ตอนที่ 13.12 (เล่มสาม)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

ฉีอวิ๋นเยี่ยน

12

 

ฉีอวิ๋นเยี่ยนกล่าวประโยคนี้ออกมาอย่างเคร่งเครียด แต่ไร้ซึ่งความลนลาน อวี่ฉีจึงส่งคำถามผ่านสายตากลับไป เขาถามต่ออีกประโยคว่า “ฝ่าบาททรงว่ายน้ำเก่งหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เธอถึงกับอึ้งไปวูบหนึ่งเมื่อถูกถามอย่างกะทันหันแบบนี้ ก่อนคิดได้ว่าตรงตีนเขาลูกนี้มีแม่น้ำอยู่สายหนึ่ง ซึ่งต่อให้ว่ายน้ำเป็น แม่น้ำสายนั้นก็ยังเชี่ยวกรากจนอันตรายเกินไปอยู่ดี แถมวิ่งจากตรงนี้ไปก็เป็นระยะทางที่ไกลไม่ใช่น้อย ๆ ถ้าหากคนเสนอวิธีนี้ไม่ใช่ฉีอวิ๋นเยี่ยนแล้วละก็ เธอขอฟันธงเลยว่าคนที่คิดทางหนีแบบนี้ต้องเป็นไอ้งั่งตัวหนึ่งแน่ ๆ

ทว่าหากมองในอีกมุม การที่ฉีอวิ๋นเยี่ยนผู้รอบคอบอยู่เสมอนี้เสนอวิธีการเช่นนี้ออกมา ก็อธิบายได้แล้วว่าสถานการณ์ในขณะนี้เข้าขั้นวิกฤติสุด ๆ เก้าในสิบส่วนมีแต่ต้องตายสถานเดียว เพราะงั้นแล้วทางรอดเพียงหนึ่งเดียวจึงเป็นหนทางที่อันตรายที่สุด

ไม่มีเวลามัวลังเลอีกแล้ว เธอพยักหน้า ตัดใจกล่าวไปว่า “ไม่มีปัญหา”

เรื่องหลังจากนี้ไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึง ทั้งคู่ทำอย่างเดียวก็คือวิ่ง! วิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ไม่มีแม้แต่เวลาจะหันหลังกลับไปมอง

ราชองครักษ์ที่ยังรอดคุ้มกันพวกเธอวิ่งลงไปยังตีนเขาพร้อมต้านรับคมดาบจากคนชุดดำไปด้วย องครักษ์เงาของฉีอวิ๋นเยี่ยนเองก็ประกบอยู่ที่ด้านซ้ายและขวาคอยฉุดรั้งแขนของพวกเธอเอาไว้ ร่างกายนี้ของอวี่ฉีไม่นับว่าดีงามอะไร เพียงแค่เคยฝึกวิทยายุทธ์เล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น ในขณะวิ่ง แขนที่ถูกคมดาบบาดหลายรอยก็เริ่มมีอาการปวดแปลบแล้ว มาตอนนี้ยังถูกองครักษ์เงาคนหนึ่งฉุดแขนวิ่งตรงไปข้างหน้าอีก แม้ว่าฝีเท้าจะว่องไวปานใด ก็ยังยากที่จะไม่ถูกกระทบกระแทก

สถานการณ์ของฉีอวิ๋นเยี่ยนเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เขาไม่ใช่ตัวร้ายที่ครอบครองคัมภีร์วิชาทานตะวัน จนมีวรยุทธ์ไร้เทียมทานที่สุดในใต้หล้า ทั้งยังอยู่ดีกินดีมานานปี กำลังกายของเขาเทียบกับขันทีทั่วไปไม่ได้ด้วยซ้ำ

หลังจากนั้นการล้างบางก็เกิดขึ้น อวี่ฉีได้ยินเพียงเสียงคมดาบปะทะกันและเสียงของหนักล้มลงบนพื้นที่ไม่จบสิ้น องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังน้อยลงทุกที ถึงแม้เธอจะข่มใจไม่หันกลับไปมอง แต่อาศัยการฟังดูก็รู้ว่าสถานการณ์ด้านหลังเลวร้ายขึ้นเรื่อย ๆ คาดไม่ถึงว่านี่ยังไม่ใช่เรื่องที่แย่ที่สุด

พริบตาต่อมาเสียงฟาดฟันของดาบได้หยุดลง ทั่วผืนป่าก็เหลือเพียงเสียงหายใจหอบของคนทั้งสี่ ส่วนคนชุดดำดูเหมือนจะยุติการตามล่าแล้ว

อวี่ฉีและฉีอวิ๋นเยี่ยนรู้ดีว่าโลกนี้ไม่มีเรื่องโชคดีถึงขนาดนั้น การต่อสู้ที่หยุดลงชั่วขณะเป็นลางบอกเหตุว่าสถานการณ์ที่ร้ายแรงกว่านี้กำลังคืบคลานเข้ามา พวกเขาทำได้เพียงกัดฟันวิ่งไปข้างหน้า ไม่กล้าหยุดฝีเท้าเลยแม้แต่น้อย

เป็นไปตามคาด ในตอนที่ทิ้งระยะห่างมากขึ้น จู่ ๆ ก็มีเสียงลมพัดวูบจากด้านหลัง ลูกศรแทงทะลุองครักษ์คุ้มกันสี่คนพลันล้มลงกับพื้นโดยไม่มีสัญญาณบอกกล่าว ยังไม่ทันได้ส่งเสียงร้องออกมาก็สิ้นลมหายใจแล้ว 

ชั่วพริบตาที่องครักษ์ล้มลง อวี่ฉีสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นเฉียบมุ่งตรงมาที่ตำแหน่งหัวใจจากทางด้านหลัง

องครักษ์เงาด้านข้างไม่เสียทีที่เป็นคนที่ฉีอวิ๋นเยี่ยนชุบเลี้ยง เขามีปฏิกิริยาตอบสนองว่องไว กดไหล่เธออย่างไร้ความลังเลแล้วร้องเสียงต่ำว่า “หมอบลง!”

เธอหมอบลงไปตามแรงกดทันที ทั้งฝ่ามือกระทบพื้นดิน ลูกธนูดอกหนึ่งก็พุ่งผ่านความว่างเปล่าไปปักบนพื้นดินด้านหลังอย่างเหมาะเจาะ จากนั้นห่าธนูก็พรั่งพรูลงมาจากฟากฟ้าโดยไม่ทันให้เธอได้พักหายใจหายคอ อวี่ฉีแนบร่างติดกับพื้นดินอย่างทำอะไรไม่ได้ ส่วนองครักษ์เงาทั้งสองนายด้านหลังร่ายควงดาบต่างตาข่ายปะทะห่าธนูเกิดเป็นเสียงเคร้งคร้างดังไปทั่ว ถึงแม้พวกเขาจะต้านทานธนูส่วนใหญ่เอาไว้ได้ แต่อวี่ฉีก็รับรู้ได้ว่ามีลูกธนูจำนวนไม่น้อยแฉลบผ่านข้างกายไป เลยไม่กล้าขยับตัว 

ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย เธอได้ยินเสียงกรอบแกรบดังมาจากด้านหลัง น่าจะมีคนมา…อวี่ฉีสันนิษฐานก่อนหันหน้าไปมอง แต่ท้ายทอยกลับถูกมือข้างหนึ่งกดเอาไว้เสียก่อน

“อย่าเงยหน้าขึ้นมา” น้ำเสียงอันคุ้นเคยดังข้างหู ฉีอวิ๋นเยี่ยนหอบหายใจแผ่วเบา ร่างกายเกร็งเครียดของเธอจึงผ่อนคลายลง บางทีอาจเพราะรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงของเธอ เขาจึงเก็บมือกลับไปพลางกระซิบว่า “ฝ่าบาทโปรดคลานไปทางขวาช้า ๆ หาต้นไว้สักต้นแล้วหลบด้านหลัง…อย่าหันกลับมามองอีก กระหม่อมจะช่วยดูแทนพระองค์เอง”

อวี่ฉีคอยฟังอยู่ตลอด แต่เธอไม่ได้ตอบกลับ เพราะว่าวิธีการนั้นมันไม่ได้เรียบง่ายเหมือนที่เขาพูด

เธอสามารถฉวยโอกาสที่มือสังหารเผอเรอนี้ไปซ่อนหลังต้นไม้ได้สำเร็จก็จริง แต่ถ้าเธอทำแบบนั้น ฉีอวิ๋นเยี่ยนจะกลายเป็นเป้าสนใจของมือสังหารแทน เขาไม่มีทางใช้วิธีเดียวกับเธอหนีได้แน่

สะพานไม้นี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ข้ามไปได้ หากเธอข้ามไป เขาจะไม่มีทางข้ามมาได้อีก

อวี่ฉีสูดหายใจลึก แล้วยื่นมือซ้ายออกไปจับมือขวาของเขาไว้แน่น

ฉีอวิ๋นเยี่ยนตกตะลึงไปเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรถึงได้หัวเราะออกมาแผ่ว ๆ ก่อนจะตบหลังมือของเธออย่างเบามือ จากนั้นก็ปัดมือเธอออกอย่างอ่อนโยนโดยไร้ซึ่งความลังเลใด ๆ

อวี่ฉีบีบมือแน่นตามสัญชาตญาณ แต่กลับคว้าได้เพียงธุลีดิน เธอหลับตาลง รู้ชัดว่าสิ่งที่เขาต้องการสื่อคือ ‘ไม่มีเวลาให้ลังเลอีกแล้ว’

เธอทำได้เพียงกัดฟันขยับตัวคืบคลานไปทางขวา ต่อให้ลูกธนูปักเฉียดผ่านใบหน้าเธอก็ไม่มีชะงัก ทุ่มสมาธิทั้งหมดในการขยับไปยังต้นไม้ที่ใกล้ที่สุดเรื่อย ๆ

หลังฝ่ามือถูกเศษหินบาดเป็นรอยแผลมากมาย ในที่สุดเธอก็คลานมาถึงข้างแนวป่า อวี่ฉีรวบรวมสมาธิหาช่องว่างของห่าฝนธนูนั้น แล้วทุ่มแรงมือแรงเท้ากระโจนออกไปอย่างว่องไวราวกับแมว พาร่างกายตนเองไปหลบหลังต้นไม้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

เมื่อเธอมาถึงหลังต้นไม้ ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็กระโจนตามมาติด ๆ อวี่ฉีไม่รู้ว่าเขาทำได้ยังไง แต่เหมือนคนชุดดำเหล่านั้นจะรู้ทันแผนการของเขา ลูกธนูหกดอกจึงไล่ตามมาปิดกั้นทางหนีรอบตัว

ไม่มีทางให้หลบอีกแล้ว เขาต้องตายอย่างแน่นอน

หัวใจของอวี่ฉีพลันบีบรัด ตอนที่เตรียมจะพุ่งออกไปรับลูกธนูแทนเขานั่นเอง องครักษ์เงาที่ดึงแขนเธอก่อนหน้านี้ก็พลันพลิกตัวพุ่งเข้ามา เสียงดังฉึกดังขึ้นหลายครั้ง ธนูสี่ดอกที่ควรปักทะลุร่างฉีอวิ๋นเยี่ยนกลับทิ่มแทงร่างขององครักษ์เงาแทน ความพลิกผันเกิดขึ้นในชั่วพริบตา ทันทีที่อวี่ฉีได้สติ เธอก็เห็นแขนเสื้อสีฟ้าสะบัดอยู่เบื้องหน้า ร่างกายถูกกลิ่นหอมเย็น ๆ อันคุ้นเคยโอบล้อม ฉีอวิ๋นเยี่ยนทุ่มแรงทั้งหมดเท่าที่มีวางมือทั้งสองลงบนบ่าของเธอ  

ด้วยความสูงที่แตกต่าง ริมฝีปากของเขาจึงแนบอยู่บนปอยผมบริเวณหน้าผากของเธอ เขาเลยคิดผละตัวออกเล็กน้อย ทว่ามือของเธอกลับกอดรอบเอวเขาแน่นไม่ยอมปล่อย คล้ายกับเด็กน้อยที่ได้สิ่งล้ำค่ากลับคืนมาหลังจากสูญเสียมันไป ฉีอวิ๋นเยี่ยนยกมุมปากอย่างอ่อนล้า ต่อให้มีคนรับธนูแทนเขาแล้วสี่ดอก เขาก็ยังถูกยิงด้วยธนูดอกหนึ่งอยู่ดี

สถานการณ์เช่นนี้ไม่เหมือนในวันวาน ไม่เพียงไม่มีหมอหลวงอยู่แถวนี้ ด้านหลังยังมีกลุ่มนักฆ่าไล่ตามมา สภาพร่างกายของเขาไม่ได้ดีเด่อะไรแต่แรกแล้ว การที่ตัวเขาได้รับบาดเจ็บจากลูกธนูแบบนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับโดนตัดสินโทษตาย อวี่ฉีมองดูจากด้านหลังก็พบว่าตอนนี้ฝนหยุดตกแล้ว และมีชายชุดดำแปดคนกำลังเดินมาทางนี้

เธอรู้สึกร้อนใจ จึงหันไปมองฉีอวิ๋นเยี่ยนโดยไม่รู้ตัว

“ขออภัย ฝ่าบาท แค่ก ๆ กระหม่อมไร้แผนการรับมือแล้ว” น่าแปลกที่ในเวลาเช่นนี้ เขายังสามารถแย้มยิ้มออกมา ไอไปพลางยิ้มไปพลางอยู่แบบนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าตัวกำลังยิ้มเรื่องอะไร

เธอไม่ได้เอ่ยอะไร เพียงแต่จ้องมองเขานิ่ง ๆ

มือข้างหนึ่งของเขาประคองข้างกกหูของเธอ ส่วนอีกข้างหนึ่งวางอยู่บนศีรษะอย่างไร้เรี่ยวแรงจะยกมือ ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง “วิ่งไปเถิด ฝ่าบาท แค่ก ๆ …วิ่งไปข้างหน้าอย่าหยุด อย่าได้หันกลับมาเด็ดขาดนะพ่ะย่ะค่ะ”

อวี่ฉีมองเขา ในหัวไม่คิดจะใช้วิธีการนี้แม้แต่น้อย ดังนั้นเธอจึงมองไปรอบด้าน สภาพภูมิประเทศโดยรอบค่อนข้างพิเศษ

ยิ่งห่างจากถนนหลัก พื้นดินก็จะยิ่งลาดชัน ต้นไม้จะบางตาลงเหลือเพียงต้นวัชพืชและไม้เลื้อยรกปกคลุมพื้นดินจนมองไม่เห็นพื้น ที่นี่ดูเหมือนจะเป็นทางน้ำไหลมากกว่าเนินเขา ปลายตีนเขาถูกขัดขอบเหมือนมีดหั่น ด้านล่างมีแม่น้ำสายเล็ก ๆ ไหลทอดอยู่ น้ำที่ใช้ในวัดบนเขาน่าจะมาจากมัน  

เธอคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตัดสินใจเสี่ยงอันตรายสักรอบ ไม่ว่าผลจะเป็นยังไงก็ดีกว่าต้องมาตายในเงื้อมมือของมือสังหารพวกนี้อยู่แล้ว

คิดถึงตรงจุดนี้ อวี่ฉีก็เอ่ยเสียงต่ำว่า “ทนหน่อยนะ จื่อเซิ่น” เอ่ยจบก็ไม่รีรอให้อีกฝ่ายตอบกลับ เธอยื่นมืออ้อมเอวของเขาไปจับลูกธนูดอกนั้นไว้มั่น ในขณะที่มืออีกข้างจับด้ามธนูเอาไว้แน่น ก่อนจะลงมือหักมันลงอย่างแรง

เสียงเป๊าะดังขึ้น ด้ามธนูยาวหักลงตามเสียงนั้น เหลือไว้เพียงก้านเล็ก ๆ และหัวลูกธนูที่ยังคงฝังอยู่ในร่างของฉีอวิ๋นเยี่ยน แน่นอนว่าไม่อาจหลีกเลี่ยงการกระทบถูกปากแผล อวี่ฉีได้ยินเขาร้องครางเหนือศีรษะตัวเองอย่างเจ็บปวดคราหนึ่ง อึดใจต่อมาทั้งร่างของเธอก็หนักวูบ จนต้องรีบร้อนยกมือขึ้นประคองร่างที่อ่อนยวบลงของเขาเอาไว้

องครักษ์เงาที่ยังมีชีวิตอยู่หยิบยาขวดเล็ก ๆ ออกมาจากตรงอกเสื้อแล้วโยนให้เธอพร้อมกับมีดสั้นเล่มหนึ่ง “ฝ่าบาทรีบไปเร็วพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมจะกันพวกมันเอาไว้ด้านหลังเอง”

อวี่ฉีมองเขา กล่าวว่า “ขอบคุณมาก” เสียงเบา จากนั้นก็ลากฉีอวิ๋นเยี่ยนที่สลบไม่ได้สติไปยังขอบทางลาด หลังสูดลมหายใจเข้าลึกก็ออกแรงบิดตัว พาอีกฝ่ายกลิ้งลงไปด้านล่างพร้อม ๆ กัน

———————————————————————————————————————————