ตอนที่ 14.2 (เล่มสาม)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

แอนเซล

2

อวี่ฉีตามไม่ทันไปชั่วขณะ เดิมทีที่เธองัดกลยุทธ์รับมือแบบนี้ออกมาใช้เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก ทว่าระหว่างที่เธอกำลังตีเนียนเล่นตามน้ำไปกับบทของเขาอยู่ดี ๆ คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะเปลี่ยนท่าทีปุบปับ ในเมื่อเขาจงใจสร้างความลำบากใจให้เธอจนไม่เหลือทางหนี อวี่ฉีเลยจำต้องยอมถอยหลังหนึ่งก้าว รักษาชีวิตตัวเองไว้ก่อน เพื่อที่จะก้าวกระโดดได้ไกลมากยิ่งขึ้นในวันข้างหน้า “สุดแล้วแต่ท่านพ่อจะกรุณา…”

ครั้นเมื่อเขาเห็นเธอตอบรับโดยปราศจากท่าทีขัดขืนใด ๆ ราวกับจำนนต่อโชคชะตา ดยุกหนุ่มก็ปล่อยเส้นผมที่ม้วนพันตรงปลายนิ้วลงอย่างผิดหวัง ยืดตัวขึ้นช้า ๆ แล้วใช้ปลายนิ้วไล่ตามรอยยับของแขนเสื้อ พร้อมเอ่ยด้วยท่าทีคล้ายไม่ใส่ใจ “เห็นแก่ที่เป็นความผิดครั้งแรก ข้าจะมอบสิทธิ์ในการตัดสินใจให้แก่เจ้า”

อวี่ฉีตกตะลึง พลันเงยหน้าขึ้นมองอีกฝ่ายโดยอัตโนมัติ

ดูเหมือนว่าปฏิกิริยาของเธอจะค่อนข้างน่าขันสำหรับเขาไม่น้อย ชายหนุ่มจึงยกยิ้มมุมปากอย่างอารมณ์ดี พลางเอื้อมมือมาเชยคางด้วยท่าทางสบาย ๆ ไม่รีบร้อน แล้วจับจ้องมองเธอด้วยรอยยิ้มที่คล้ายไม่ยิ้มเสียทีเดียว “เจ้าคิดว่าข้าควรลงทัณฑ์เจ้าอย่างไรดี หืม?”

เนื่องจากคางถูกตรึงไว้ ทำให้อวี่ฉีจำต้องจ้องเข้าไปในดวงตาคนตรงหน้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดวงตาสีแดงคู่นั้นของชายหนุ่มมีประกายความตื่นเต้นวูบผ่าน ชวนให้คนมองรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวอย่างไร้สาเหตุ เขาหรี่ตาลงแล้วพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเชื่องช้า อ่อนโยนดั่งสัมผัสของปอยขนหงส์ล้ำค่า ทว่ากลับแฝงไปด้วยเจตนาชั่วร้ายอย่างไม่คิดปิดบังใด ๆ “จำเอาไว้ เจ้าเหลือโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว หากคำตอบของเจ้าไม่อาจทำให้ข้าพอใจได้” ดยุกแวมไพร์ค่อย ๆ กระตุกยิ้มมุมปากขึ้นมา “เช่นนั้น…” รอยยิ้มของอีกฝ่ายเย้ายวนเกินพรรณนา ไม่ต่างกับดอกฝิ่นที่มอมเมาผู้คน ภายในความอ่อนหวานนั้นมีเพียงความเน่าเฟะและภยันตรายแฝงอยู่ “ก็จงตายไปซะ” 

เล่นแนะนำกันแบบนี้ก็เหมือนจะเป็นประโยชน์อยู่หรอก แต่ความจริงแล้วนี่ไม่ต่างอะไรกับการปิดประตูทางออกใส่หน้าเธอ เห็นได้ชัดว่าถึงเธอจะตอบอย่างไร เขาก็ไม่มีทางบอกว่าพอใจอย่างแน่นอน ชายคนนี้เพียงแค่อยากมองเห็นเธอดิ้นรนทุรนทุรายเพื่อเอาชีวิตรอดทุกวิถีทาง ก่อนจะดับความหวังเพื่อสร้างความเพลิดเพลินให้กับตนเองก็เท่านั้น

แต่ในเมื่ออยากเห็นเธอดิ้นรนนัก เธอก็พร้อมจะแสดงให้ดู พนักงานดีเด่นที่แท้จริงต้องจดจำอยู่เสมอว่างานย่อมมาก่อนความชอบส่วนตัว เธอจึงไม่เคยต้องฝืนตัวเองเพื่อแสดงละครเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรคเลย เพราะตั้งแต่ที่เลือกทำอาชีพนี้ อวี่ฉีก็ตระหนักดีว่าเธอต้องเสียสละตนเองเพื่อสร้างความบันเทิงให้เหล่าบอสตัวร้ายอยู่แล้ว

อวี่ฉีไม่รู้ว่าตัวเองควรจะดีใจหรือเสียใจกันแน่ ที่ความโชคร้ายและความทุกข์ยากของเธอดันไปจุดประกายความสุขในตัวอีกฝ่ายได้ แถมดูเหมือนเขาจะสนุกกับเกมนี้มาก ภายในดวงตาสีแดงหม่นที่กำลังจับจ้องเธอคู่นั้นถึงได้มีประกายความรื่นรมย์วูบผ่าน

แสงบริเวณรอบตัวเริ่มส่องสว่างมากขึ้นอย่างช้า ๆ ร่มเงาที่แต่เดิมไม่ใหญ่อยู่แล้วเริ่มหดเล็กลงตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่ทราบ ดยุกแวมไพร์เงยหน้าขึ้นมองหมู่เมฆลอยต่ำที่กำลังกระจายตัว ก่อนจะหรี่ตาลงช้า ๆ “ทางที่ดีเจ้าควรคิดหาวิธีทำให้ข้าพึงพอใจก่อนที่เมฆจะเคลื่อนตัวออกไปดีกว่า” เขาเว้นจังหวะ ก่อนเอ่ยต่อ “หากทำไม่ได้” รอยยิ้มงดงามถูกคลี่ออก ในนั้นเจือไปด้วยความอำมหิตอย่างชัดแจ้ง “งั้นก็กลายเป็นขี้เถ้าภายใต้แสงอาทิตย์ไปซะ”

เมื่ออวี่ฉีได้ยินดังนั้นก็ตีสีหน้ากระวนกระวายออกมาได้ในจังหวะที่เหมาะสม ขณะเดียวกันเธอก็เตรียมตัวเตรียมใจจะลองเสี่ยงดูสักตั้งเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเช่นกัน

แสงอาทิตย์ส่องทะลุชั้นเมฆหนาทึบสาดไปทั่วทุกอาณาบริเวณอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งเส้นตัดระหว่างแสงกับเงาค่อย ๆ คืบคลานเข้ามาใกล้คนทั้งคู่

ชายหนุ่มยกมือลูบเรือนผมสีดำของเธอด้วยท่าทางเสียดายเป็นที่สุด ก่อนจะตบเบา ๆ คล้ายปลอบใจ พร้อมกับนับเลขถอยหลังด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแผ่วเบาราวกับกระซิบ

“สาม…”

“สอง…” 

ขนาดแค่ท้องฟ้าขมุกขมัวไร้แสงตะวันก่อนหน้านี้ อวี่ฉียังรู้สึกเจ็บปวดราวถูกแผดเผาจนแทบทนไม่ไหว เธอจึงไม่แน่ใจว่าหากโดนแสงอาทิตย์ร้อนระอุตรง ๆ จะเป็นอันตรายต่อคนที่ถูกแวมไพร์กัดคอไปแล้วถึงขั้นไหน แต่เดาได้เลยว่ามันต้องไม่ด้อยไปกว่าการถูกโยนไปในลาวาร้อนจัดอย่างแน่นอน

ทั้งๆ ที่รู้ว่าความทุกข์ทรมานแสนสาหัสกำลังรออยู่ตรงหน้า แต่ความรู้สึกอัดอั้นต่อความไร้พลังของตัวเองก็ทำให้อวี่ฉีอดขมวดคิ้วทั้งสองขึ้นมาไม่ได้

“หนึ่ง”

จังหวะที่นับถอยหลังจบ เขาก็มองสีหน้าของเธอพร้อมส่งรอยยิ้มอย่างพึงพอใจที่สุดไปให้ “ลาก่อนชั่วนิรันดร์ ที่รัก”

สิ้นคำ เงาร่างของเขาก็หายวับไปต่อหน้าต่อตาเธอ

อวี่ฉีอึ้งงัน คิดไม่ถึงว่าเขาจะจากไปแล้วทิ้งเธอไว้ตามที่บอกจริง ๆ เพราะนับตั้งแต่โดนเขากัดคอครั้งแรก เธอก็ถือเป็นผู้สืบทอดของเขาไปแล้ว ในหมู่แวมไพร์ ความสัมพันธ์อันใกล้ชิดนี้เทียบเคียงความสัมพันธ์ระหว่างคนรัก จึงแทบไม่มีแวมไพร์ตนไหนเมินเฉยความเป็นความตายของผู้สืบทอดได้ลง

แต่เป้าหมายของเธอคราวนี้กลับต่างไป เขาหยอกเย้าเธอเสร็จก็จากไปเพียงลำพัง แม้จะรู้ว่าอีกฝ่ายมีนิสัยเอาแต่ใจ แต่เธอก็ไม่คิดว่าเขาจะไม่ไยดีเธอถึงขนาดนี้

แสงอาทิตย์เจิดจ้าทะลุชั้นเมฆที่ขวางกั้น สาดส่องอยู่เหนือศีรษะของเธออย่างไร้ปรานี

ถึงแม้สถานการณ์จะผิดพลาด ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ก็ตาม แต่เธอจะไม่มีวันยอมนั่งเฉย ๆ รอความตายอยู่แบบนี้แน่!  

อวี่ฉีพลันกลั้นใจฝืนลุกขึ้นวิ่งไปตามทิศทางที่อีกฝ่ายจากไปให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ตอนนี้ความรู้สึกเจ็บปวดจากแสงแดดจะมากกว่าตอนเพิ่งมาถึงโลกนี้เป็นทบเท่าพันทวีก็ตาม

บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ในช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ความสามารถที่ซ่อนเร้นในตัวถึงพรั่งพรูออกมาทั้งหมด พริบตานั้น จู่ ๆ อวี่ฉีก็เริ่มเรียนรู้ที่จะใช้พลังของแวมไพร์ได้ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยมีใครสั่งสอน เธอสับขาวิ่งตามดยุกแวมไพร์ไปทางปราสาทที่อยู่ห่างไกลออกไปด้วยความเร็วเหนือมนุษย์มนา

เสียงลมแหวกอากาศด้วยความเร็วสูงดังหวีดแหลม ทัศนียภาพรอบด้านเคลื่อนผ่านตัวเธออย่างรวดเร็วเกินกว่าจะอธิบายด้วยเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ได้ อวี่ฉีกัดฟันข่มความเจ็บปวดที่ผุดขึ้นแทบทุกอณูผิว เค้นแรงทั้งหมดเพื่อไล่ตามอีกฝ่ายให้ทันจงได้ แต่ไม่ว่าอย่างไรระยะห่างระหว่างเธอกับเขากลับห่างกันมากขึ้นทุกที เห็นได้ชัดว่าพละกำลังระหว่างแวมไพร์แรกเกิดที่เพิ่งถูกกัดมาหมาด ๆ กับแวมไพร์รุ่นที่สามซึ่งมีชีวิตมาหลายพันปีนั้นต่างกันราวฟ้ากับเหว ดยุกแวมไพร์ผู้นั้นสามารถหายวับไปและปรากฏตัวห่างจากจุดเดิมหลายสิบเมตรได้ในเสี้ยววินาที ในขณะที่เธอพุ่งตัวออกจากจุดเดิมได้ครั้งละไม่กี่เมตรเท่านั้น

รู้ทั้งรู้ว่าเธอไล่ตามมาอยู่ แต่กลับไม่คิดจะช่วยเลยสักนิด เพียงแค่หันมามองเธอแวบหนึ่งด้วยท่าทางสบายอกสบายใจเป็นครั้งคราว แถมยังมิวายกระตุกมุมปากยิ้มเยาะใส่เธอด้วยซ้ำ

การอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์เป็นเวลานานอาจทำให้แวมไพร์เกิดใหม่ที่ยังอ่อนแอเสียชีวิตได้ เดิมทีร่างกายนี้ก็ไม่ได้มีพละกำลังมากอยู่แล้ว เมื่อใช้เรี่ยวแรงจนหมด อวี่ฉีก็รู้สึกได้ว่าผิวหนังของตัวเองกำลังแข็งเป็นไตขึ้นช้า ๆ อีกไม่นานคงสลายกลายเป็นขี้เถ้าตามที่เขาบอกไว้อย่างแน่นอน

วินาทีที่เธอกำลังจะหมดสติ ก็พลันมีชายเสื้อสีดำสนิทวูบผ่านหน้าไปอย่างรวดเร็ว เสื้อด้านหลังของเธอถูกกระชากอย่างไม่คิดทะนุถนอม ร่างที่ควรจะล้มลงกระแทกพื้นกลับถูกใครบางคนจับไว้ ก่อนพุ่งตัวพาไปยังปราสาทด้วยความเร็วสูงสุด

อวี่ฉีในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับหมาแมวตัวน้อยที่ถูกอีกฝ่ายหิ้วอยู่ในมือ ท่ามกลางสายตาอันพร่าเลือน เธอเห็นชายเสื้อที่สะบัดพลิ้วขึ้นลงดั่งเมฆสีดำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

หลังจากที่ฟื้นขึ้นมา ผิวหนังเกรียมแดดของเธอยังคงปวดแสบปวดร้อนอยู่จาง ๆ แต่ความมืดมิดอันหนาวเย็นรอบกายนั้นช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดทรมานได้เป็นอย่างดี เธอจึงพอจะคลายกังวลได้บ้างแล้ว

อวี่ฉีกวาดตามองรอบ ๆ เพื่อประเมินสถานการณ์ ก็พบว่าตนเองกำลังนอนอยู่ในโลงสีดำสนิท ฝาโลงหนักอึ้งที่ทำขึ้นอย่างประณีตถูกเปิดออกส่วนหนึ่ง ทำให้แสงเทียนสลัวที่วูบไหวด้านนอกส่องเข้ามาทาบทับ แต่งแต้มให้ความเงียบสงัดนี้มีบรรยากาศลึกลับน่าค้นหาเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

เธอยันร่างที่ยังมีอาการเกร็งตัวอยู่ขึ้นมาจากโลงช้า ๆ สิ่งแรกที่ปรากฏสู่สายตาคือรองเท้าบูตหนังสีดำขลับซึ่งวางอยู่บนฝาโลงแกะสลักลวดลายสีทองทรงอำนาจ เมื่อไล่สายตาขึ้นไปก็เห็นว่ามีคนนั่งชันขาอยู่ตรงหน้าเธอ มือขวาของอีกฝ่ายวางอยู่บนหัวเข่าด้วยท่าทางสบาย ๆ บนนิ้วกลางที่ซีดขาวและเห็นข้อต่อชัดเจนนั้นสวมแหวนทับทิมขนาดมหึมาวงหนึ่งเอาไว้ด้วย

เมื่ออวี่ฉีเงยหน้าขึ้นก็เห็นดยุกแวมไพร์ผู้นั้นกำลังมองเธอด้วยสีหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ดวงตาสีแดงหม่นหรี่ลงสะท้อนแสงแวววับแข่งกับแหวนที่เจ้าตัวสวมอยู่บนนิ้ว ผมสีทองอ่อนถูกมัดด้วยเกลียวไหมหลวม ๆ ปล่อยให้ปลายผมคลอเคลียบริเวณไหล่ เมื่อรวมกันแล้วช่างงดงามและมีเสน่ห์เย้ายวนดึงดูดใจอย่างแท้จริง

เขากำลังชันเข่าข้างขวาค้ำอยู่บนฝาโลง ขาซ้ายปล่อยยืดตามอำเภอใจ ท่านั่งที่ค่อนข้างหยาบคายนี้กลับดูดีเมื่อเขาเป็นคนทำ ดูสง่างามราวกับผู้ดีที่แผ่พลังและอำนาจแม้จะไม่ปริปากพูดใด ๆ

เหมือนเขาจะอารมณ์ดีอยู่ไม่น้อย ถึงได้โน้มตัวลงมาหมุนเส้นผมสีดำบนบ่าเธอเล่นรอบปลายนิ้ว พลางใช้เสียงแผ่วเบาเอ่ยเป็นท่วงทำนองว่า “เจ้าหญิงผู้เลอโฉมหลับสนิทอย่างโดดเดี่ยวมากว่าร้อยปี เพื่อรอให้เจ้าชายมาจุมพิตริมฝีปากสีแดงดั่งกลีบดอกไม้” กล่าวจบก็หัวเราะเสียงต่ำออกมาเหมือนกับคนไม่อยู่กับร่องกับรอย นิ้วมือซีดขาวปัดผ่านข้างแก้มของเธอไล่ลงมายังลำคอนวลขาวบอบบาง “น่าเสียดาย ที่นี่ไม่มีเจ้าชาย มีก็แต่ปีศาจ…”

อวี่ฉีได้แต่หุบปากเงียบ เพราะไม่รู้จะต่อบทพูดที่เหมือนกำลังพูดกับตัวเองของเขาอย่างไรดี

ดูท่าดยุกแวมไพร์คงไม่พอใจที่เธอเอาแต่เงียบ จึงบีบมือที่กุมคอของเธอแน่นขึ้น “กระทั่งรอยยิ้มก็ยังไม่มี ไม่อยากมองหน้าข้าถึงเพียงนั้นเชียว?” เขาหรี่ตาลงอย่างคุกคาม “หรือเจ้ามีอะไรอยากจะพูดกับข้า หืม?”

หญิงสาวรีบฉีกยิ้มน้อย ๆ ออกมาทันที “ไม่ท่านพ่อ ท่านเข้าใจผิดแล้ว”

“ช่างเป็นรอยยิ้มที่งดงาม” ความขุ่นมัวในแววตาของแวมไพร์หนุ่มค่อย ๆ มลายหายไป เขาผ่อนแรงมือที่กุมลำคอลง ก่อนจะไล่นิ้วไปตามเส้นชีพจรของเธออย่างนุ่มนวลเบามือ แล้วเอ่ยกระซิบอย่างเนิบช้าว่า “จงจำเอาไว้ ไม่ว่าวันหน้าจะเป็นเช่นไร ไม่ว่าข้าจะทำสิ่งใด หรือทำอย่างไรกับเจ้า ข้าก็คือบิดาของเจ้า เป็นบรรพบุรุษของเจ้า และเป็นผู้มอบชีวิตใหม่แก่เจ้า เจ้าคือผู้ที่ข้ามอบชีวิตอมตะให้เองกับมือ เป็นผู้นำทางเจ้าไปสู่ชีวิตใหม่อันทรงเกียรติ ดังนั้นความหมายในการมีชีวิตอยู่ของเจ้าจึงมีเพียงสิ่งเดียว นั่นคือการทำตามความปรารถนาของข้าเท่านั้น”

 

————————————————————-