แอนเซล
3
อวี่ฉีเงียบไปชั่วครู่ก็หลุบตามองแหวนสีเลือดบนนิ้วของเขานิ่ง ๆ “ทราบแล้ว ท่านพ่อ”
เขาหัวเราะเสียงต่ำ ก่อนเอื้อมมือมาเชยคางของเธอขึ้น “ดีมาก ต้องแบบนี้สิ” สิ้นเสียงก็ใช้ท้องนิ้วครูดไปบนผิวแก้มเนียนเย็นเฉียบของเด็กสาวอย่างเบามือ “เจ้าต้องรักข้าและซื่อสัตย์กับข้าด้วยจิตวิญญาณทั้งหมดที่เจ้ามี”
ฉวี่ฉีได้ยินแบบนั้นก็อดที่จะนิ่งอึ้งไม่ได้ ตั้งแต่ทำภารกิจมา นี่ถือเป็นครั้งแรกที่เธอถูกเป้าหมายร้องขอแบบนี้ แต่มันก็ไม่ใช่อุปสรรคอะไร ไม่ว่าเธอจะเป็นฝ่ายรุกหรืออยู่นิ่ง ๆ ให้อีกฝ่ายมารุกเธอแทน ก็ต่างเอื้อประโยชน์ต่อการทำให้ภารกิจลุล่วงทั้งนั้น
“ข้าจะรักและซื่อสัตย์กับท่านด้วยจิตวิญญาณทั้งหมดที่ข้ามี”
ดยุกแวมไพร์ระบายยิ้มอย่างเชื่องช้า ภายในดวงตาสีแดงหม่นทอประกายวาววับเจิดจ้าเสียยิ่งกว่าแหวนทับทิมบนนิ้วมือของเขาเสียอีก พาให้คนมองรู้สึกหวั่นไหวขึ้นมา
“ว่าง่ายเชื่อฟังเช่นนี้ ข้าคงโกรธเจ้าไม่ลงเสียแล้ว” เขากล่าวอย่างทอดถอนใจ “แต่หากยกโทษให้เจ้าง่ายเกินไป เดี๋ยวเจ้าจะเหลิงเอาได้”
อวี่ฉีได้ยินถ้อยคำดังกล่าวก็พลันเข้าใจว่าคงหลีกเลี่ยงการถูกลงโทษไม่พ้นแล้ว ในหัวจึงอดรู้สึกปวดจี๊ดขึ้นมาไม่ได้ อย่าบอกนะว่าที่แล้ว ๆ มาเป็นแค่หยอกเล่นธรรมดา ๆ ไม่ใช่บทลงโทษ? งั้นบทลงโทษในสายตาเขามันเป็นแบบไหนกันแน่
แม้ว่าเธอจะไม่คิดมากที่ต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดเพื่อสำเร็จภารกิจ ทว่าหากต้องเสียสละอย่างเปล่าประโยชน์ เธอก็อยากหลีกเลี่ยงมัน
อวี่ฉีหยัดตัวตรงขึ้นมาเล็กน้อย “ท่านพ่อ โปรดยกโทษให้กับความไม่คิดหน้าคิดหลังของข้าด้วย ตอนนั้นข้าไม่ได้มีเจตนาต่อต้านท่านพ่อ ข้าแค่…”
คนที่ถูกเรียกว่าพ่อใช้นิ้วชี้ขาวซีดเย็นเฉียบดั่งหินอ่อนกดริมฝีปากบนของเด็กสาว ปิดผนึกคำอธิบายทั้งหมดของเธอไว้ “ชู่ว์…” เมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไรต่ออย่างรู้กาลเทศะ เขาจึงดึงมือกลับพร้อมใบหน้าเปื้อนยิ้ม “ความกลัวทำให้เจ้าคิดหนี”
ภายในพริบตาสั้น ๆ รอยยิ้มนั้นเผยให้เห็นถึงความอ่อนโยนราวกับภาพมายา อวี่ฉีชะงักก่อนจะพยักหน้าอย่างค่อนข้างลังเล
“แน่นอนว่าพวกเจ้าล้วนมีข้ออ้างเพื่อแก้ต่างความผิดที่ตัวเองก่อ ใช่ ล้วนมีเหตุผลมากมายเพื่อทำให้คนนึกเห็นใจ” ชายหนุ่มเลิกคิ้วขึ้น แสร้งทำท่าทางราวกับเสียดายเป็นที่สุด “แต่ในเมื่อมีคนกลั่นไวน์ผิดพลาดจนออกรสขมขนาดนี้ ก็ย่อมต้องมีผู้ชดใช้”
เขาไขว้ขาขวามาทับขาซ้ายโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ลำตัวที่เดิมก้มโน้มลงเหยียดตรงขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อเว้นระยะห่างจากเธอช่วงหนึ่ง พลางโค้งมุมปากขึ้นทีละน้อย “เจ้าเห็นด้วยหรือไม่ ที่รักของข้า”
อวี่ฉีเอนหลังพิงตัวอยู่ตรงขอบโลงที่ทั้งแข็งและเย็นเฉียบโดยไม่ตอบอะไร พลางช้อนตาขึ้นมองคนถาม “มีผู้คนมากมายที่ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อแลกกับรอยกัดครั้งแรกจากข้า แต่ผู้สืบทอดที่ข้าเลือกเองกับมืออย่างเจ้ากลับพยายามหลบหนี ทอดทิ้งข้าผู้มอบชีวิตที่เป็นอมตะให้แก่เจ้า” เขาหรี่ตามองเธออย่างคุกคาม “เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งที่เจ้าทำไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าข้าอย่างไร้ไมตรี”
อวี่ฉีส่ายศีรษะอย่างอ่อนแรง “ข้าขออภัย”
ดยุกแวมไพร์เลิกคิ้วก่อนจะลูบเรือนผมดำนุ่มของเธออย่างเบามือ “เจ้าหักหน้าข้าจนไม่มีชิ้นดีเลย เจ้าหญิงตัวน้อยของข้า แต่ต่อให้เจ้าทำร้ายหัวใจของข้าเช่นนี้ ข้าก็ยังคิดให้อภัยเจ้าอยู่ดี”
นิ้วมือเรียวยาวเย็นเฉียบสอดเข้าไปในเรือนผมยาวสีดำดั่งหมึกของเธอ กุมแนบท้ายทอย ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนขึ้นไปด้านบน ทว่าทันทีที่ไล่มือจนถึงเหนือศีรษะ เขาก็พลันชักมือกลับ ทำให้ผมดำเงาดั่งผ้าลื่นนั้นสะบัดพลิ้วสะท้อนแสงวูบวาบ สยายตัววาดโค้งอย่างสวยงามอยู่กลางอากาศ
เขาลอบอมยิ้ม มองภาพนี้อย่างชื่นชม ก่อนยกมือขึ้นมาดีดนิ้วครั้งหนึ่งด้วยท่าทางสง่างาม อวี่ฉีเงยหน้าขึ้นมองอย่างฉงน ก่อนจะเห็นประตูที่ซ่อนอยู่ในความมืดมิดเปิดออกช้า ๆ คนรับใช้หน้าตาหมดจดในชุดเนี้ยบกริบเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพวกเธอในชั่วพริบตา พร้อมเอี้ยวตัววางถาดไม้ในมือลงอย่างอ่อนน้อม
ภายใต้แสงเทียนวูบไหว แก้วไวน์สองใบสะท้อนแสงสลัวเยือกเย็น เป็นประกายตัดกับของเหลวในแก้ว ใบหนึ่งแดงฉานดั่งเลือด ส่วนอีกใบโปร่งใสไร้สีสัน
หลังจากคนรับใช้จากไปอย่างเงียบเชียบ ดยุกหนุ่มก็เลิกคิ้วพลางเอื้อมมือดันแก้วบรรจุน้ำสีใสไปตรงหน้าเธอ ในขณะที่ตัวเองใช้นิ้วกลางกับนิ้วชี้คีบแก้วไวน์ขึ้นมาเบา ๆ แล้วชูไปทางเธอด้วยท่าทางสุขุมนุ่มลึก เมื่ออีกฝ่ายส่งสัญญาณมาชัดเจนขนาดนี้ อวี่ฉีจึงได้แต่ยกแก้วไวน์ตรงหน้าขึ้นมาอย่างสองจิตสองใจ
“ชนแก้วแล้วดื่ม ข้าถึงจะยกโทษให้กับทุกเรื่องที่เจ้าทำผิด” เขาจ้องมองของเหลวสีแดงที่แกว่งไปมาในแก้วอย่างเกียจคร้าน มุมปากหยักยิ้มเย็นยะเยียบ
น้ำในแก้วนี้ต้องไม่ใช่น้ำธรรมดาแน่นอน ในสถานการณ์แบบนี้ สิ่งที่อยู่ในมือเธอคงไม่พ้นน้ำมนต์ซึ่งเต็มไปด้วยคำอวยพรศักดิ์สิทธิ์ แต่สำหรับเหล่าแวมไพร์ มันไม่ต่างอะไรกับพิษร้ายแรง
ทั้ง ๆ ที่เห็นว่าเธอเริ่มสีหน้าหม่นหมองลง ดยุกแวมไพร์กลับยังคงกระตุกยิ้มมุมปากอย่างชื่นบาน “ดูเหมือนว่าเจ้าหญิงน้อยของพวกเราจะรู้ว่าน้ำในแก้วคืออะไรสินะ” เขาเลิกคิ้วพลางเอ่ยทอดเสียงต่ำ “ไม่ต้องกลัว ความทรมานมันก็แค่พริบตาเดียวเท่านั้น หลังจากนี้เจ้าก็ยังคงเป็นผู้สืบทอดของข้าอยู่ดี เป็นลูกรักที่จะมารับตำแหน่งของข้าในอนาคต ข้าจะรักและทะนุถนอมเจ้ามากที่สุดเหมือนที่ผ่านมา”
อวี่ฉีตระหนักได้ทันทีว่าเธอไม่มีทางบ่ายเบี่ยงแล้ว จึงจำต้องยกแก้วไวน์ขึ้นจดริมฝีปากช้า ๆ อย่างยอมรับชะตากรรม…
แก้วไวน์แวววาวพลันตกกระทบพื้นดัง ‘เพล้ง’ พร้อมกับร่างกายของเด็กสาวผมดำที่ขดตัวเข้าหากันอย่างเจ็บปวดทรมาน
แวมไพร์หนุ่มยิ้มน้อย ๆ ก่อนวางแก้วไวน์ในมือลงอีกฟากหนึ่งด้วยท่าทางอ้อยอิ่ง แล้วยกมือลูบเหนือศีรษะของเธออย่างอ่อนโยน พลางเอ่ยเสียงแผ่วราวกับสงสารเห็นใจเธอ “ข้ายกโทษให้เจ้าแล้ว เด็กน้อยเอ๋ย”
เขาโค้งตัวลงมาช้า ๆ สวมกอดร่างของเธอที่กำลังเจ็บปวดจนสั่นเทิ้มแล้วลูบแผ่นหลังบอบบางของเธอเบา ๆ ก่อนเสียงแหบพร่าจะดังแว่วขึ้นมาราวกับกำลังถอนหายใจ “ข้าจะอภัยให้เจ้าเพียงหนเดียวเท่านั้น เจ้าจงรักษามันเอาไว้ให้ดี”
——————————————–
ถึงดยุกแห่งแลงแคสเตอร์จะมีตำแหน่งและอำนาจสูงส่งในบรรดาแวมไพร์ แต่เขากลับไม่รู้จักวิธีสอนสั่งหรือชี้นำใครเลยสักนิด
หลังจากที่คอยลอบสังเกตระหว่างอยู่ด้วยกันมาหลายวัน อวี่ฉีก็มองออกว่าเขาไม่ใช่คนที่มีน้ำอดน้ำทนสักเท่าไร หากไปขัดความตั้งใจของเขาเข้า นอกจากจะไม่ได้รับการสั่งสอนแบบดี ๆ จากเขาแล้ว อีกฝ่ายยังไม่คิดรับฟังเหตุผลหรือให้อภัยด้วย สิ่งเดียวที่จะได้รับคือบทลงโทษอันเลือดเย็นชวนให้สั่นสะท้านไปถึงจิตวิญญาณ มันเจ็บปวดทรมานเสียจนไม่ว่าใครก็ไม่กล้าต่อต้านเขาอีกเป็นครั้งที่สองอย่างแน่นอน
หากเทียบกับการชี้แนะของแวมไพร์อาวุโสคนอื่น พวกเขาจะให้ผู้สืบทอดติดตามอยู่ข้างกายและคอยสั่งสอนอย่างเต็มที่ตลอดสองสามปี แต่ท่านดยุกแวมไพร์ของเธอกลับไม่ทำแบบนั้น ดูเหมือนเขาจะไม่ค่อยชินกับการที่มีใครมาอยู่ข้างกาย จึงมักไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ไม่มีแม้กระทั่งผู้ติดตามสักตน บางครั้งอวี่ฉีถึงขั้นไม่ได้เจอหน้าเขาติดต่อกันสองถึงสามวันเต็มด้วยซ้ำ จะมีก็แค่หีบที่เต็มไปด้วยชุดราตรีสำหรับออกงานต่าง ๆ ส่งมาให้หีบแล้วหีบเล่าเท่านั้น ช่างเป็นความรักที่ไร้ความรับผิดชอบสุด ๆ ไม่มีความเอาใจใส่เลยสักนิด นึกจะส่งก็ส่ง ไม่เคยถามเธอเลยสักคำว่าชอบสีอะไรหรือชอบแบบไหน
กระทั่งชื่อของเธอเขายังขี้เกียจถาม ก็เลยตั้งชื่อเธอว่ามาร์กาเรตซะเลย ซึ่งนี่เข้าข่ายการยัดเยียดโดยไม่มีความคิดให้เกียรติเธอเลยสักนิด
การเป็นแวมไพร์รุ่นที่สามผู้สูงส่งนั้นความจริงแล้วจำเป็นต้องเข้าใจวิธีการสั่งสอนชี้แนะแวมไพร์รุ่นหลัง ต้องใช้ประสบการณ์ และต้องมีความสามารถที่มากพอ ทั้งยังต้องมีความรับผิดชอบด้วย แต่ในความจริงแล้วดยุกหนุ่มที่มีตำแหน่งเป็นบิดาของเธอในปัจจุบันผู้นี้ กลับคร้านที่จะทำเรื่องพวกนี้ทั้งหมด หรือพูดให้ถูกก็คือ เขาไม่สนใจจะสอนแวมไพร์รุ่นใหม่เลยสักนิด ถึงได้ปล่อยปละละเลยไม่ยอมลงแรงใด ๆ กับเธอทั้งสิ้น
ในตอนที่ยัดชุดราตรีที่ถูกส่งมาจนจะล้นตู้เสื้อผ้าแล้วนั่นเอง การประชุมผู้อาวุโสแห่งราชวงศ์แลงแคสเตอร์ที่ห่างหายไปร้อยปีก็ถูกจัดขึ้นอีกครั้งอย่างกะทันหัน ส่วนวาระการประชุมนั้นมีเพียงเรื่องเดียว คือการพิจารณาบทลงโทษของอวี่ฉี
ประตูแกะสลักสีดำบานใหญ่เปิดออกอย่างช้า ๆ อวี่ฉีถูกผู้อาวุโสสองคนจากราชวงศ์แลงแคสเตอร์อ้างว่าจะ ‘คุ้มกัน’ เธอ นำตัวมายังโถงห้องประชุม
แสงจันทร์สลัวสาดส่องเข้ามาจากด้านนอก อาบไล้ไปบนโต๊ะกลมสีดำสนิทที่อยู่ใจกลางห้องโถง ขับเน้นให้บรรยากาศดูเย็นยะเยือก เมื่อมองไปก็เห็นแวมไพร์รุ่นเก่าแก่หลายสิบตนในชุดเนี้ยบกริบไร้จุดบกพร่องนั่งเรียงอยู่ข้างโต๊ะด้วยสีหน้าเรียบเฉย
โถงประชุมภายใต้โดมสูงนั้นดูอ้างว้างและหนาวเหน็บกว่าทุกครา เสียงร้องของสรรพสัตว์ในผืนป่าดังแว่วจากไกล ๆ ขับเน้นให้บรรยากาศรอบด้านดูวังเวงมากขึ้นไปอีก ทุกคนในห้องต่างจ้องมองอวี่ฉีที่ยืนอยู่ตรงประตูด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ ทว่าดวงตาที่ฉายแววต่อต้านกลับแผ่อำนาจกดข่มออกมาอย่างเงียบงัน
————————
————————————————————-