ตอนที่ 14.4 (เล่มสาม)

ยอดนางร้ายมืออาชีพ 最佳女配

แอนเซล

4

หากเปลี่ยนจากเธอเป็นเด็กสาวทั่วไปให้มาอยู่ในสถานการณ์นี้แทน ต่อให้แวมไพร์เหล่านี้ยังไม่ทันทำอะไร ก็คงทำให้เด็กพวกนั้นกลัวจนตัวสั่นได้ เคราะห์ดีที่อวี่ฉีพบเจอโลกมามาก ดังนั้นถึงแม้จะถูกผู้อาวุโสสองคนยึดแขนสองข้างเอาไว้ เธอก็ยังสามารถยืนหลังตรงและสบตาพวกเขากลับโดยหน้าไม่เปลี่ยนสีได้ ไม่หลุดมาดอ่อนแอออกมาให้เห็นแม้เพียงเศษเสี้ยว ท่ามกลางใบหน้าไม่ยินดียินร้ายของสมาชิกในห้องประชุม ใบหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้มเพียงหนึ่งเดียวในห้องจึงยิ่งดูทะนงตัวเป็นพิเศษ

ผู้ให้กำเนิดของเธออยู่ในชุดทางการสีดำที่ไม่ได้ใส่บ่อยนัก นั่งวางมาดอยู่ในตำแหน่งที่ไกลจากประตูที่สุด ผมสีทองอ่อนถูกมัดรวบด้วยผ้าแพรไหมหลวม ๆ เหนือศีรษะ เขางอนิ้วมือขวาสวยได้รูปที่สวมแหวนทับทิมอยู่เคาะบนโต๊ะเบา ๆ เป็นจังหวะ แผ่ความรู้สึกเอื่อยเฉื่อยเกียจคร้านออกมาทั่วร่าง ทว่ากลับน่าเกรงขามยิ่งกว่าผู้อาวุโสทุกคนในที่แห่งนี้

เหมือนเขาจะรู้สึกได้ถึงสายตาของเธอ จึงลอบชำเลืองมองแวบหนึ่งอย่างเพิกเฉยคร้านที่จะใส่ใจ ดวงตาสีแดงหม่นงดงามคู่นั้นไม่มีแม้แต่คำปลอบโยน เพียงเลื่อนสายตาไปทางขวามือเพื่อสื่อเป็นนัยให้เธอมานั่งข้างตนเองอย่างเอาแต่ใจ การกระทำเช่นนี้ถือว่าทั้งจองหองและไม่สนใจสิ่งใด ประหนึ่งไม่เห็นหัวแวมไพร์อาวุโสผู้อื่นอยู่ในสายตา

ถึงตอนแรกอวี่ฉีจะไม่ได้เครียดสักเท่าไรก็ตาม แต่ครั้นเห็นสายตาของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปลอดภัยขึ้นมาอีกหลายส่วน การที่เขาสั่งให้เธอมานั่งในตำแหน่งเดียวกับบุคคลสำคัญในที่ประชุมที่กำลังถกเถียงเรื่องบทลงโทษของเธอแบบนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาคิดจะปกป้องเธอ ต่อให้จะปล่อยปละละเลยไปบ้าง แต่เธอก็เป็นผู้สืบทอดเพียงหนึ่งเดียวของเขา ดังนั้นจึงถือเป็นคนของตัวเอง การที่อีกฝ่ายดึงเธอเข้ามาอยู่ในอาณาเขตของตัวเองนั้น คือสิ่งยืนยันว่าเขาตั้งใจคุ้มครองเธอจริงๆ

แน่นอนว่า ที่เจ้าแห่งแวมไพร์ท่านนี้ปกป้องเธอนั้นไม่ได้เป็นเพราะเขาชอบเธอ แต่เพราะชายคนนี้เห็นตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาลและจะไม่ยอมให้ใครล้ำเส้นเข้ามาเด็ดขาด เขามีความอดทนเป็นศูนย์สำหรับคนที่มายุ่มย่ามของของเขา ถ้าให้พูดอย่างไม่อ้อมค้อมก็หมายถึง ต่อให้เขาจะไม่ไยดีของสะสมของเขาแค่ไหน แต่ก็ใช่ว่าจะยอมให้ผู้อื่นมาแตะต้องได้ง่าย ๆ

ต้องขอบคุณภารกิจครั้งก่อน ๆ ที่ทำให้เธอจดจำทักษะการต่อสู้ได้จนขึ้นใจ เพียงขยับเบา ๆ ก็สามารถสลัดตัวหลุดจากสองผู้อาวุโสที่จับตัวเธอไว้ได้อย่างแยบยล ก่อนจะย้ายร่างไปอยู่ในตำแหน่งขวามือข้างกายของดยุกแวมไพร์ภายในพริบตา พลางก้มศีรษะลงอย่างอ่อนน้อมเชื่อฟัง

ในโลกของแวมไพร์ที่จะเคารพยำเกรงผู้แข็งแกร่งเท่านั้น ขอแค่พลังอำนาจของผู้หนุนหลังมากพอ ไม่ว่าจะทำอะไรก็ย่อมไม่โดนตำหนิ มากสุดก็แค่ถูกลงโทษเล็ก ๆ น้อย ๆ พอเป็นพิธีเท่านั้น ดังนั้นแทนที่จะคุกเข่าขออภัยโทษต่อหน้าผู้อาวุโสทั้งหลาย ไม่สู้เลือกยืนข้างผู้ปกครองของตนเองยังจะดีกว่า

เดิมทีที่นั่งฝั่งขวาข้างกายดยุกแวมไพร์นั้นเป็นของแวมไพร์อาวุโสเจ้าของเรือนผมดำนัยน์ตาฟ้าตนหนึ่ง อีกฝ่ายจ้องมองมายังเธอแน่วนิ่งสื่อว่าไม่ต้องการจะลุก แต่ทำเช่นนั้นอยู่ได้ไม่นาน สุดท้ายก็จำใจลุกขึ้นมอบที่นั่งให้อวี่ฉี ก่อนจะมองแวมไพร์ที่นั่งอยู่ตำแหน่งถัดไปด้วยสายตาเยือกเย็น เพื่อบังคับให้แวมไพร์ตนนั้นสละที่นั่งแก่ตนต่อ และแล้วภายในห้องประชุมก็ปรากฏภาพแวมไพร์ผู้อาวุโสที่ต่างพากันทยอยเลื่อนที่นั่งไปด้านข้างเรื่อย ๆ จนแวมไพร์ผมดำตาฟ้าตนนั้นได้ที่นั่งแล้วนั่นเอง อำนาจข่มขวัญอันไร้เสียงเมื่อครู่ถึงได้ยุติลง

อวี่ฉีไม่ได้นั่งลงไปทันที แต่โค้งตัวไปกล่าวเสียงต่ำกับชายเจ้าของนัยน์ตาสีแดงว่า “อรุณสวัสดิ์ ท่านพ่อ”

เห็นเขาพยักหน้าอย่างไม่ยี่หระ เธอถึงนั่งลงตรงที่ว่างโดยหน้าไม่เปลี่ยนสี ก่อนกวาดสายตามองผู้อาวุโสคนอื่นอย่างเย็นชา ในเมื่อการยอมถอยไม่สามารถแก้ปัญหาได้ ก็เหลือเพียงแค่ต้องแสดงความแข็งแกร่งออกมาข่มกลับเท่านั้น เพราะอย่างน้อยมันก็ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าเธอไม่ใช่ลูกพลับนิ่ม ๆ ที่คิดอยากจะบีบก็บีบได้ตามอำเภอใจ

หลังผ่านความเงียบงันไปชั่วครู่ ผู้อาวุโสผมดำตาฟ้าก็เปิดปากขึ้นมาทำลายความเงียบ “ท่านดยุก ท่านหญิงมาร์กาเรตไม่คู่ควรที่จะเป็นผู้สืบทอดของท่าน นาง…”

“นางจะคู่ควรหรือไม่ขึ้นอยู่กับคำพูดของข้า” ดยุกแวมไพร์กล่าวแทรกอย่างไม่ไว้หน้า พลางยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มสง่างามเอาแต่ใจ ก่อนเอ่ยหยอกเย้าว่า “หากเรียงตามลำดับผู้อาวุโสแล้ว นางอยู่เหนือกว่าเจ้านะริชาร์ด เจ้าจงรู้จุดยืนของตนเอง”

“แต่การกระทำของนางถือเป็นการล่วงเกินท่าน ทั้งยังเป็นการดูหมิ่นแลงแคสเตอร์ด้วย! นางทำให้พวกเราอับอาย!” ผู้อาวุโสผมดำจับจ้องมองอวี่ฉีด้วยแววตาขุ่นเคืองโดยไม่คิดปิดบัง ก่อนจะคำรามเสียงต่ำ “ท่านดยุกควรจะนำนาง…”

ไม่ทันรอให้อีกฝ่ายพูดจบ ดยุกผมทองก็หรี่ตาลงอย่างคุกคาม แม้จะไม่ได้แสดงความโกรธออกมาตรงๆ แต่กลับน่าเกรงขามดั่งคลื่นยักษ์กับลมกระโชกแรงที่ถาโถมเข้าใส่ “ข้าจำเป็นต้องให้เจ้ามาคอยกำกับการกระทำของข้าตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูท่าหลายปีมานี้ ข้าคงจะใจกว้างกับเจ้าเกินไป ถึงได้ไม่สำเหนียกสถานะของตนขนาดนี้!”

สิ้นเสียง ผู้อาวุโสผมดำก็พลันลอยขึ้นราวกับว่าวสายป่านขาด กระแทกเข้ากับประตูแกะสลักขนาดใหญ่อันหนักอึ้งสองบานอย่างแรง แล้วค่อย ๆ ไถลหล่นลงมาบนพื้น

บรรดาแวมไพร์อาวุโสที่กำลังกระซิบกระซาบอยู่พากันเงียบเสียงลงทันที แต่ละคนมองไปยังดยุกผมทอง แม้ว่าสีหน้าทุกคนจะยังนิ่งเฉย แต่ในใจกลับเต็มไปด้วยความพรั่นพรึง ไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยปากต่อเลยสักตน

ท่ามกลางความเงียบสงัด เจ้าแห่งแวมไพร์ลูบแหวนทับทิมบนนิ้วกลางด้วยท่าทีสงบนิ่ง พลางเอ่ยขึ้นมาอย่างลอย ๆ “ผ่านมาหลายปีก็ยังใจกล้าบ้าบิ่น ไม่กลัวตายเหมือนเดิม ไม่พัฒนาเลยจริง ๆ” คำพูดดังกล่าวไม่ได้ระบุเฉพาะเจาะจงที่ใคร มันคล้ายจะกล่าวกับริชาร์ด แต่กลับเหมือนจงใจแขวะแวมไพร์อาวุโสทุกคนในที่แห่งนี้มากกว่า

หลังโยนคำพูดประโยคนี้ไปกลางวง เขาก็ลุกขึ้นยืนช้า ๆ แล้วหันไปมองรอบด้านโดยไม่ไว้หน้าใคร “นางได้รับโทษที่สมควรได้รับจากข้าแล้ว แต่สำหรับพวกเจ้า…” เขากระตุกมุมปากก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าน้อย ๆ “อับอายขายหน้าแล้วอย่างไร นางคือผู้สืบทอดของข้า ย่อมมีสิทธิ์เหยียบย่ำเกียรติของพวกเจ้าไว้ใต้ฝ่าเท้าอยู่แล้ว”

ชั่วครู่สั้น ๆ นั้น แวมไพร์อาวุโสที่นั่งอยู่ ณ ที่นี้ก็พลันหน้าเปลี่ยนสีแทบทั้งหมด

ทว่าคนพูดกลับแค่นยิ้มอย่างไม่ไยดีเลยสักนิด เขาสาวเท้าเดินไปทางประตูโดยมีอวี่ฉีติดตามอยู่ด้านหลังเงียบ ๆ เงาสองเงาที่ทอดตัวอยู่บนระเบียงทางเดินซึ่งทอดยาวจนถึงประตูได้อันตรธานหายไป ทิ้งแวมไพร์ผู้อาวุโสทั้งกลุ่มไว้เบื้องหลัง พวกเขาหันมามองหน้ากัน แต่กลับพูดอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว

ระหว่างระเบียงทางเดินที่ทั้งแคบยาวและมืดสนิทนั้น มีเพียงแสงริบหรี่ของตะเกียงติดผนังส่องสว่างอยู่สองฝั่งของกำแพง อวี่ฉีพยายามเร่งฝีเท้าตามคนตรงหน้าไป ก่อนอาศัยจังหวะนี้พูดขึ้นว่า “ท่านพ่อ เรื่องเมื่อครู่ ข้าซาบซึ้งใจยิ่งนัก”

แวมไพร์ผมทองหันกลับมามองเธอแวบหนึ่ง แล้วกล่าวอย่างไม่แยแส “ข้าไม่ได้ทำเพื่อเจ้า”

อวี่ฉีทราบดีว่าเขาแค่ต้องการสั่งสอนแวมไพร์อาวุโสที่ริอ่านมาท้าทายอำนาจและพยายามก้าวก่ายการตัดสินใจของเขา แต่เข้าใจมันก็ส่วนเข้าใจ ถึงอย่างไรการแสดงความซาบซึ้งในเวลาที่เหมาะสมแบบนี้ ถือเป็นการปูทางเพื่อที่จะใกล้ชิดกับเขาในอนาคตได้ หากวันหน้าเมื่อต้องเข้าหาอีกฝ่ายอย่างกะทันหันหรือกระทั่งจงใจก็ตาม จะได้ดูไม่ผิดปกติสักเท่าไร

เสียงที่ค่อนข้างแหบพร่านั้นดังนุ่มนวลแผ่วเบา สะท้อนไปทั่วระเบียงทางเดินทอดยาวอันมืดมิดราวกับกำลังกล่าวบทกวี “ริชาร์ดตกหลุมรักหญิงสาวชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งที่ชื่ออลิซาเบท” เขาเงียบเสียงลงแล้วแค่นยิ้มมุมปาก เอ่ยเยาะเย้ยอย่างไม่คิดปิดบัง “เป็นถึงแวมไพร์ชนชั้นเก่าแก่ แต่กลับหลงรักเหยื่อของตัวเอง ช่างโง่เขลาเสียจริง”

เมื่อนึกถึงคำพูดที่ค่อนข้างรุนแรงของแวมไพร์อาวุโสตนนั้นดี ๆ อวี่ฉีก็คล้ายจะรับรู้ถึงเหตุผลที่อีกฝ่ายพูดแบบนั้นออกมา เธอจึงลองถามหยั่งเชิงดู “เขาต้องการให้ท่านมอบรอยกัดแรกแก่อลิซาเบทอย่างนั้นหรือ”

หากเป็นไปตามที่คิดจริง เธอก็พอเข้าใจแล้วว่าทำไมริชาร์ดถึงมีทีท่าไม่พอใจและตั้งตัวเป็นศัตรูกับเธอ แต่อวี่ฉีก็ยังสงสัยอยู่ดีว่า ต่อให้กำจัดเธอทิ้งไป อลิซาเบทก็ไม่มีวันกลายเป็นผู้สืบทอดของแลงแคสเตอร์ได้ไม่ใช่เหรอ ผู้มีอำนาจและชอบที่จะบงการทุกสิ่งแบบท่านพ่อของเธอจะทำอะไรก็ทำเพราะ ‘อยากทำ’ เขาไม่มีทางทำเพราะ ‘คนอื่นอยากให้ทำ’ อย่างแน่นอน

ดยุกผมทองเลิกคิ้วแล้วเหลือบมองเธอแวบหนึ่งอย่างติดจะชื่นชมพร้อมยิ้มมุมปาก เป็นข้อพิสูจน์ว่าสันนิษฐานของเธอนั้นถูกต้อง “ถือว่าไม่ได้โง่จนเกินเยียวยา”

อวี่ฉียิ้มน้อย ๆ ทว่าในสมองกำลังคิดอีกเรื่องอยู่ หากยึดจากข้อมูลที่ได้รับมา ริชาร์ดกับอลิซาเบทคือพระเอกกับนางเอกของนิยายเรื่องนี้นั่นเอง แต่เหตุผลที่ก่อนหน้านี้เธอยังไม่รู้จักคนคนนี้เป็นเพราะชื่อริชาร์ดมันโหลสุด ๆ ในหมู่แวมไพร์รุ่นเก่า เธอเจอคนที่ใช้ชื่อนี้หลายสิบคนเลยทีเดียว แต่ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าแวมไพร์ผมดำนั่นต้องเป็นพระเอกในนิยายเรื่องนี้อย่างแน่นอน

นิยายเรื่องนี้แตกต่างจากนิยายแนวแวมไพร์ทั่วไป หากจะบอกว่านิยายเรื่องนี้เหมือนนิยายโรมานซ์ระหว่างเด็กสาวกับคุณชายแวมไพร์ผู้สูงส่ง สู้บอกว่าเป็นนิยายชีวประวัติขององค์ราชินียังจะเข้าเค้ากว่า อลิซาเบทในนิยายต้นฉบับเดิมทีเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่หลอกใช้ความรักของแวมไพร์ชั้นสูงอย่างริชาร์ดเพื่อก้าวเข้ามาในโลกของแวมไพร์ เธอหวังในพลังและชีวิตอันเป็นอมตะ หลังจากตีสนิทกับบรรดาแวมไพร์ผู้มีอำนาจหลายตน อลิซาเบทก็ได้ขยับฐานันดรของตัวเองขึ้นมาทีละขั้น ก่อนจะกำจัด ‘แบรนด์’ เชื้อพระวงศ์ในตระกูลแลงแคสเตอร์อย่างโหดเหี้ยมเกินจินตนาการ ทั้งยังสถาปนาตนเป็นดยุคหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์แวมไพร์ และถูกคนรุ่นหลังขนานนามว่า ‘สตรีผู้โหดเหี้ยม’ ในที่สุด

ส่วนริชาร์ดถึงแม้จะถูกอลิซาเบทใช้เป็นเครื่องมือซ้ำแล้วซ้ำเล่า ก็ยังคงรักเธออย่างลึกซึ้งไม่เปลี่ยนแปลง ราวกับสุนัขแสนซื่อสัตย์ขององค์ราชินีที่ได้แต่คอยวิ่งไล่ตามเธอ จนท้ายที่สุดอลิซาเบทก็ซาบซึ้งกับความทุ่มเทนี้และได้มีตอนจบอันสวยงาม

อวี่ฉีไม่คิดวิจารณ์ความมักใหญ่ใฝ่สูงและวิธีการของอลิซาเบท เพราะอย่างไรเสียพวกเธอก็มีจุดยืนอยู่คนละฝั่งกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว

ดยุกผมทองเห็นเด็กสาวข้างกายก้มหน้าจมจ่อมอยู่ในภวังค์ ก็หรี่ตาสองข้างลงอย่างมาดร้าย แล้วถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจอย่างชัดเจน “คิดอะไรอยู่”

อวี่ฉีชะงัก เธอรีบดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว “ข้าเพียงแค่สงสัยเล็กน้อยว่าอลิซาเบทผู้นั้นใช้เสน่ห์ใดมาทำให้แวมไพร์ผู้อาวุโสของพวกเราหลงเสน่ห์นางได้ถึงเพียงนี้”

“ลูกไม้น่าเบื่อของสตรี มีเพียงพวกไร้หัวคิดเท่านั้นที่จะหลงกล” หลังวิจารณ์อย่างแข็งกร้าวไปประโยคหนึ่งแล้ว เขาก็เอ่ยเสียงทุ้มต่ำต่อว่า “อย่าให้ข้าต้องเตือนเจ้าเป็นครั้งที่สอง ยามอยู่ต่อหน้าข้า เจ้าต้องคิดแค่เรื่องของข้าเท่านั้น” เขากระชากตัวเธอเข้ามาอย่างหยาบคาย จากนั้นจึงโน้มกายลงมากระซิบนุ่มนวลข้างหูของเธอ “หากยังมีครั้งต่อไปอีก ข้าจะทำให้เจ้าได้เรียนรู้ว่าอะไรคือความเจ็บปวดทรมานที่แท้จริง”

——————————————————-