แอนเซล
1
พริบตาที่ลืมตาตื่น สิ่งแรกที่อวี่ฉีรู้สึกได้คือความเจ็บปวดที่แล่นผ่านไปทั่วทั้งร่าง ดั่งเปลวไฟคุกรุ่นกำลังแผดเผาเธอไปทุกรูขุมขน
ทั้งที่มีเพียงแสงตะวันอ่อน ๆ ส่องสะท้อนเข้ามาในกระบอกตา แต่กลับเจ็บปวดรวดร้าวราวกับถูกทิ่มแทง ถึงแม้ว่าเธอจะทนไหว แต่ความรู้สึกรวดร้าวที่เหมือนกระจกตาถูกกัดกร่อนแบบนี้ ก็ทำให้เธอเลือกที่จะหลับตาลง และปล่อยให้แข้งขาทั้งสองอ่อนยวบคุกเข่าไปกับพื้น
แสงอาทิตย์ที่เคยอบอุ่นในวันวาน ยามอาบไล้บนเรือนร่างของเธอในเวลานี้ กลับนำพาให้ปวดร้าวคล้ายกับถูกเข็มเงินทิ่มแทงไม่มีผิด เสียง ‘หึ่งๆ’ น่ารำคาญดังอยู่ในหูทั้งสองข้าง ผสานกับเสียง ‘ซู่ๆ’ ของผิวหนังที่ถูกแผดเผา
อวี่ฉีข่มความเจ็บปวดสุดชีวิต ก่อนกัดฟันลุกขึ้น ตอนนี้เธอไม่มีเวลามาคิดทบทวนข้อมูลอะไรในสมองทั้งนั้น! หญิงสาวรีบฉีกชายกระโปรงยาวสีครีมบนร่างดัง ‘แคว่ก’ อย่างไม่ลังเล แล้วรีบวิ่งไปยังเนินเขาเตี้ยอีกฝั่งที่แสงอาทิตย์ส่องไม่ถึง
วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว จู่ๆ เสียงลมพัด ‘ฟิ้ว’ ก็ดังแว่วมาจากด้านหลัง ตามด้วยสัมผัสจากลมหายใจเย็นยะเยือกชวนขนหัวลุกที่วูบผ่านท้ายทอยเปิดโล่ง อวี่ฉีหันขวับกลับไปมองทันควัน กลับเห็นเพียงเงาสีดำเลือนรางเงาหนึ่งเท่านั้น
ทว่ายังไม่ทันเห็นชัดว่าสิ่งนั้นคืออะไร ความเจ็บปวดก็แล่นขึ้นมาตรงช่วงท้องและบั้นเอวเสียก่อน เรี่ยวแรงมหาศาลอัดร่างของอวี่ฉีจนลอยเหนือพื้น ก่อนร่วงลงมากระแทกเนินเตี้ยลูกนั้นเข้าอย่างจัง
อวี่ฉีกระอักเลือดออกมาคำหนึ่ง เธอพยายามฝืนตัวลุกขึ้น ทว่ายังไม่ทันทรงตัวอย่างมั่นคง กลับมีเงาคนพุ่งเข้ามาจับตัวเธอกดลงไปกับพื้นด้วยความไวแสง ท้ายทอยกระแทกพื้นอย่างแรงจนภาพตรงหน้าดำมืดไปวูบหนึ่ง จากนั้นในสายตาของเธอก็มองเห็นเพียงความมืดมิดและแสงสีทองสุกสกาวเท่านั้น
นี่ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่เธอไม่ทันตั้งตัวที่สุดตั้งแต่เริ่มทำงานมา อวี่ฉีไม่รู้จะทำอย่างไร จึงได้แต่รอให้คลายจากอาการมึนงง และเมื่อลืมตาขึ้นอีกครั้ง สิ่งแรกที่เธอเห็นคือใบหน้าที่ล้อมกรอบด้วยเรือนผมสีทองอ่อน ถึงแม้จะซีดเซียว แต่กลับหล่อเหลาเกินพรรณนา โครงหน้าเข้มคมสัน คิ้ว ตา จมูก ปาก ดูลงตัวเกินจริงราวกับหลุดออกมาจากภาพวาดสีน้ำมันของเชื้อพระวงศ์ในยุคกลางของยุโรป สิ่งที่ทำให้เธอประทับใจคือดวงตาคู่นั้น รูม่านตาของอีกฝ่ายมีสีแดงสด ทั้งยังเปล่งประกายเย็นยะเยียบเสียจนทำให้เธอหวาดกลัวได้เลยทีเดียว คล้ายซุกซ่อนความบ้าคลั่งที่เจือไอความชั่วร้ายไว้ภายใน ขณะที่สายตาของเขาเคลื่อนผ่านหน้าเธอ อวี่ฉีก็รู้สึกเหมือนร่างกายตัวเองกำลังถูกชโลมด้วยเมือกลื่นจากพิษงูจนสั่นสะท้านไปถึงส่วนลึกของจิตวิญญาณ
ถึงกระนั้นอวี่ฉีก็สบมองเขาเงียบๆ โดยไม่พูดอะไร สมองเร่งเค้นข้อมูลเพื่อมาอธิบายสถานการณ์ ณ ปัจจุบันให้เร็วที่สุด
แต่ทันใดนั้นเอง อีกฝ่ายกลับปล่อยมือที่กุมคอเสื้อเธอลงไม่ต่างกับทิ้งขยะชิ้นหนึ่ง จากนั้นถอยไปด้านหลังสองก้าวแล้วหยุดอยู่เบื้องหน้าเธอ เขาก้มลงปัดอกและขอบแขนเสื้อด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่รีบร้อน ก่อนเอ่ยถามด้วยเสียงแหบพร่าเย็นชาโดยไม่คิดแม้แต่จะชำเลืองตามองเธอด้วยซ้ำ “วิ่งโร่ไปหาแสงอาทิตย์ราวกับคนสติฟั่นเฟือน เจ้าคิดรนหาที่ตายอยู่งั้นหรือ”
ปกคอเสื้อสีแดงหม่นที่ตัดเย็บเป็นทรงสูงไล่จากด้านหลังลงมา ช่วยขับเน้นให้ลำคอของอีกฝ่ายดูเรียวยาวและขาวซีดมากยิ่งขึ้น ชายหนุ่มตรงหน้าเธออยู่ในชุดเสื้อคลุมกำมะหยี่ขนาดพอดีตัวที่ดูหรูหราทรงภูมิ ท่อนบนของเสื้อเข้ารูปจนถึงช่วงเอวสอบ ก่อนทิ้งตัวแผ่กว้างออกไปราวกับค้างคาวยักษ์สยายปีก คอปกและขอบแขนเสื้อถูกประดับตกแต่งอย่างวิจิตร ดูซับซ้อน งดงามตรึงตรา แม้จะมองเห็นได้เลือนรางในแสงมืดสลัวก็ตามที
ในที่สุดอวี่ฉีก็รู้ถึงสถานะของชายตรงหน้าจากข้อมูลในสมองเสียที เขาคือผู้นำราชวงศ์แลงแคสเตอร์และเป็นหนึ่งในแวมไพร์รุ่นที่สามไม่กี่ตนที่หลงเหลืออยู่บนโลกใบนี้ ทั้งยังเป็นบอสใหญ่ที่สุดของนิยายเรื่องนี้อีกด้วย
ถึงแม้นิยายต้นฉบับจะบรรยายเกี่ยวกับตัวเขาเอาไว้น้อยมาก แต่ก็เพียงพอทำให้อวี่ฉีคาดเดาเรื่องราวได้ เช่นตัวเขาเป็นดยุก พ่วงตำแหน่งผู้นำตระกูลเก่าแก่ ซึ่งปกติแล้วควรจะต้องปฏิบัติตนตามธรรมเนียมและกฎระเบียบอย่างเคร่งครัด มีความเที่ยงธรรมไม่เห็นแก่ส่วนตัว แต่ชายคนนี้กลับไม่สนใจกฎเกณฑ์ที่ว่า นึกชอบสิ่งใดก็ทำตามอำเภอใจ ยามบ้าคลั่งก็ทำตัวโหดเหี้ยมร้ายกาจ ยามสงบก็ปล่อยตัวเกียจคร้าน นิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายเอาแน่เอานอนไม่ได้ราวกับเป็นโรคประสาท
ส่วนสถานะของอวี่ฉีในครั้งนี้คือเด็กสาวชาวตะวันออกที่ถูกชาวบ้านท้องถิ่นจับมาเป็นเครื่องเซ่นสังเวยแด่เหล่าแวมไพร์ ณ เวลานี้เหล่าคนอพยพจากตะวันออกยังไม่ได้ย้ายไปตั้งรกรากอยู่ที่ต่าง ๆ ของโลก ดังนั้นผ้าไหมและเครื่องเทศจากทางตะวันออกจึงมีค่ายิ่งกว่าทองคำ
สำหรับที่นี่ ชาวตะวันออกที่มีเรือนผมและดวงตาสีดำนั้นนับว่าหาดูได้ยาก ประกอบกับร่างกายนี้เป็นสาวงาม ชายที่มีสถานะเป็นถึงดยุกผู้นี้จึงยอมลดตัวมอบรอยกัดแรกที่คอของเธอด้วยตนเอง
ทว่าเจ้าของร่างมีฐานะเป็นเพียงเด็กสาวธรรมดาทั่วไป จึงไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เรียกว่าเกียรติยศของแวมไพร์นี้เลยสักนิด สิ่งแรกที่เธอทำหลังจากฟื้นคือวิ่งหนีไม่คิดชีวิต ต่อให้ถูกแสงอาทิตย์แผดเผาก็ไม่กล้าหยุดฝีเท้า และช่วงเวลานั้นเองที่อวี่ฉีเข้ามายังนิยายเรื่องนี้และรับช่วงต่อร่างกายเธอพอดิบพอดี
พูดอีกอย่างก็คือเธอต้องมารับช่วงต่อระหว่างที่ตกอยู่ในสถานการณ์ยุ่งเหยิงพอดี เดิมทีแค่ต้องพิชิตใจแวมไพร์ก็ยากพออยู่แล้ว แต่ยังต้องมาเจอจุดเริ่มต้นที่ทุลักทุเลแบบนี้อีก นี่มันจะโชคร้ายเกินไปแล้วนะ
อวี่ฉีจำต้องคิดวิธีขจัดไฟโทสะที่กำลังคุกรุ่นของดยุกแวมไพร์ผู้นี้ให้ได้ ไม่อย่างนั้นตัวเธอต้องโดนลงโทษอย่างโหดเหี้ยมทารุณแน่ ในฐานะที่ชายคนนี้คือลาสต์บอส เขาย่อมไม่ใช่คนใจกว้างที่ยอมอภัยให้แก่คนต่อต้านเขาง่าย ๆ อย่างแน่นอน
ขณะที่ในหัวของเธอสาละวนอยู่แต่เรื่องคิดหาทางออก อีกฝ่ายกลับค่อย ๆ เคลื่อนตัวเข้ามาใกล้ ชายเสื้อสีดำสนิทเบื้องหลังพลิ้วไหว ขอบแขนเสื้อกำมะหยี่สีทองทอประกายอ่อนจาง เขาขยับเพียงสองก้าวมาหยุดเบื้องหน้าเธอ แล้วยื่นมือขวาเข้าไปบีบแก้มอย่างไม่ใส่ใจ ราวกับร่างใต้ถุงมือสีขาวคือของเล่นราคาถูกชิ้นหนึ่งที่เขาไม่จำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกใด ๆ ทั้งนั้น
“เหตุใดเจ้าจึงต้องหนี” เสียงทุ้มต่ำติดแหบพร่าลากเสียงเป็นจังหวะทีละคำอย่างเนิบช้า เขาค่อย ๆ ใช้หลังมือลูบพวงแก้มที่เย็นจัดและนุ่มมือของเธอไปด้วยสีหน้าเกียจคร้าน ก่อนจะพูดต่อด้วยเสียงนุ่มนวลรื่นหู “ชีวิตแสนสั้นอันน่าเบื่อของเจ้าจบสิ้นลงแล้ว ชีวิตใหม่ที่เป็นอมตะถูกวางอยู่ตรงหน้า เจ้าไม่จำเป็นต้องทุกข์ทรมานจากการเผชิญหน้ากับความตายอีกต่อไป ไม่ชอบหรือ”
แวมไพร์หนุ่มค่อย ๆ โน้มใบหน้าเข้าใกล้จนเฉียดข้างแก้มของเธอ เสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาที่ลอดผ่านเข้ามาในหูของเธอนั้นนุ่มนวลเกินจริงราวกำลังกล่าวคำหวานกับคนรัก “ท่ามกลางทางเดินอันมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดนี้ ข้าจะเดินนำทางอยู่เบื้องหน้าเจ้า เจ้าจะสามารถใช้ชีวิตอมตะได้อย่างรื่นเริง และจะได้ดำรงตำแหน่งที่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงเจ้าได้” เขาเว้นจังหวะพร้อมหรี่ตาลง แล้วกล่าวเสริมว่า “ขอแค่เจ้าเชื่อฟังคำพูดของข้า”
น้ำเสียงและการแสดงออกของเขาดูอ้อยอิ่งอ่อนโยนราวคนรัก ทว่าเบื้องหลังเสียงนุ่มนวลแผ่วเบานี้กลับไม่อาจปิดบังรังสีอำมหิตที่ชวนหนาวสะท้านได้ อวี่ฉีรู้สึกว่ายิ่งเขากล่าวด้วยเสียงอ่อนหวานมากเท่าไร กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากร่างของอีกฝ่ายก็ยิ่งเย็นยะเยียบมากขึ้นเท่านั้น
ดยุกหนุ่มย่อกายลงช้า ๆ แล้วดึงเธอเข้าไปในอ้อมกอด ปัดผ่านปลายจมูกเฉียดพวงแก้มเย็นของหญิงสาวอย่างผะแผ่ว ก่อนจะเลื่อนไปยังต้นคอบอบบาง “แต่น่าเสียดาย เจ้ากลับทำให้ข้าผิดหวังได้ถึงเพียงนี้…”
ฟันขาวแหลมคมของอีกฝ่ายสัมผัสเบา ๆ บริเวณหลอดลมตรงลำคอของเธอ ค่อย ๆ ลากไล้ไปมาจนอวี่ฉีรู้สึกได้ถึงความเย็นยะเยือกที่พุ่งวาบขึ้นมาตามไขสันหลัง
เสี้ยววินาทีที่เธอสัมผัสได้ถึงอันตรายอันแรงกล้า หญิงสาวรีบผละตัวออกไปอย่างว่องไว หลบฟันเย็นเฉียบของเขาได้อย่างฉิวเฉียด แล้วก้มหัวลงแสดงท่าทางเคารพนบน้อมให้มากที่สุด เปลือกตาหลุบลงชิงเอ่ยก่อนที่อีกฝ่ายจะทันเปิดปากอย่างรู้งานว่า “ได้โปรดยกโทษให้กับความผิดพลาดอันโง่เขลาของข้าด้วย” เธอเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะกดเสียงลงแล้วกล่าวประโยคปิดท้ายโดยยึดตามกฎของแวมไพร์ว่า “ท่านพ่อ”
ฟันขาวแหลมคมที่กำลังจะงับลงพลันชะงักไปชั่วขณะ ก่อนจะค่อย ๆ ถอนคมเขี้ยวกลับมา ดยุกแวมไพร์หรี่ตาลงราวกับครุ่นคิดบางสิ่ง พร้อมกับมองประเมินเด็กสาวที่หน้าตาสะสวยตามมาตรฐานชาวตะวันออก เธอกำลังหลุบตาต่ำ ผมดำขลับนุ่มลื่นสยายลงมาราวกับแพรไหมชั้นดี แพขนตายาวสีดำสั่นระริก ท่าทีอ่อนน้อมเชื่อฟัง แต่ก็แฝงไปด้วยความขลาดกลัว
ก่อนหน้านี้ไม่นานคนผู้นี้ยังหนีอย่างไม่คิดชีวิต มายามนี้กลับเรียกตนว่าพ่อด้วยท่าทางนอบน้อมเชื่อฟัง เขาไม่มีวันเชื่อว่าหญิงสาวคนนี้แสดงความเคารพอย่างนุ่มนวลจากใจจริงแน่นอน แต่การที่อีกฝ่ายยังตั้งสติหลบเลี่ยงเขาได้ ทั้งยังกล่าวเอาใจได้อย่างไร้ที่ติเช่นนี้ นับว่าเหนือความคาดหมายอยู่ไม่น้อย
ดยุกหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น ก่อนยื่นมือมาแล้วใช้ปลายนิ้วเย็นเฉียบม้วนผมสีดำที่คลอเคลียหัวไหล่ของเธอเล่น จงใจเอ่ยขึ้นลอย ๆ “แต่เจ้าทำให้ข้าเสียใจมาก” แม้จะพูดแบบนั้น แต่น้ำเสียงของเขากลับไม่มีร่องรอยของความเสียใจเลยสักนิด ออกจะรื่นรมย์ราวกับสนุกที่ได้หยอกเย้าเหยื่อเสียด้วยซ้ำ “ข้าไม่อยากให้อภัยเจ้าเลยแม้แต่น้อย เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไรดีเล่า”
—————————————-