า “ไม่ว่าเป็นยอดบุรุษหรือจิ้งจอกเฒ่า ล้วนแต่ยากจะผ่านด่านสาวงาม น่าเบื่อนัก”
แต่ไหนแต่ไรฝ่าบาทก็รู้จักชั่งหนักเบามาตลอด ไม่ควรมีใจจะไปใส่ใจเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ในเวลาเช่นนี้นี่
ฉีอวิ๋นเยี่ยนหันไปมององค์ฮ่องเต้ด้วยความสงสัย
ฮ่องเต้ผู้เยาว์วัยเอ่ยจบแล้วก็เอนพิงอยู่บนพนักพิงลายมังกรโดยไม่พูดสิ่งใดต่อ พระองค์กำลังยกมือขึ้นนวดบนจุดไท่หยาง สายตาค่อย ๆ มองผ่านม้วนเอกสารฉบับนั้นอย่างจดจ่อมีสมาธิ คล้ายกับว่าเมื่อครู่นี้เพียงถามลอย ๆ ไม่ได้ให้ค่าแต่อย่างไร
หลังอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วขบคิดอย่างจริงจัง ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็พอจะเดาที่มาของคำถามนั้นออก เลยอดไม่ได้ที่จะเบนสายตาเลี่ยงไปอย่างแข็งทื่อ
ฝ่าบาทคือกษัตริย์ผู้สูงส่งของแผ่นดิน สือจิ่วเป็นเพียงเด็กกำพร้าที่เขาเก็บมาจากข้างถนน สถานะของทั้งสองแตกต่างกันราวฟ้ากับเหว พระองค์กลับยังใส่ใจรูปลักษณ์ของสือจิ่ว ถึงกับมีทีท่ากังวลในความสามารถของคู่แข่ง ทำเอาเขาไม่อาจแสร้งมองข้ามสาเหตุของเรื่องราวได้
ยากนักที่พระองค์จะทรงเผยความไร้เดียงสาของตนออกมาเช่นนี้ แต่ฉีอวิ๋นเยี่ยนกลับหัวเราะไม่ออกแม้แต่น้อย ลำคอของเขาพลันแห้งฝาก ได้แต่หลุบตาลงพลางเลิกแขนเสื้อทรงผีผาขึ้นรินน้ำชาให้ตัวเอง ยังไม่ทันได้ยกขึ้นมา หลังมือกลับถูกคนกดเอาไว้เบา ๆ เสียก่อน
สายตาของฝ่าบาทยังคงอยู่บนม้วนเอกสาร เอ่ยเตือนเสียงเบาว่า “น้ำชาเย็นชืดนานแล้ว” เอ่ยจบก็เพิ่มระดับเสียงขึ้นเพื่อสั่งให้นางกำนัลที่เฝ้าอยู่นอกประตูไปต้มชา
หลังสั่งการเสร็จ มือขาวเย็นจัดซึ่งทาบอยู่บนมือของเขาก็ถูกเก็บกลับไป แต่สัมผัสเย็นเฉียบที่หลงเหลือนั้นกลับร้อนลวกผิวหนัง ทั้งยังร้อนผ่าวขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่อาจหยุดยั้งได้
———————————————-