แอนเซล 5
อวี่ฉีอึ้งไปชั่วขณะก่อนจะแย้มยิ้มออกมาอย่างว่องไว อาศัยระยะห่างที่ใกล้กันมากอาจหาญเอื้อมมือไปจับชายเสื้อพิธีการสีดำของเขาไว้หลวม ๆ พลางหลุบตาต่ำกล่าวว่า “ไม่มีครั้งต่อไปแน่นอน ท่านพ่อ”
สายตาของชายหนุ่มหยุดนิ่งตรงนิ้วเรียวขาวที่จับชายเสื้อของตนอยู่สักพัก ก่อนเลื่อนไปยังใบหน้างดงามที่กำลังก้มต่ำของเด็กสาว มุมปากของเขาค่อย ๆ กดลึกลงเป็นรอยยิ้มหยอกเย้า
เขายื่นมือมาเกี่ยวเส้นผมของอวี่ฉีพันที่ปลายนิ้วอย่างนุ่มนวล จากนั้นจึงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำอย่างไม่จริงจังว่า “นี่เจ้าตกหลุมรักข้าแล้วงั้นหรือ หืม?”
แต่ไม่ทันรอให้เธอเปิดปากตอบ เขาก็พลันบีบคางเธอให้แหงนหน้าขึ้นมาสบตา ดวงตาสีแดงหม่นของอีกฝ่ายมองดวงตาของเธออย่างนึกใคร่รู้ มองประเมินราวกับเธอเป็นของสะสมน่าสนใจชิ้นหนึ่งอย่างไรอย่างนั้น ก่อนจะเอ่ยอย่างเนิบช้าเบาบางนุ่มนวลด้วยน้ำเสียงติดจะแหบพร่า “หัวใจของเด็กสาวนี่ช่างคว้ามาได้ง่ายดายเสียเหลือเกิน”
อวี่ฉีหลบตาอย่างรู้งาน พลางกล่าวเสียงเบาหวิว “ท่านพ่อ…”
นิ้วเย็นเฉียบของเขาลูบไล้ไปบนคางเรียบเนียนของเธอ ก่อนโค้งมุมปากขึ้นอย่างอารมณ์ดี “ชู่ว์…ที่รัก ตอนนี้ข้าไม่ต้องการให้เจ้าเอื้อนเอ่ยคำใด”
เขาเว้นจังหวะ ก่อนจะเข้าคลอเคลียใบหูและจอนผมของเธอด้วยท่าทางคลุมเครือ พร้อมกระซิบกล่าวว่า “เจ้าแค่พยักหน้าหรือส่ายหน้าเพื่อตอบคำถามของข้าเพียงข้อเดียวเท่านั้นก็พอ” กล่าวจบเขาก็เงียบไปสักพัก ก่อนจะถามด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มบาง ๆ
“เจ้ารักข้าหรือไม่”
ความคืบหน้านับตั้งแต่ทำภารกิจในนิยายเรื่องนี้เริ่มเละขึ้นเรื่อย ๆ ทุกอย่างมันกลับตาลปัตรจนถึงขั้นผิดปกติเลยทีเดียว
แต่ในฐานะที่เธอเป็นนักแสดงดีเด่น ไม่ว่าสถานการณ์นี้จะผิดเพี้ยนสักเพียงใด อวี่ฉีก็จำต้องพยักหน้าช้า ๆ พร้อมแอบแสดงอาการขวยเขินอย่างแนบเนียน แสร้งทำท่าทางกระวนกระวายราวกับกลัวว่าจะถูกปฏิเสธได้อย่างพอเหมาะพอดี
“ดีมาก เด็กดีของข้า” ดยุกแวมไพร์คลี่ยิ้มอย่างพอใจ ก่อนใช้มือข้างหนึ่งโอบอวี่ฉีมาไว้ในอ้อมกอด ส่วนมืออีกข้างก็ดันหัวของเด็กสาวให้แนบชิด จากนั้นจึงก้มหน้ากระซิบที่ข้างหูว่า “ถ้าอย่างนั้น หากข้าอยากให้เจ้าตายเล่า? เจ้าหญิงน้อยของข้าจะยอมตายเพื่อข้าหรือไม่”
ในที่แห่งนี้อวี่ฉีรู้สึกเหมือนตัวเองไม่มีประสบการณ์อะไรสักอย่าง ความรู้ที่ผ่านมาใช้ประโยชน์ไม่ได้เลยสักนิด เธอไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี จะให้ส่ายหน้าก็คงไม่ดีต่อภารกิจ แต่ถ้าพยักหน้าแล้วเขาเกิดนึกคึกสั่งให้เธอไปตายจริง ๆ แบบนั้นเธอจะแก้ปัญหาอย่างไรดี
บทสนทนาแบบนี้ช่างไม่เหมือนการหยอกล้อตามประสาคู่รักปกติ เดิมทีความคิดของตัวร้ายก็ต่างจากคนทั่วไปอยู่แล้ว แต่ดยุกแวมไพร์ท่านนี้ดันมีอาการโรคจิตอ่อน ๆ พ่วงไปด้วย ดังนั้นคำถามพรรค์นี้ไม่น่าจะเป็นคำถามลอย ๆ มีเปอร์เซ็นต์สูงมากที่อีกฝ่ายจะคิดจริงจัง
เมื่อดยุกแวมไพร์เห็นเธอเงียบไปแบบนี้ ก็ดันร่างบอบบางออกจากอ้อมอกช้า ๆ ในน้ำเสียงสบาย ๆ นั้นแฝงความผิดหวังเอาไว้อย่างชัดเจน มันดังแหบพร่าแผ่วเบาอย่างอ้อยอิ่งท่ามกลางระเบียงทางเดินอันเงียบสงัด
“ดูเหมือนเจ้าจะยังรักข้าไม่มากพอนะ ที่รัก” สิ้นเสียง แวมไพร์หนุ่มก็กุมมือบอบบางที่จับชายเสื้อของตนเองแล้วดึงออกโดยไม่เปิดโอกาสให้ปฏิเสธ
เขาปล่อยมือและยิ้มให้เธออย่างเรื่อยเฉื่อยไม่จริงจัง แล้วหมุนตัวเดินจากไปโดยไม่คิดเสียเวลา
อวี่ฉียืนเหม่ออยู่ที่เดิม ก่อนจะตระหนักได้ว่า หากปล่อยเขาจากไปทั้งอย่างนี้ การพิชิตใจเขาในครั้งหน้าต้องยากขึ้นไปอีกระดับแน่ เธอจึงรีบตามเขาไปติด ๆ
เสี้ยววินาทีที่เข้าใกล้ร่างของอีกฝ่าย เธอกางแขนทั้งสองข้างโถมตัวสวมกอดเขาอย่างแนบแน่นจากทางด้านหลัง แล้วชิงพูดก่อนที่เขาจะทันได้อ้าปาก “นอกจากความตาย ข้ายินดีทำทุกอย่างเพื่อท่าน”
การที่เด็กคนนี้กล้ารั้งเขาไว้เช่นนี้ หากเป็นเมื่อก่อนคงถือเป็นความผิดโทษฐานทำตัวสามหาวไร้มารยาทไปแล้ว ทว่ายามนี้ดยุกแวมไพร์กลับนึกสนอกสนใจท่าทีของเธอขึ้นมา เขาจึงกระตุกมุมปากเป็นรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม แล้วทวนถามออกไปโดยเน้นย้ำทีละคำ “ทุกอย่างอย่างนั้นหรือ”
อวี่ฉีเงียบไปสักพัก จึงตอบกลับเสียงแผ่ว “ทุกอย่าง”
อีกฝ่ายยืนนิ่งไม่ไปไหน ก่อนจะดึงแขนเด็กสาวออกอย่างเบามือ และหมุนตัวกลับมาเผชิญหน้าเธออีกครั้งอย่างเชื่องช้าและสง่างาม เขายิ้มในหน้าก่อนก้มศีรษะมองเธอ จากนั้นก็พูดกระซิบด้วยเสียงยั่วยวนแหบพร่า
“ถ้าอย่างนั้นแสดงให้ข้าดูหน่อย ว่าเจ้าหญิงน้อยของพวกเรารักข้าถึงเพียงไหน”
อวี่ฉีค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมาสบดวงตาสีแดงงดงามคู่นั้น มันกำลังจ้องมองเธอด้วยประกายแห่งความรื่นรมย์ ถึงจะไม่เหมาะสักเท่าไร แต่อวี่ฉีก็อดไม่ได้ที่จะเปรียบเทียบเขากับเด็กน้อยขี้เหงาที่ได้เจอของเล่นฆ่าเวลาสักชิ้น หลังจากเบื่อมานาน ภายในดวงตาของเขาปกปิดความตื่นเต้นเอาไว้ไม่มิด คล้ายรีบร้อนอยากจะลองเล่นเดี๋ยวนี้เลยด้วยซ้ำ
ระหว่างที่เธอปล่อยให้อีกฝ่ายมองสำรวจเงียบ ๆ จู่ ๆ เธอก็เกิดลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาในใจ
เขาหรี่ตาลงอย่างเฉื่อยชาพลางเดินเนิบๆ วนรอบตัวเธอ ครบรอบแล้วจึงหยุดฝีเท้าลง กระตุกมุมปากขึ้นมาอย่างมีเลศนัย จากนั้นจึงออกคำสั่งแผ่วเบาด้วยน้ำเสียงลื่นไหลราวกับมนตร์สะกดว่า “นอนลงไป”
อวี่ฉีชะงัก “ตรงนี้หรือ?”
“ใช่ ตรงนี้” เขาตอบกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “รักข้าไม่ใช่รึ หรือว่าเรื่องแค่นี้เจ้าก็ยังทำไม่ได้”
ถึงจะเดาความคิดอีกฝ่ายไม่ออก แต่ในสถานการณ์แบบนี้ เธอก็ทำได้แค่ตามน้ำไปเท่านั้น อวี่ฉีจึงจำต้องย่อตัวลงนั่งบนพื้นระเบียงทางเดินที่เย็นจัดช้า ๆ อย่างยอมรับชะตากรรม ทว่าก็อดไม่ได้ที่จะมองเขาอย่างสงสัย “นอนลงไป?”
ดยุกผมทองพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ใช่ นอนลงไป”
อวี่ฉีค่อย ๆ นอนหงายลงไปบนพื้นทั้งที่ในใจยังเต็มไปด้วยความมึนงง เธอประสานมือบนท้อง ปรับท่านอนให้เข้าที่ “แบบนี้หรือ?”
หลังถามจบ เขาก็ย่อกายลงข้างตัวอวี่ฉีด้วยสีหน้าคล้ายกำลังยิ้ม ก่อนจะไล่สายตาประเมินเธอตั้งแต่หัวจดเท้าจนอวี่ฉีรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกที่คืบคลานจากปลายเท้ามาถึงเหนือศีรษะ
ดยุกแวมไพร์ยกมือลูบศีรษะของเธอเบา ๆ ด้วยรอยยิ้ม พร้อมสั่งเธอเสียงนุ่มว่า “กลิ้งตัวไป เจ้าหญิงน้อย”
คำสั่งนี้พิลึกเสียจนอวี่ฉีเผลอหลุดถามออกไปโดยไม่รู้ตัว “อะไรนะ”
ชายหนุ่มหรี่ตาลงอย่างไม่ค่อยพอใจ ก่อนจะกดเสียงทุ้มสั่งว่า “ข้าบอกให้กลิ้งตัวไป ตอนนี้ เดี๋ยวนี้!”
อวี่ฉีสัมผัสได้ถึงคลื่นความไม่พอใจในน้ำเสียงนั้น จึงรีบทำตามทันที หญิงสาวเอียงตัวกลิ้งไปหลายตลบกว่าจะหยุดลง
ต่อให้ตรงระเบียงทางเดินจะไม่มีคนอื่นนอกจากพวกเธอ แต่การทำแบบนี้ก็ดูปัญญาอ่อนเกินไปจริง ๆ อวี่ฉีพลิกตัวกลับมามองเจ้าชีวิตด้วยสายตาวิงวอน แต่เขากลับยกมุมปากล้อเลียนเธอแทน แถมยังมิวายชี้นิ้วมาทางเธอพร้อมออกคำสั่งโดยไม่คิดจะสนใจความรู้สึกกันเลยสักนิด
“กลิ้งตัวกลับมาซะ”
อวี่ฉีจ้องเขาอย่างพูดไม่ออกอยู่ครู่ใหญ่ ถึงค่อย ๆ กลิ้งตัวกลับมาอยู่ตรงแทบเท้าเขาอย่างช้า ๆ
“ส่งมือมาให้ข้า” คำสั่งถัดไปตามมาทันที
อวี่ฉีที่ตัวชาดิกยื่นมือซ้ายส่งไปให้เขาอย่างไร้ซึ่งความลังเล
“ไหนร้องเสียงแมวซิ”
อวี่ฉีขี้เกียจต่อล้อต่อเถียงจึงทำตามแต่โดยดี เธอร้อง “เมี้ยว” ออกมาครั้งหนึ่ง ถึงจะไม่ใช่เวลาที่ต้องสวมบทบาทแมวให้สมจริง แต่เธอก็ดันเลียนแบบได้เหมือนซะยิ่งกว่าเหมือน
‘เมี้ยว’ ที่ดังขึ้นมาอย่างนุ่มนวลรื่นหูนี้ เมื่อบวกกับการวางมือบนฝ่ามืออีกฝ่ายอย่างว่าง่ายแล้ว ก็ช่างคล้ายกับแมวเหมียวเอาแต่ใจที่กำลังนอนหงายพุงให้เจ้าของดูไม่มีผิด ภาพนี้ดูตลกจนนายเหนือของเหล่าแวมไพร์ทนไม่ไหวหลุดขำพรืดออกมา
เสียงหัวเราะของเขาทำให้อวี่ฉีอึ้งไปชั่วขณะ เธอเงยหน้ามองเขาช้า ๆ อย่างแปลกใจ รอยยิ้มครั้งนี้แตกต่างจากรอยยิ้มจอมปลอมที่ผ่านมา ราวกับมันออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ ดูจริงใจเสียจนเธอไม่อยากจะเชื่อ คนประเภทนี้สามารถยิ้มออกมาแบบนี้ได้จริง ๆ หรือ ทั้งที่มันไม่น่าเป็นไปได้ แต่กลับเกิดขึ้นมาตรงหน้าเธอแล้ว
ความลุ่มลึกในดวงตาสีแดงหม่นคู่นั้นอ่อนจางลง ก่อนถูกแทนที่ด้วยประกายใสบริสุทธิ์ไม่ต่างอะไรกับอัญมณีบริสุทธิ์หลากสีสัน ประกายแวววาวในดวงตานั้นงดงามจนถึงขั้นทำให้คนหยุดหายใจได้เลยทีเดียว
หลังหัวเราะจนหนำใจแล้ว ชายผมทองก็เพิ่งตระหนักได้ว่าเด็กสาวกำลังจ้องมองเขาอยู่ตลอดเวลา จึงค่อย ๆ หุบรอยยิ้ม เขาปล่อยมือเธอก่อนจะงอนิ้วเคาะหน้าผากของอวี่ฉีแรง ๆ เอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า
“ลุกขึ้นมา เจ้าแมวน้อยโง่เง่า นอนอยู่บนพื้นสบายตัวมากนักหรือ”
อวี่ฉีกะพริบตาปริบ ๆ ก่อนจะค่อย ๆ เลื่อนมือมากุมหน้าผากตัวเองไว้ ส่วนดวงตาก็ยังคงจ้องมองเขาอย่างตกตะลึง
———————
ตอนต่อไป →