ตอนที่ 13.13 (เล่มสาม)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

ฉีอวิ๋นเยี่ยน

13

 

ชั่วขณะที่ฉีอวิ๋นเยี่ยนหมดสติ เขาก็จมจ่อมอยู่กับห้วงฝันอันยาวนานและสมจริง…สมจริงเสียจนเขาไม่อาจแยกได้ว่าสิ่งนั้นคือความจริงหรือความฝันกันแน่

ในความฝัน พวกเขากลับถึงวังหลวงอย่างปลอดภัย ไม่ได้เผชิญหน้ากับการถูกลอบสังหารใด ๆ ทั้งสิ้น แต่โศกนาฏกรรมทั้งหลายกลับเพิ่งเริ่มต้นขึ้น…

ด้วยความโปรดปรานขององค์ฮ่องเต้ อำนาจในมือของเขามีแต่จะเพิ่มขึ้นทุกวัน เพื่อรักษาความรู้สึกดี ๆ ของฝ่าบาทให้คงอยู่ต่อไป เขาจึงค่อย ๆ เริ่มตอบรับความรักของพระองค์

ในตำหนักเฉียนชิงอันกว้างใหญ่ องค์ฮ่องเต้ไล่นางกำนัลทั้งหมดออกไป แล้วกอดเอวของเขาเอาไว้จากด้านหลัง วางพาดคางของพระองค์เอาไว้บนบ่าของเขา พร้อมเรียกเขาว่าจื่อเซิ่นอย่างเกียจคร้าน คำสองพยางค์นี้ยามออกมาจากปากของฝ่าบาทช่างให้ความรู้สึกอ่อนโยนกว่าสิ่งใด มันดังสะท้อนอยู่ภายในใจเป็นร้อยพันรอบจนนับไม่หวาดไม่ไหว

ฝ่าบาทรงเป็นคนรักที่ดียิ่ง ยามอยู่ต่อหน้าผู้คน พระองค์ก็รู้จักแสดงออกตามสมควร แยกแยะควบคุมอารมณ์ได้อย่างเหมาะสม ไม่เคยก้าวข้ามเส้นแบ่งระหว่างกษัตริย์กับขุนนางแม้แต่ก้าวเดียว แสดงภาพลักษณ์ของเจ้าชีวิตผู้ปราดเปรื่องน่าเลื่อมใส แต่ในยามที่อยู่กันเพียงลำพัง กลับกลายเป็นเพียงเด็กน้อยที่พัวพันไม่เลิกรา เอาแต่จับมือถือแขนของเขาไม่ยอมปล่อย ฝ่าบาทจดจำใส่ใจทุกสิ่งที่เขาชอบและเกลียด กระทั่งจะเลื่อนตำแหน่งให้ขุนนางหนุ่มรูปงามสักครั้ง ก็ยังมาถามเขาอย่างอึก ๆ อัก ๆ ว่าเขาเห็นด้วยหรือไม่

ถึงแม้จะเป็นความฝัน เขาก็ยังเข้าใจว่า ความรักที่พระองค์มีต่อตนนั้นเป็นเพียงความสดใหม่ชั่วครั้งชั่วคราว นานวันเข้าพระองค์ก็จะทรงเบื่อหน่ายไปเอง แต่หลังกาลเวลาผันผ่านเป็นแรมปี ขุนนางหนุ่มรูปงามมากมายในราชสำนักกลับไม่เคยดึงสายตาของฝ่าบาทไปได้เลย นับแต่อดีตกาล ฮ่องเต้นั้นล้วนไร้ซึ่งความรัก ทว่าฝ่าบาทกลับมีหัวใจรักอันมั่นคงหนักแน่นจนน่าเหลือเชื่อ

ความรักของฝ่าบาท ต่อให้เป็นก้อนหินก็ยังหวั่นไหว นับประสาอะไรกับฉีอวิ๋นเยี่ยนผู้นี้ เขาจึงทุ่มเทใจช่วยเหลือพระองค์บริหารแผ่นดิน

ฝ่าบาทไม่เคยทำให้เขาผิดหวัง ในเวลาเพียงไม่กี่ปี พระองค์สามารถเติบโตขึ้นเป็นฮ่องเต้ผู้รู้เล่ห์กลในเรื่องการถ่วงดุลอำนาจของราชสำนักอย่างแตกฉาน ไม่ว่ายินดีหรือโกรธเกรี้ยว พระองค์ล้วนไม่ยอมแสดงออกมาทางสีหน้า

นั่งอยู่บนบัลลังก์ทองในพระตำหนักด้วยภาพลักษณ์อันน่าเกรงขามและมีเมตตา ทำให้เขาเกิดความรู้สึกภาคภูมิขึ้นในใจ ราวกับเห็นบุตรีคนแรกในบ้านเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วไม่มีผิด

แต่ไม่ว่าขุนนางทั้งหลายจะยื่นคำร้องอย่างไร ฝ่าบาทก็ไม่เคยอภิเษกสมรส ส่วนตัวเขาเองก็ใช่ว่าจะไม่เคยคิดเกลี้ยกล่อมพระองค์ในเรื่องนี้ แต่สุดท้ายแล้วเขากลับไม่เคยเอ่ยปาก แม้จะมีขุนนางมากมายกล้าประณามความดื้อรั้นของพระองค์ ก็มีเพียงเขาเท่านั้นที่ไม่อาจหักใจทำเช่นนั้นลงได้

การไร้บุตรไร้ทายาทเป็นข้อบกพร่องที่ร้ายแรงที่สุดของจักรพรรดิ และเรื่องนี้ก็ได้กลายเป็นหายนะครั้งใหญ่ในที่สุด

ยามที่หิมะตกหนักปกคลุมภูเขา เผ่าหมานรุกรานดินแดนเข้ามา แม่ทัพที่อดกลั้นมานานปีก่อการประท้วงโดยไม่ยอมออกรบ เพื่อขู่บังคับให้ฝ่าบาททรงเลือกคุณชายตระกูลสูงศักดิ์สักคนมาอภิเษกสมรสด้วย ไม่เช่นนั้นก็จงออกคำสั่งประหารฉีอวิ๋นเยี่ยนเสีย

เหตุการณ์นี้เหมือนกับเรื่องของถังเสวียนจง[1] กับหยางอวี้หวน[2] ในเหตุการณ์ประหารที่หม่าเวย[3] ไม่มีผิด แต่พระองค์ไม่ใช่ถังเสวียนจง ส่วนเขาก็ไม่ใช่หยางอวี้หวน หยางอวี้หวนทำได้เพียงยอมให้จับกุมแต่โดยดี ต่างกับเขาที่มีอำนาจในมือมากพอจะสั่นคลอนทั้งวัง

ในขณะที่ทุกคนเข้าใจว่าฮ่องเต้หญิงจะยอมประนีประนอมไม่ก็ยอมจับฉีอวิ๋นเยี่ยนไปประหาร ฝ่าบาทกลับไปที่ตำหนักเฉียนชิง ในตอนนั้นเขาได้แต่ตามไปอย่างเงียบงัน พระองค์ไม่ตรัสสิ่งใดเลย เพียงหลุบตาลง เลิกแขนเสื้อขึ้น แล้วรินสุราสองจอก

ไม่รู้เพราะเหตุใด จู่ ๆ เขาถึงหวนนึกขึ้นมาได้ว่า ก่อนหน้านี้เมื่อนานมาแล้ว ในกลางดึกคืนหนึ่ง ฝ่าบาทเคยหันหน้ามามองเขา พลางกล่าวเสียงเบาว่า ‘สุรามงคลหนึ่งจอก ผูกสัญญาท่านสามภพ รักมั่นมิคลอนคลาย แม้นตายไม่ละวาง’

หลังจากนั้น องค์ฮ่องเต้ก็ยึดอำนาจทางทหารของแม่ทัพทั้งหลาย ดำรงตำแหน่งแม่ทัพใหญ่และเคลื่อนพลด้วยตนเอง

หลายเดือนต่อมา ทัพใหญ่เรือนแสนก็กลับคืนมาตุภูมิ พวกเขาได้รับชัยชนะในศึกครั้งนี้อย่างงดงาม ทว่าองค์ฮ่องเต้กลับถูกยิงด้วยลูกธนูในสนามรบ บาดเจ็บสาหัสถึงหัวใจ ในยามที่กลับถึงวังนั้น เวลาก็เหลืออยู่ไม่มากแล้ว

เขาทรุดเข่าอยู่ที่หน้าตั่งเตียง สิ่งเดียวที่รู้สึกคือตนกำลังกุมมือฝ่าบาทเอาไว้แน่น อารมณ์ความรู้สึกมากมายปั่นป่วนราวกับคลื่นสมุทรอยู่ในอก สุดท้ายก็หลงเหลือไว้เพียงความคิดที่ว่า ‘นางกำลังจะจากไปแล้ว ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะเขาที่ทำร้ายนาง’ ฉีอวิ๋นเยี่ยนฝังใบหน้าไว้ในฝ่ามือที่เย็นเฉียบของสตรีเบื้องหน้า

ฝ่าบาทกลับมองเขาพลางยิ้มน้อย ๆ น้ำเสียงอ่อนโยนและโอบอ้อมอารี ในความผ่อนคลายนั้นเจือด้วยความผิดหวังเลือนราง “จื่อเซิ่น ที่จริงแล้วเจ้าไม่เคยรักข้าเลยใช่หรือไม่”

เขาตกใจวูบ เงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่อยากจะเชื่อ

สีหน้าของฝ่าบาทบ่งบอกว่าไม่ได้กำลังล้อเล่น นางรู้…นางรู้มาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ

“รักมั่นมิคลอนคลาย แม้นตายไม่ละวาง” นางยิ้มอยู่ครู่หนึ่ง คล้ายกับว่ารู้สึกเหนื่อยล้าเต็มทีแล้ว น้ำเสียงจึงค่อย ๆ แผ่วเบาลง “ต่อให้พวกเราทำครึ่งแรกไม่สำเร็จ แต่อย่างน้อยข้าก็ทำครึ่งหลังสำเร็จ”

…นางไม่ลืมตาขึ้นมาอีกเลย

ตามราชโองการสุดท้ายขององค์ฮ่องเต้ องค์หญิงรุ่ยอันได้สืบทอดราชบัลลังก์ เงื่อนไขมีเพียงข้อเดียว นั่นคือ ‘ตำแหน่งซือหลี่เจียนจ่างอิ้นและตงฉ่างตูจู่ไม่อาจเปลี่ยนคนได้’ นี่น่าจะเป็นราชโองการที่เหลวไหลไร้สาระที่สุดเท่าที่ต้าอวี้เคยมีมาแล้ว

ในตอนจบของฝันนั้น เขายังคงนั่งอยู่ในตำแหน่งซือหลี่เจียนจ่างอิ้นและตงฉ่างตูจู่มาโดยตลอด ฮ่องเต้หญิงพระองค์ใหม่กับพระสวามีทำตามราชโองการสั่งเสีย แต่ก็ยังคงไม่ไว้ใจเขาเช่นเคย ทว่าเขาไม่ใส่ใจอีกแล้ว

หลังจากคนผู้นั้นจากไป เขาถึงเพิ่งค้นพบว่าในวังหลวงอันงดงามทว่าเย็นยะเยียบแห่งนี้ ไม่มีความอบอุ่นหลงเหลืออยู่แม้แต่น้อย

ไม่มีอีกแล้วผู้ที่แม้จะป่วยไข้ แต่เพียงได้กุมมือเขาไว้ก็พอใจ ไม่มีอีกแล้วคนที่จดจำวันเกิดและความชอบของเขาได้ขึ้นใจ

‘จื่อเซิ่น’ สองคำนี้ ไม่มีผู้ใดจะใช้น้ำเสียงอันอ่อนโยนและคุ้นเคยเอ่ยเรียกชื่อนี้อีกแล้วเช่นกัน ถึงแม้ว่าเขาจะสามารถทำให้ขันทีผู้ใดก็ได้ในราชสำนักเรียกเขาอย่างเคารพนบนอบว่าผู้ดูแลฉี แต่ก็ไม่อาจหาคนที่จะเรียกเขาว่าจื่อเซิ่นได้อีกต่อไป

หลังจากลา หวังพานพบท่าน ยามหลับฝันไม่ว่ากี่ครา[4]

กว่าจะรู้จักความรักรู้จักถนอมได้ก็สูญเสียไปแล้ว หลังการจากลาชั่วนิรันดร์จึงเริ่มคะนึงหา แต่ทุกอย่างนั้นสายไปแล้ว ไม่อาจหวนกลับไปแก้ไขได้อีก

มีเพียงยามที่มองออกไปบนท้องนภากว้างนอกวังต้องห้ามเท่านั้น ที่เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความอบอุ่นอันคุ้นเคย นั่นคือแผ่นดินกว้างไกลหมื่นลี้ที่นางใช้หัวใจปกปักรักษาเอาไว้เสมอมา

วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า เขาก็ยังคงใช้ดวงตาคู่นี้คอยเฝ้ามองแผ่นดินที่สตรีผู้นั้นไม่ทันได้อยู่เห็นค่อย ๆ ก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ทีละก้าว

ฝ่าบาท ทอดพระเนตรเห็นแล้วหรือไม่

นี่ก็คือแดนดินที่สงบสุขและรุ่งเรืองของท่าน นี่คือแผ่นดินที่งดงามราวภาพฝันของท่านอย่างไรเล่า

——————————-

ตอนที่ฉีอวิ๋นเยี่ยนตื่นขึ้นมา เขารู้สึกเพียงว่าในอกรวดร้าวไปด้วยความโศกเศร้า หัวใจปวดหนึบหม่นหมอง เมื่ออาการดีขึ้นมาหน่อยแล้ว ถึงค่อย ๆ ตาสว่างขึ้น นั่นเป็นแค่ฝันเท่านั้น…ทว่าเขากลับรู้สึกเหมือนได้ผ่านเวลาชาติหนึ่งมาแล้ว เหมือนตัวเองกำลังยืนอยู่ท่ามกลางทุ่งหญ้าอันอ้างว่างและเงียบงัน

ความฝันนั้นสมจริงเกินไป…สมจริงจนเหมือนกับเป็นเงาสะท้อนของอนาคต

ที่จริงพอมาคิด ๆ ดูแล้ว ถึงแม้จะไม่มีการลอบสังหารในครั้งนี้ หลังกลับวังไป เขาก็คิดจะใช้ประโยชน์จากความรักของฝ่าบาทมาคุ้มครองตนเองอยู่ดี ความฝันนั่นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นความจริงที่ต้องเกิดขึ้นในภายภาคหน้าแน่นอน เพราะเขาตระหนักดีว่าตนเป็นคนเช่นไร และด้วยนิสัยที่ไม่ยินยอมผู้ใดใช้อำนาจกดหัวของฝ่าบาท เหตุการณ์ในอนาคตจะต้องพัฒนาไปในทิศทางเดียวกับความฝันเป็นแน่ และหากเป็นเช่นนั้นในตอนจบของเรื่องราว…

เขาก็จะเป็นเหตุให้ฝ่าบาทต้องตาย และดูเหมือนว่านี่จะเป็นชะตากรรมที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เลย

ภาพเหตุการณ์มากมายซ้อนทับไปมา ศีรษะของฉีอวิ๋นเยี่ยนปวดร้าวราวกับจะแตกออก เขาใช้ความพยายามอยู่นานกว่าจะประคองตัวเองลุกขึ้นมานั่งได้ เสื้อตัวนอกที่ห่มคลุมอยู่บนร่างเลื่อนหลุดลง

เมื่อมีแสงจันทร์ตกกระทบ ฉีอวิ๋นเยี่ยนถึงเพิ่งเห็นชัด ๆ ว่านี่เป็นชุดคลุมยาวสีเหลืองอร่ามที่ปักลายมังกรทรงกลดเต็มผืน…นี่เป็นอาภรณ์มังกรขององค์ฮ่องเต้

ที่นี่คือถ้ำในภูเขาอันคับแคบแห่งหนึ่ง ซึ่งเต็มไปด้วยเถาวัลย์ยาวทั่วถ้ำ ด้านนอกมีสายฝนกระหน่ำ น้ำฝนเย็นชื้นถูกสายลมพัดให้สาดซัดเข้ามาข้างใน เมื่อไม่มีอาภรณ์มังกรคลุมเอาไว้ บวกกับลมเย็นที่พัดมา ร่างทั้งร่างของเขาก็หนาวสะท้านขึ้นมา

หลังอึ้งไปครู่หนึ่ง ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็มองไปรอบ ๆ ถ้ำ ไปหยุดบนร่างที่นอนอยู่ข้างตนไม่ไกล บนร่างนั้นมีเพียงอาภรณ์บาง ๆ เพียงชั้นเดียว และเพราะอยู่ใกล้กับปากถ้ำ แผ่นหลังจึงถูกน้ำฝนที่สาดเข้ามาทำให้เปียกชุ่ม ทั้งร่างนอนขดเป็นก้อนกลมหันใบหน้ามาทางเขา คนผู้นั้นหลับสนิท ใต้ตาทั้งสองข้างปรากฏรอยคล้ำเข้ม

เมื่อได้เห็นดวงหน้าที่คุ้นเคยนี้อีกครั้ง ก็ให้ความรู้สึกคล้ายว่าจากกันนานนับสิบปีก็ไม่ปาน ความโศกเศร้าที่เพิ่งกดข่มเอาไว้ได้ค่อย ๆ พรั่งพรูขึ้นมาในอก เขายื่นมือออกไปโดยไม่รู้ตัว ลูบแก้มของนางอย่างแผ่วเบา

อวี่ฉีหลับไม่ลึกมาโดยตลอด ในตอนที่ปลายนิ้วของฉีอวิ๋นเยี่ยนแตะถูกใบหน้าก็ตื่นขึ้นมาแล้ว เธอลังเลเล็กน้อย เลยรอเงียบ ๆ อยู่ครู่หนึ่ง เขายังคงไม่เก็บมือกลับไป ดังนั้นเธอจึงทำได้เพียงแสร้งลืมตาขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ “จื่อเซิ่นหรือ”

ได้ยินสองคำนี้ ฉีอวิ๋นเยี่ยนก็อึ้งไปอีกครั้ง รอจนกระทั่งได้สติกลับมา หลังมือของเธอก็ทาบลงบนแก้มของเขาแล้ว อุณหภูมิอันอบอุ่นถูกส่งผ่านผิว ทำให้รู้สึกเบลอขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้

“ในที่สุดไข้ก็ลดแล้ว เจ้าหลับไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็ม ๆ” อวี่ฉีถอนลมหายใจออกมาเบา ๆ เธอเก็บมือกลับไปแล้วมองดูเขา จากนั้นขมวดคิ้วขึ้นมาอีก “ทว่าพวกเราต้องรีบกลับให้เร็วหน่อย บาดแผลของเจ้าจำเป็นต้องได้รับการรักษาโดยเร็วที่สุด อีกทั้งหากฝนหยุดตกแล้ว ไม่แน่ว่ามือสังหารพวกนั้นจะหาที่นี่เจอ ถึงตอนนั้นก็แย่แล้ว” เอ่ยจบ เธอก็ลุกขึ้นเดินเข้าไปในถ้ำ “เจ้ายังลุกขึ้นมาไหวหรือไม่ ที่นี่มีทางเดินที่เป็นรอยแยกของภูเขา ตอนที่เจ้าหมดสติอยู่ ข้าเดินไปสำรวจมาแล้ว ข้างในมีทางแยกมากมาย บางทางเป็นทางตัน บางทางไม่ใช่ ข้าทำเครื่องหมายบนเส้นทางที่มุ่งหน้าไปยังตีนเขาเอาไว้แล้ว รอกำลังของเจ้าฟื้นคืนมาสักหน่อย พวกเราค่อยไปกัน”

อวี่ฉีแหวกเถาวัลย์ด้านข้างออก เพื่อให้เขาดูเส้นทางที่กว้างพอให้คนเพียงคนเดียวเดินผ่าน

แต่ความสนใจของฉีอวิ๋นเยี่ยนไม่ได้อยู่ที่ทางแคบ ๆ สายนั้นเลย กลับมองเธอด้วยสายตาซับซ้อน น้ำเสียงของเขาแห้งผากเพราะได้รับบาดเจ็บหนัก “ในเมื่อเจอทางออกแล้ว เหตุใดพระองค์จึงไม่ไปเล่าพ่ะย่ะค่ะ”

อวี่ฉีรู้สึกได้ในพริบตาว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง ปกติฉีอวิ๋นเยี่ยนไม่มีทางถามคำถามแบบนี้ออกมา เลยเดินไปที่ข้างกายเขา แล้วย่อตัวลงลูบหน้าผากของอีกฝ่าย “ไข้เจ้ายังไม่ลดงั้นหรือ”

ฉีอวิ๋นเยี่ยนหลุบตาลงเงียบ ๆ “ฝ่าบาท พระองค์จะต้องเสียพระทัยในภายหลัง” พูดถึงตรงนี้เขาก็ชะงักไปแล้วเงยหน้าขึ้นมองเธอ ก่อนจะกระซิบแผ่วเบาจนแทบไม่ได้ยิน “พระองค์ไม่ควรกลับมาเลยพ่ะย่ะค่ะ”

ไม่อย่างนั้นจะต้องมีสักวันที่พระองค์ต้องตกตายเพราะเขา

อวี่ฉียังคงรู้สึกว่าท่าทางของเขาดูไม่ปกติ แต่ไม่รู้ว่ามันผิดปกติที่ตรงไหน หลังสบตากันอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็พบว่าสายตาที่อีกฝ่ายใช้มองตนเองนั้นค่อนข้างไม่เหมือนเดิม มันบรรจุไว้ด้วยความคิดถึงอันเลือนรางราวกับว่าได้พบเพื่อนเก่าแก่ที่ห่างหายไป

ไม่ว่าอย่างไร ร่องรอยต่าง ๆ ในแววตานั้นล้วนฉายชัด ตัวเขาในเวลานี้ดูเข้าถึงได้ง่ายกว่าฉีตูจู่ที่มักสวมหน้ากากและเก็บความนึกคิดไว้ในใจมากมาย อวี่ฉีผู้ไม่เคยปล่อยโอกาสให้เสียเปล่ารีบคว้าโอกาสงาม ๆ นี้ไว้ทันที เธอทดลองยื่นมือออกไป เห็นเขาไม่มีทีท่าว่าจะหลบเลี่ยง จึงค่อย ๆ ลูบแก้มของเขาอย่างแผ่วเบา

เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะต่อต้าน เธอจึงค่อย ๆ เลื่อนมือของตนเองเข้าไปใกล้ริมฝีปากของเขาอย่างระมัดระวัง ก่อนไปหยุดลงตรงใกล้ใบหูผ่านไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าเขายังไม่มีทีท่าว่าจะขัดขืนอะไร อวี่ฉีจึงถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วอดไม่ได้ที่จะมองเขาด้วยรอยยิ้ม

แต่ใครจะรู้ว่าเธอเพิ่งจะยิ้มออกมา ภาพเบื้องหน้าก็พลันมืดลง รู้สึกตัวอีกทีก็พบว่าหัวของตัวเองถูกฉีอวิ๋นเยี่ยนกดไว้ในอ้อมอก สถานการณ์ที่เกิดขึ้นพัฒนาไปอย่างรวดเร็วจนขนาดเธอเองยังตกใจ นานทีเดียวกว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอ “จื่อเซิ่น?” เพราะทั้งปากและจมูกต่างถูกฝังกับแผ่นอก เสียงของเธอจึงฟังดูอู้อี้

ฉีอวิ๋นเยี่ยนหัวเราะเบา ๆ แล้วกระชับแขนโอบกอดเธอไว้

อวี่ฉีรู้สึกงุนงงไปหมด พอคิดจะยกศีรษะขึ้นเพื่อดูสีหน้าของเขาก็ถูกกดหลังศีรษะเอาไว้ ก่อนจะได้ยินเสียงเจ้าของอ้อมแขนจากด้านบน ความแหบพร่านั้นแฝงไว้ด้วยความอ่อนโยน “ในเมื่อพระองค์ทรงกลับมาแล้ว ก็ให้กระหม่อมได้ทดลองดูหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เอ่ยจบ เขาก็ค่อย ๆ หลับตาลง และกล่าวเสียงต่ำว่า “ทดลองดูว่าหากไม่หลบเลี่ยงแล้ว พวกเราจะสามารถค้นพบที่พักพิงที่ต่างออกไปหรือไม่”

เธอพิงอยู่ในอ้อมกอดเจือกลิ่นเลือดจาง ๆ แม้ในใจจะยังสับสน แต่ก็ยังคงยื่นมืออกไปกอดตอบอีกฝ่าย

หลังลอดผ่านทางเดินที่เธอทำเครื่องหมายไว้จนลัดเลาะเส้นทางแคบ ๆ ไปถึงตีนเขา ดวงตะวันของวันใหม่ก็ปรากฏตรงขอบฟ้าพอดี

พวกเธอเดินเท้าไปบนถนนที่ทอดไกลได้ระยะหนึ่ง จนในที่สุดก็ได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มพ่อค้า ถึงพวกเธอจะดูน่าสงสัยที่สุดเพราะสวมเพียงเสื้อตัวในเพื่อปกปิดฐานะ แต่พ่อค้าเห็นแก่ผลประโยชน์ แค่ป้ายหยกอันเดียวก็ตกลงพาพวกเธอไปยังเมืองหลวงแล้ว

พอมาถึงเมืองหลวง คนของตงฉ่างไม่รู้ว่าได้รับข่าวมาจากไหน ไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็รีบร้อนมาหาและคุ้มกันคนทั้งคู่กลับวังหลวงอย่างปลอดภัย

หนึ่งปีให้หลัง องค์หญิงรุ่ยอันกับราชบุตรเขยได้ให้กำเนิดบุตรชายคนหนึ่ง และได้รับการสืบทอดราชบัลลังก์จากฮ่องเต้หญิง แต่งตั้งให้เป็นองค์รัชทายาท

เจ็ดปีต่อมา ฮ่องเต้หญิงสละราชบัลลังก์ให้องค์รัชทายาท แต่งตั้งหัวหน้าหวังโส่วฝู่เป็นฝู่จั่ว[5] พระองค์ลงจากอำนาจด้วยตนเอง และได้กลายเป็นไท่ซ่างหวง[6] พระองค์แรกในประวัติศาสตร์ของต้าอวี้

 

 

ฉีอวิ๋นเยี่ยน

จบ