ตอนที่ 13.11 (เล่มสาม)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

ฉีอวิ๋นเยี่ยน

11

 

ยามตะวันแผดแสงแดดจากบูรพาทิศ กลุ่มขุนนางที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูอู่เหมินหนึ่งวันหนึ่งคืนต่างหนาวจนตัวสั่น แม้แต่เสียงนกร้องก็ไม่อาจทำให้สติของพวกเขาแจ่มใสขึ้นมาได้ บรรดาขุนนางใหญ่เหล่านี้ไม่รู้เลยว่าขณะนี้ประตูใหญ่ของวังหลวงกำลังค่อย ๆ เปิดออก เพื่อให้ขบวนเสด็จอันยาวเหยียดเตรียมออกเดินทาง

ไม่มีใครหน้าไหนคาดคิดว่า ฮ่องเต้หญิงจะหาญกล้าถึงขนาดพาฉีตูจู่ผู้ที่ได้รับความโปรดปรานในช่วงนี้ออกไปข้างนอก ทั้ง ๆ ที่บรรดาขุนนางบู๊บุ๋นกำลังคุกเข่ากดดันอยู่ที่หน้าประตูอู่เหมิน การกระทำเช่นนี้ย่อมทำให้พระองค์โดนพวกขุนนางมองว่าเป็นกษัตริย์ที่ยโสโอหังไม่เกรงกลัวฟ้าดิน หรือแม้แต่ประวัติศาสตร์ในรอบหลายร้อยปีของต้าอวี้ เหตุการณ์เช่นนี้ถือเป็นเรื่องที่ยากจะพบพานโดยแท้จริง

ในใจขุนนางน้อยใหญ่ผู้น่าเวทนาอัดแน่นไปด้วยความคับแค้นใจอยู่หนึ่งวันเต็ม กำลังรอคอยผลลัพธ์อยู่ดี ๆ แต่เป้าหมายดันหนีไปแล้ว แต่ละคนต่างรู้สึกว่าในอกช่างปวดหนึบไปหมด

ในขณะที่อวี่ฉีกำลังสักการะบรรพบุรุษในฉลองพระองค์เต็มยศอยู่บนภูเขาทางตอนใต้แถบชานเมือง กลุ่มขุนนางที่คุกเข่าอยู่หน้าประตูอู่เหมินก็เหนื่อยล้าทั้งกายใจเต็มทีแล้ว ทว่าในเมื่อพวกเขาลั่นวาจาไปแล้วไม่อาจกลับคำ ไม่เช่นนั้นก็เหมือนการผายลม ถึงฮ่องเต้จะไม่อยู่ พวกเขาก็ถลกเสื้อคลุมจากไปไม่ได้ หากทำแล้วจะเอาหนังหน้าแก่ ๆ นี่ไปวางไว้ที่ไหนได้อีก คุกเข่าต่อก็ไม่ถูก จากไปก็ไม่ควร ทำได้เพียงก่นด่าฮ่องเต้อยู่ในใจว่าช่างชั่วร้ายเลวทรามยิ่งนัก

ดีที่รายงานของแม่นางสือจิ่วช่วยให้อวี่ฉีลากหวังจวีเสียนมาเป็นพวกได้สำเร็จ จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ใช้กลยุทธ์ดูไฟตรงชายฝั่ง[1] รอกระทั่งเห็นว่าขุนนางถูกเคี่ยวกรำไประยะหนึ่งจนไฟมอดแล้ว ถึงค่อย ๆ เดินออกมาอย่างไม่เร่งรีบ พลางยิ้มตาหยี แจกจ่ายรอยยิ้มผู้คนรอบด้าน จิ้งจอกเฒ่าผู้นี้ถึงจะเป็นคนกลิ้งกลอกปลิ้นปล้อน แต่ก็เป็นขุนนางคนสำคัญมาถึงสามรัชสมัย ความนิยมของเขาในราชสำนักนับว่าค่อนข้างสูงทีเดียว ทำให้ขุนนางน้อยใหญ่ยังต้องไว้หน้าเขาอยู่บ้าง  

ทางด้านเหล่าขุนนางใหญ่นั้นเริ่มทนคุกเข่าข้ามคืนไม่ไหวแล้ว หนำซ้ำดันทุรังต่อไปก็ไร้ค่า ถึงอย่างไรฮ่องเต้ก็ไม่คิดทอดพระเนตร ดังนั้นแต่ละคนจึงยอมถอยพลางร้องด่ามารดากันอยู่ในใจ แยกย้ายกันกลับจวนไปรักษาฟื้นฟูร่างกาย

เรื่องนี้ทั้งหมดจึงคลี่คลายลงด้วยประการฉะนี้

หลังได้รับความทุกข์ทรมาน ในที่สุดบรรดาขุนนางใหญ่ก็เข้าใจแล้วว่าฮ่องเต้หญิงผู้สุขุมพระองค์นี้แตกต่างจากอดีตฮ่องเต้ที่มีพระเมตตามากนัก กระทั่งขุนนางนับร้อยพระองค์ยังไม่เห็นอยู่ในสายตา นับประสาอะไรกับขันทีโฉดชั่วที่ทำตัวเหิมเกริม หากเป็นเมื่อก่อน ขอเพียงขุนนางบู๊บุ๋นผนึกกำลังกันก็สามารถชี้เป็นชี้ตายได้แล้ว เพราะโอรสสวรรค์ที่อยู่เหนือคนนับหมื่นนั้นมักให้ความสำคัญกับชื่อเสียงในใจของราษฎรจนเป็นจุดอ่อน ทว่าครั้งนี้พวกเขากลับต้องพบฮ่องเต้ที่ไม่สนใจชื่อเสียงลาภยศและคำสรรเสริญเลยแม้แต่น้อย จึงทำได้เพียงตกตะลึงอย่างไม่อาจออกความเห็นได้

ความจริงแล้วเรื่องนี้มีทางออกอยู่อีกมากมาย ฉีอวิ๋นเยี่ยนเองก็เสนอมาถึงสี่หนทาง แต่อวี่ฉีก็ยังเลือกวิธีที่โอหังไม่กลัวตายแบบนี้อยู่ดี เพื่ออาศัยเรื่องนี้ตอกหน้าขุนนางทั้งหลายว่า แผ่นดินนี้เป็นของฮ่องเต้ ผู้นำมีเพียงฮ่องเต้เท่านั้น ต่อให้พวกเจ้าเหล่าขุนนางจะร้องไห้คร่ำครวญแล้วอย่างไร เรื่องที่เธอตัดสินใจย่อมไม่มีวันเปลี่ยนแปลง

ตอนที่กราบไหว้สุสานบรรพชนที่ชานเมืองทิศใต้จนจบพิธี ฟ้าก็มืดลงพอดี ขบวนรถจึงต้องแวะพักผ่อนที่วัดบนภูเขา

อวี่ฉีรับประทานอาหารเย็นเสร็จแล้วก็ถามกับข้ารับใช้ว่าฉีอวิ๋นเยี่ยนอยู่ที่ไหน ก่อนจะไปหาพร้อมจางเต๋ออัน

เธอเลิกม่านเดินเข้าไปในห้อง ก็พบว่ามีคนคนหนึ่งกำลังคุกเข่ารายงานสถานการณ์ในวังหลวงอยู่ท่ามกลางความมืด น้ำเสียงขณะกล่าวแผ่วเบารัวเร็ว ทำให้ฝีเท้าของอวี่ฉีชะงักลงครู่หนึ่ง จากนั้นเรียวปากก็แย้มรอยยิ้มจาง ๆ พลางเลือกหาเก้าอี้ไม้หวงฮวาหลีแล้วนั่งลง

ฉีอวิ๋นเยี่ยนที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะ หลุบตาลงหมุนแหวนที่นิ้วโป้งเล่น เสี้ยวหน้าด้านหนึ่งสะท้อนแสงที่ส่องผ่านบานหน้าต่างเข้ามาภายในห้อง ส่วนอีกเสี้ยวหนึ่งอยู่ในความมืดมิดจนยากจะคาดเดาอารมณ์

เมื่อได้ยินเสียงคนเดินเข้ามานั่งลง เขาก็ช้อนตาขึ้นมอง หลังประสานสายตากับเธอครู่หนึ่ง มุมปากก็ยกขึ้นอย่างช้า ๆ “พวกเขายอมอ่อนข้อแล้ว พรุ่งนี้ฝ่าบาททรงกลับวังได้แล้วพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบก็โบกมือสองครั้ง คนที่คุกเข่ารายงานอยู่บนพื้นจึงหยุดลง

อวี่ฉีเพิ่งได้ยินรายงานลับของตงฉ่างด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก เธอส่งสายตามองผ่านแผ่นหลังของคนที่อยู่บนพื้นไปหยุดลงตรงดวงหน้าของฉีอวิ๋นเยี่ยน “หลังกลับวังแล้ว คงมีบางคนหายไปจากราชสำนักสินะ”

ฉีอวิ๋นเยี่ยนได้ยินดังนั้นก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่เงยหน้าขึ้นมายิ้มน้อย ๆ ให้นางเท่านั้น

“เจิ้นไม่ได้คิดจะห้าม เหตุใดเจ้าจึงปิดปากเงียบเล่า”

แค่เห็นรอยยิ้มบนริมฝีปากของเขาไม่เปลี่ยนแปลง เธอก็รู้ว่าอีกฝ่ายไม่คิดจะเอ่ยเรื่องนี้อีก อวี่ฉีจึงพูดยิ้ม ๆ ว่า “เช่นนั้นจื่อเซิ่นก็ไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเจิ้นเถอะ โอกาสที่จะได้ออกจากวังเช่นนี้มีไม่มากนัก เจิ้นไม่อยากพลาดโอกาสเที่ยวชม” จบคำ เธอก็ไม่ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสปฏิเสธ ออกคำสั่งกับจางเต๋ออันโดยตรงให้ไปหาคนมานำทาง

——————————————

สารทฤดูมาเยือนแล้ว ใบไม้สีเหลืองกองสุมทั่วบริเวณทางเดินขึ้นเขา อันที่จริงแล้วทัศนียภาพโดยรอบไม่ได้งดงามเหมือนที่ฝ่าบาทเอ่ย แต่อาจเป็นเพราะว่าน้อยครั้งจะได้ออกจากวัง พระองค์ถึงได้ดูตื่นเต้นไม่น้อยเช่นนี้

ฉีอวิ๋นเยี่ยนเดินเงียบ ๆ อยู่ที่ด้านหลังของฮ่องเต้หญิง เขาแสดงสีหน้าสนอกสนใจราวกับกำลังชื่นชมทิวทัศน์ แท้จริงแล้วกำลังคิดเรื่องอื่นอยู่

ตามที่วางแผนไว้ก่อนหน้านี้ เขาควรจะรักษาระยะห่างที่เหมาะสมกับฝ่าบาท ทว่าสถานการณ์กลับเปลี่ยนไปแล้ว เวลานี้ขุนนางที่เห็นเขาเป็นเสี้ยนหนามพากันวางแผนกำจัดเขา แต่ติดที่มีฝ่าบาทปกป้องเขาอยู่ คนพวกนั้นจึงไม่อาจกระทำการดังกล่าวได้

ในยามนี้หากสูญเสียแรงสนับสนุนของฮ่องเต้ไป อำนาจทั้งหมดที่เขามีอยู่ก็คงมลายหายสิ้นเช่นกัน จากนั้นจุดจบคงไม่แคล้วต้องตายอย่างไร้ที่ฝังกลบแน่แท้

ครั้นคิดถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะมองดูสตรีที่อยู่ด้านหน้าแวบหนึ่ง

คล้ายรับรู้ได้ถึงสายตาของเขา ฝ่าบาทถึงหันศีรษะกลับมา รอยยิ้มบนริมฝีปากยังไม่ถูกลบเลือน สายตากระจ่างใสมองมายังเขาเชิงถามไถ่

ฉีอวิ๋นเยี่ยนยิ้มให้ฮ่องเต้ไปตามจิตใต้สำนึก เขาก้าวเท้าเข้าไปหนึ่งก้าวพลางโอบไหล่องค์ฮ่องเต้เอาไว้ แล้วหยิบใบไม้สีเหลืองที่ปลิวตกลงบนเส้นผมของพระองค์ออกอย่างอ่อนโยน ปฏิกิริยาตอบสนองทุกอย่างล้วนเกิดไปก่อนสมองจะสั่งการ

การกระทำนี้สนิทชิดเชื้อเกินไป อวี่ฉีอดไม่ได้ที่จะอึ้งงัน ฝีเท้าของเธอหยุดชะงักกลางคัน ก่อนถอยเท้าที่หยุดอยู่กลางอากาศลงมาที่เดิม

อวิ๋นเยี่ยนหยุดเดินตามฮ่องเต้หญิงเช่นกัน ก่อนหันกายไปมองฝ่าบาท เขารู้ดี การกระทำของตนเองเมื่อครู่ไม่มีความอ่อนโยนใด ๆ เจือปน เป็นเพียงความเคยชินที่สลักลึกจาการอยู่ในวังหลวงมานานปี ความคิดเอาตัวรอดนี้ฝังลึกอยู่ในกระดูก ทำให้เขาทำการตัดสินใจลงไปโดยไม่รู้ตัว…

เมื่อต้องเผชิญกับอันตรายสองทาง จงเลือกสิ่งที่อันตรายน้อยกว่า ยามนี้เขาต้องทำให้แน่ใจก่อนว่า การคุ้มครองจากองค์ฮ่องเต้จะไม่ถูกทำลาย ต่อให้ต้องหลอกใช้ความรู้สึกดี ๆ ที่ฝ่าบาทมอบให้ตนเองก็ตาม

ฉีอวิ๋นเยี่ยนมองตอบสายตาของฝ่าบาท คิดจะยิ้มก็กลับพบว่าริมฝีปากของตนเองช่างแข็งทื่อ ความรู้สึกรังเกียจตนเองพลันล้นทะลักออกมาในบัดดล จนเขาต้องหันหน้าหนีเพื่อหลบสายตาของคนตรงหน้า

ที่ผ่านมา เขาคิดเสมอว่าอย่างน้อยที่สุด เขาจะไม่มีวันใช้วิธีที่แม้แต่ตนเองยังรังเกียจเมื่ออยู่ต่อหน้านาง นี่ถือเป็นหลักการและมโนธรรมเส้นสุดท้ายของเขา

ทว่าฉีอวิ๋นเยี่ยนประเมินตัวเองสูงเกินไป วังหลวงอันเย็นยะเยียบแห่งนี้ได้กลืนกินบุตรชายที่ฉีไท่ฟู่ภาคภูมิใจไปนานแล้ว เหลือไว้เพียงซือหลี่เจียนจ่างอิ้นและตงฉ่างตูจู่ผู้โหดเหี้ยม…เป็นแค่ซากศพเดินได้ที่ภายในกลวงโบ๋เท่านั้น

อวี่ฉีเตรียมจะเอ่ยปากเมื่อเห็นเขามีสีหน้าแปลกไป ทว่าเธอกลับเงยหน้าเห็นเงาแวบผ่านตรงป่าด้านหลังเข้าอย่างไม่คาดฝันเสียก่อน หัวใจพลันหดเกร็งทันที แมกไม้ที่อาบแสงแดดแสดแดงยามสนธยายังคงนิ่งสงบ ใบ้ไม้บนต้นไม้ใหญ่ไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใด ๆ คล้ายกับเวลาได้ถูกหยุดเอาไว้

ไม่มีความผิดปกติใด ๆ เหมือนสิ่งที่เธอเห็นเมื่อครู่เป็นภาพลวงตาที่ไม่เคยเกิดขึ้น

เงียบเกินไป…แม้แต่เสียงนกเสียงแมลงก็ยังไม่มี สัญชาตญาณกำลังร้องเตือนเธอ ว่านี่คือความสงบก่อนพายุจะมา อวี่ฉีสงบสติอารมณ์แล้วตั้งสมาธิจับกลิ่นอายรอบด้าน นี่มันไม่ใช่แค่ฝั่งตรงข้ามที่เดียวแล้ว กระทั่งป่าด้านหลังก็มีจิตสังหารที่ถูกเก็บไว้อย่างแนบเนียนจนแทบสัมผัสไม่ได้อยู่

แย่แล้ว! อวี่ฉีถึงกับอุทานในใจ ตอนนี้พวกเธอถูกคนล้อมเอาไว้หมดแล้ว แม้จะมีคนไม่มากนักเมื่อเทียบกับทางนี้ เพราะคนพวกนี้ยังกระจัดกระจายไม่ได้รวมกลุ่มกันอยู่ แต่ถึงยังไงพวกเขาก็เป็นยอดฝีมือที่หาตัวจับได้ยาก

ใครกันที่ส่งคนพวกนี้มา มีเป้าหมายอะไรกัน จับตัว? ลอบสังหาร? คนของเธอจะรับมือไหวรึเปล่า ถ้าไม่ได้ จะหากำลังสนับสนุนจากที่ไหน แล้วจะหนีไปยังไงดี อวี่ฉีขบคิดปัญหาต่าง ๆ ในสมองเร็วจี๋ สถานการณ์ในตอนนี้ ถ้าเปลี่ยนเป็นคนทั่วไปคงสติแตกไปแล้ว แตกต่างจากอวี่ฉี ยามนี้เธอจะสงบนิ่งมากกว่าปกติด้วยซ้ำ

อาจเป็นเพราะเห็นพวกเธอหยุดอยู่ตรงนี้นานผิดสังเกต ป่ารอบด้านจึงเริ่มมีเสียงเสียดสีของใบไม้ดังโอบล้อมมาใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งถูกล้อมอยู่ตรงกลางอย่างเงียบเชียบ ราวกับกำลังทดสอบดูว่ามีผู้ใดรับรู้ถึงวงล้อมนี้หรือไม่

อวี่ฉีรู้ว่าพวกเขาจะเริ่มบุกโจมตีแล้ว รับมือยังไงก็ไม่ทันกาล จึงทำได้เพียงเอนร่างพิงฉีอวิ๋นเยี่ยนด้วยสีหน้าสงบนิ่ง กดเสียงลงเอ่ยขมุบขมิบที่ข้างแก้มอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง ฉับพลันก็เพิ่มระดับเสียงหันไปเอ่ยกับคนทั้งหลายว่า “เจิ้นเหนื่อยแล้ว กลับกันเถอะ”

หลังกล่าวจบ เท้ายังไม่ทันได้ขยับสักก้าว อวี่ฉีก็ได้ยินเสียงหวีดหวิวแหวกอากาศมาจากด้านหลัง ชั่วพริบตานั้น เธอก็ทุ่มตัวพุ่งไปด้านหลังเพื่อคว้าฉีอวิ๋นเยี่ยนหลบไปด้านข้าง พริบตาหลังจากที่ทั้งสองเพิ่งหลบไป ธนูดอกยาวก็พลันปักเข้าบนพื้นดินในตำแหน่งที่เคยอยู่ ดูจากความลึกของลูกธนูที่ปักลงในดินก็รู้แล้วว่าฝีมือของนักธนูไม่ใช่ธรรมดาเลย หากว่าพวกเขาช้าไปเพียงนิดเดียว เกรงว่าตอนนี้คงถูกลูกธนูเสียบทะลุร่างไปแล้ว

รอบด้านหยุดชะงักลงในชั่วอึดใจ ก่อนจะมีคนตั้งสติได้ ตะโกนออกมาว่า “มีมือสังหาร! คุ้มกันฝ่าบาท!”

เสียงนี้ราวกับหินก้อนยักษ์ที่ร่วงตกลงไปในน้ำจนกระเพื่อมไหว สถานการณ์พลันเปลี่ยนไปในทันใด เหล่ามือสังหารที่คลุมหน้าด้วยผ้าสีดำพากันพุ่งออกจากดงไม้ทุกทิศทางโดยไร้เสียง ไม่มีร้องส่งสัญญาณใด ๆ การจู่โจมของพวกเขาเงียบสงัดราวกับงูพิษที่จ้องจะเอาชีวิต

ทางด้านฝั่งอวี่ฉี ราชองรักษ์ที่ได้รับการฝึกฝนต่างชักดาบตั้งค่ายกลคุ้มครองในทันที ใช้ร่างกายของตนดั่งกำแพงมนุษย์ ล้อมกรอบปกป้องเธอและฉีอวิ๋นเยี่ยนไว้ตรงกลาง ขันทีและนางกำนัลที่เข้ามาในกำแพงอารักขานี้ไม่ทัน ได้แต่วิ่งพล่านหลบหนีท่ามกลางคมดาบ บ้างกรีดร้อง บ้างกุมศีรษะคุกเข่าอยู่บนพื้นพลางร่ำไห้คร่ำครวญ

ตอนที่ออกจากลานวัด อวี่ฉีคิดแค่ว่าจะไปเดินเล่นปรับอารมณ์เสียหน่อยแล้วค่อยกลับ ดังนั้นจึงพาองครักษ์มาเพียงสิบกว่านาย ภายใต้การโจมตีของมือสังหารชุดดำ องครักษ์เหล่านี้ต่างก็ได้รับบาดเจ็บอย่างรวดเร็วเป็นใบไม้ร่วง บาดแผลเต็มไปด้วยเลือดสด ๆ ที่ไหลทะลักออกมา ยิ่งเลือดหลั่งรินลงบนพื้นเท่าไร ดาบในมือก็ยิ่งกวัดแกว่งได้ช้าลงเรื่อย ๆ เมื่อเห็นวงล้อมขององครักษ์ค่อย ๆ ถูกตีแตกไปทีละน้อย อวี่ฉีก็ขมวดคิ้วแน่น ก้มตัวลงเก็บดาบเล่มหนึ่งที่ปกติราชองครักษ์พกติดตัวไว้ขึ้นมากะน้ำหนักของดาบ แล้วพลิกมือกุมมันเตรียมจะฆ่าคนเพื่อฝ่าวงล้อมออกไปในวินาทีที่กำแพงมนุษย์นี้ถูกทำลายลง

แต่ฉีอวิ๋นเยี่ยนที่ยืนเงียบอยู่ข้างกายมาโดยตลอดกลับกดมือที่ถือดาบของเธอเอาไว้ “ฝ่าบาท พระองค์ทรงมีความมั่นใจกับฝีมือของตนเองมากเพียงใดพ่ะย่ะค่ะ”

ยามนี้ทุกหนแห่งเต็มไปด้วยซากศพและโลหิต ในช่วงระยะเวลาแห่งความเป็นความตาย เสียงของเขากลับยังคงอบอุ่นเหมือนที่เคยเป็น สงบนิ่งจนทำให้ผู้คนจิตใจสงบลง

อวี่ฉีหันไปมองเขาตามจิตใต้สำนึก

“เมื่อครู่นี้กระหม่อมส่งให้คนไปเรียกทหารมาช่วยแล้ว รออีกเพียงครู่หนึ่งเท่านั้น อย่าเพิ่งทำอะไรผลีผลามเลยพ่ะย่ะค่ะ”

เธออึ้งไป “ตั้งแต่ตอนไหน”

“กระหม่อมเคยถูกลอบสังหารมานับครั้งไม่ถ้วนจนเป็นเรื่องปกติ ดังนั้นจึงชินแล้วกับการให้องครักษ์ลับสองคนคอยติดตามตัว ตอนที่พระองค์เตือนกระหม่อม กระหม่อมก็ให้คนกลับไปแจ้งข่าวที่วัดแล้ว” เขานิ่งไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นสีหน้าของเธอยังคงไม่เข้าใจ จึงอธิบายต่อว่า “กระหม่อมไม่ได้ส่งเสียง เพียงแต่ทำสัญลักษณ์มือ ตอนนั้นพระองค์จึงไม่ทันสังเกตเห็น”

เอ่ยถึงตรงนี้เขาก็พลันชะงักวูบไปราวกับเห็นบางอย่าง สีหน้าค่อย ๆ ดูเคร่งเครียดขึ้นมา “ฝ่าบาท…”

อวี่ฉีสัมผัสได้ว่าสถานการ์เริ่มเปลี่ยนไป จึงกระชับดาบในมือแน่นขึ้น “หืม?”

สายตาของฉีอวิ๋นเยี่ยนเบนกลับมายังตัวเธอ แล้วกล่าวช้า ๆ ว่า “ด้านนั้นเองก็ถูกจู่โจม พวกเราคงรอกำลังสนับสนุนไม่ทันแล้ว”