หลังจากดื่มให้กับโจวเหวินอี้สามจอกแล้วหลิงลี่ก็วางถ้วยเหล้าลงบนโต๊ะด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ พร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ท่านโจว..ในเมื่อท่านมีน้ำใจให้ตระกูลหลิงเข้าร่วมหน่วยนภาเช่นนี้ ข้า – หลิงลี่แม้จะไม่ใช่ผู้ที่มีพรสวรรค์นัก แต่ก็ยินดีที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกของหน่วยนภาเช่นกัน!”
  “ช้าก่อน..ช้าก่อน..”
  โจวเหวินอี้ฝืนยิ้มออกมาในระหว่างที่จ้องมองหลิงลี่เขาวางถ้วยเหล้าในมือลง แล้วจึงพูดกับหลิงลี่ไปว่า
  “ท่านหลิง..คิดไม่ถึงว่าจนป่านนี้ท่านก็ยังคงใจร้อนไม่เปลี่ยนแปลง!”
  หลิงหยุนเองก็หันไปมองหลิงลี่เช่นกันและคิดไม่ถึงว่าหลิงลี่จะให้ความสำคัญกับหน่วยนภาถึงเพียงนี้..
  หลังจากที่ถูกโจวเหวินอี้ปฏิเสธความต้องการของตนกรายๆเช่นนี้หลิงลี่จึงได้แต่หันไปมองหลิงหยุนด้วยสีหน้าผิดหวัง แล้วพูดกับหลิงหยุนว่า
  “หลิงหยุน..ปู่ต้องการเข้าเป็นสมาชิกของหน่วยนภา เจ้าเองก็ได้รับสิทธิ์ให้คัดเลือกคนได้ถึงหกคน เจ้าช่วยปู่ไม่ได้เชียวรึ!”
  หลิงหยุนหันไปยิ้มให้กับหลิงลี่พร้อมกับพูดขึ้นว่า“ท่านปู่.. ท่านก็อายุมากแล้ว! นี่ท่านปู่คิดจะแก่งแย่งกับเด็กๆอย่างพวกเราจริงๆงั้นรึ!”
  หลิงลี่จ้องมองหลิงหยุนพร้อมกับใคร่ครวญตามจากนั้นจึงหันไปมองหน้าโจวเหวินอี้ที่ยังคงนิ่งเงียบ ในที่สุดก็ยกถ้วยเหล้าขึ้นกระดกเข้าปาก แล้วจึงหันไปพูดกับหลิงหยุนอีกครั้ง..
  “คนแก่อย่างข้าก็ต้องการทำเพื่อชาติบ้านเมืองบ้างไม่ได้รึเหตุใดจึงต้องถูกปฏิเสธด้วย?!”
  หลิงหยุนยิ้มให้หลิงลี่พร้อมกับพูดปลอบใจ“ท่านปู่.. หากท่านต้องการทำเพื่อชาติบ้านเมืองจริงๆ ย่อมไม่ใช่ปัญหา! เพียงแต่การคัดคนเข้าร่วมในหน่วยนภา พวกเราจำเป็นต้องปรึกษาหารือกันเสียก่อน..”
  จากนั้นหลิงหยุนก็หันไปทางโจวเหวินอี้พร้อมกับพูดขึ้นด้วยความซาบซึ้งใจ “อาวุโส.. ผู้น้อยหลิงหยุนขอบคุณอาวุโสที่มีน้ำใจต่อตระกูลหลิงเช่นนี้!”
  โจวเหวินอี้พยักหน้าพร้อมกับหัวเราะออกมาแต่กลับไม่ตอบอะไร..
  เวลานี้หลิงหยุนไม่ใช่เด็กหนุ่มที่เพิ่งมาถึงปักกิ่งและไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร.. เพราะในระหว่างห้าวันที่เขาได้อยู่กับเย่ซิงเฉินตามลำพังนั้น หลิงหยุนก็ได้ล่วงรู้ข้อมูลความลับมากมายของประเทศนี้ และหนึ่งในนั้นก็คือเรื่องของหน่วยนภา..
  ปัจจุบันประเทศจีนเข้าสู่ยุคที่เจริญรุ่งเรืองและก้าวหน้าอย่างมาก ขอบเขตความรับผิดชอบของหน่วยนภาจึงต้องขยายกว้างขึ้นตามไปด้วย แต่ในขณะเดียวกันจำนวนสมาชิกกลับร่อยหรอลงไป..   หากจะมองอีกด้าน..การที่โจวเหวินอี้จงใจหาเหตุผลบีบให้หลิงหยุนต้องเข้าร่วมกับหน่วยนภานั้น ความจริงแล้วก็เพื่อหาหนทางให้หลิงหยุน และตระกูลหลิงได้รับสิทธิพิเศษในการได้รับทรัพยากรวสำหรับใช้ในการฝึกฝนวิชานั่นเอง อีกทั้งยังให้ถึงหกคนเลยทีเดียว..
  หลิงหยุนเองก็คิดที่จะตอบแทนเหล่าสมาชิกตระกูลหลิงที่ขยันฝึกฝนวิชากันอย่างไม่ย่อท้อเช่นกันเพราะสำหรับตระกูลหลิงแล้ว นอกเหนือจากค่ายกลหลุมพลังที่เขาสร้างขึ้นภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิง กับต้นหลิวเทวะวิญญาณแล้ว ตระกูลหลิงก็ไม่มีทรัพยากรอื่นที่จะสามารถช่วยในการฝึกฝนได้เลย..
  ทรัพยากรต่างๆล้วนจำเป็นต่อการฝึกวิชาของเหล่าสมาชิกตระกูลหลิงทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นสมุนไพรล้ำค่า โอสถประเภทต่างๆ และยังอีกมากมายหลายอย่าง ทรัพยากรเหล่านี้ยิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นผลดี..
  ผลประโยชน์มากมายมหาศาลเช่นนี้มีหรือที่หลิงหยุนจะปฏิเสธ ในเมื่อโอกาสมาถึงที่เช่นนี้ หลิงหยุนจึงไม่ลังเลที่จะเข้าร่วมกับหน่วยนภา..
  หลังจากนิ่งไปครู่ใหญ่ในที่สุดโจวเหวินอี้ก็หันไปพูดกับหลิงหยุนด้วยน้ำเสียงเคร่งเครียด “หลิงหยุน.. ตามกฏของหน่วยนภานั้น จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องความแค้นส่วนตัวของเหล่าชาวยุทธ ตราบใดที่เรื่องนั้นไม่เกี่ยวพันไปถึงความมั่นคงของชาติ หรือเกี่ยวพันกับเรื่องของชาติบ้านเมือง หน่วยนภาของเราก็มักจะทำหลับหูหลับตาไป..”
  “แต่เมื่อตัดสินใจเข้าร่วมหน่วยนภาอย่างเป็นทางการแล้วคนผู้นั้นย่อมต้องอยู่ภายในคำสั่งของรัฐ ตราบใดที่รัฐมีคำสั่งออกมา เจ้าจำต้องทิ้งภารกิจทุกอย่างไว้ข้างหลัง และออกปฏิบัติภารกิจเพื่อประเทศชาติทันที!”
  จากนั้นโจวเหวินอี้ก็จ้องหน้าหลิงหยุนนิ่งก่อนจะย้ำด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “นี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เจ้าเข้าใจหรือไม่”
  หลิงหยุนพยักหน้าและตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“ผู้น้อยเข้าใจดี!”
  เมื่อได้ฟังคำยืนยันหนักแน่นของหลิงหยุนโจวเหวินอี้จึงพูดต่ออย่างอารมณ์ดี “เอาล่ะ.. แม้ว่าหน่วยนภาจะสูญเสียยอดฝีมือไปถึงหกคน แต่ก็กำลังจะได้ยอดฝีมือมาเสริมอีกหกคนเช่นนี้ ข้าคงต้องกลับไปอธิบายให้กับทุกคนฟัง..”
  “ดื่ม..ดื่ม..”
  ทั้งสามคนนั่งดื่มกันจนถึงเวลาบ่ายโมงครึ่งในที่สุดโจวเหวินอี้ก็ขอตัวกลับ หลิงหยุนกับหลิงลี่ลุกขึ้นจะเดินออกไปส่งพร้อมกัน แต่โจวเหวินอี้กลับยกมือขึ้นห้ามหลิงลี่ไว้พร้อมกับพูดขึ้นว่า
  “ท่านหลิง..ท่านไม่ต้องไปส่งข้าหรอก! ข้าอยากให้หลิงหยุนพาข้าเดินชมบ้านก่อนกลับเสียหน่อย ท่านคงไม่ตำหนิใช่หรือไม่”
  หลิงลี่หันไปมองหลิงหยุนพร้อมกับสั่งว่า“ถ้าเช่นนั้นหลิงหยุนเจ้าก็ไปส่งท่านโจวแทนข้าด้วย..”   แล้วจึงหันไปพูดกับโจวเหวินอี้ว่า“ท่านโจว.. วันหน้าหากมีเวลา ก็แวะมาเยี่ยมเยียนตระกูลหลิงได้ทุกเมื่อ!”
  “ข้าต้องมารบกวนท่านหลิงอีกแน่ฮ่า.. ฮ่า..”
  จากนั้นหลิงหยุนจึงเดินนำโจวเหวินอี้เข้าไปยังสวนชั้นที่แปดของคฤหาสนต์ตระกูลหลิงระหว่างนั้นโจวเหวินอี้ก็ได้สอบถามหลิงหยุนผ่านทางกระแสจิต
  –หลิงหยุน..ในคุกใต้ดินนอกจากจะมีตี๋ัยั่วถังแล้ว เจ้ายังขับผู้ใดไว้อีกงั้นรึ!-
  หลิงหยุนเคยจับศัตรูของตนมากมายหลายคนมาขังไว้ที่คุกใต้ดินแห่งนี้แต่เกือบทั้งหมดก็ได้ถูกหลิงหยุนสังหารตายไปแล้ว เหลือเพียงแค่นักบวชเลี่ยยื่อแห่งเขาหลงหู่กับตี๋ยั่วถังแห่งสำนักกระบี่เทียนซานเท่านั้น..
  หลิงหยุนตอบโจวเหวินอี้กลับไปโดยไม่คิดที่จะปิดบัง“ถูกต้องแล้ว.. ยังมีนักบวชเลี่ยยื่อแห่งสำนักเขาหลงหู่อีกคน!”   โจวเหวินอี้ได้ฟังคำตอบของหลิงหยุนก็ได้ยกนิ้วขึ้นลูบไล้คิ้วของตนเอง ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เบา
  “เจ้าจับเขามาขังไว้นานเลยสินะ..!”
  “ดูเหมือนอาวุโสคงจะรู้เรื่องราวของผู้น้อยตั้งแต่เมื่อครั้งที่อยู่จิงฉูเลยทีเดียว!”
  หลิงหยุนถามขึ้นด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบและไม่ได้นึกแปลกใจ เพราะโจวเหวินอี้เป็นถึงหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภา หากไม่รู้เรื่องเล็กๆน้อยๆเหล่านี้ก็คงน่าขัน!
  ในเมื่อหลิงหยุนเองก็ตกปากรับคำที่จะเข้าร่วมในหน่วยนภาแล้วเขาจึงไม่จำเป็นต้องปิดบังอะไรโจวเหวินอี้อีก
  “เป็นเพราะคนของสำนักเขาหลงหู่บุกมาหาเรื่องข้าถึงที่บ้านก่อนข้าจึงจำเป็นต้องสั่งสอนพวกมัน!”
  โจวเหวินอี้เหลือบมองหลิงหยุนตั้งแต่หัวจรดเท้าก่อนจะพูดขึ้นด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม “ก็ใครใช้ให้เจ้ามีสมบัติล้ำค่าในตัวมากมายเช่นนั้นเล่า การที่เหล่าชาวยุทธจะรู้สึกอิจฉาเจ้าบ้าง ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกไม่ใช่รึ?”
  หลิงหยุนได้ยินคำพูดของโจวเหวินอี้จึงตอบกลับไปว่า “ผู้น้อยหวังว่าอาวุโสจะไม่อิจฉาข้าเช่นคนอื่นๆ!”
  แต่โจวเหวินอี้กลับยิ้มและตอบกลับไปว่า “ข้าเองก็อิจฉาเจ้าเช่นกัน เพียงแต่ข้ารู้ว่าการตัดสินใจเป็นศัตรูกับเจ้า นับเป็นการตัดสินใจที่โง่เขลามากต่างหากเล่า!”
  หลิงหยุนได้แต่ยิ้มออกมาพร้อมกับรำพึงรำพันว่า“อาวุโสล้อข้าเล่นอีกแล้ว!”
  จากนั้นน้ำเสียงของโจวเหวินอี้ก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมาทันทีในขณะที่เตือนหลิงหยุนว่า“หลิงหยุน.. กระบี่เทียนชี่ของสำนักเขาหลงหู่นั้นล้ำลึกยิ่งนัก! หลังจากที่ได้ให้บทเรียนไปพอควรแล้ว เจ้าก็อย่าได้ทำให้เป็นเรื่องใหญ่นัก ไม่เช่นนั้นอาจจะเกิดผลเสียต่อเจ้าได้..”
  หลิงหยุนได้แต่นึกซาบซึ้งใจในความเป็นห่วงเป็นใยของโจวเหวินอี้จึงตอบกลับไปว่า“ขอบคุณอาวุโสที่ชี้แนะ! เรื่องจะบานปลายใหญ่โตหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับสำนักเขาหลงหู่เอง!”
  จากนั้นโจวเหวินอี้ก็ยกมือขึ้นชี้ไปทางคุกใต้ดินตระกูลหลิงพร้อมกับถามขึ้นว่า “เจ้ามั่นเพียงใดว่าแวมไพร์เหล่านั้นจะไม่สร้างปัญหาให้กับประเทศของเรา”
  หลิงหยุนตอบกลับไปอย่างมั่นใจ“ผู้น้อยรับรองได้..”
  “ถ้าเช่นนั้นก็ดี!”
  จากนั้นทั้งคู่ก็เดินผ่านสวนชั้นที่หกซึ่งหลิงหยุนปลูกต้นหลิวเทวะวิญญาณไว้แต่ครั้งนี้กลับไม่พบอีกาทองคำเกาะอยู่เหมือนเช่นเคย..
  “ต้นหลิวนี่..”
  โจวเหวินอี้พูดได้เพียงเท่านั้นก็นิ่งไปจนหลิงหยุนต้องถามขึ้นว่า “ไม่ทราบอาวุโสต้องการบอกอะไรข้างั้นรึ!”
  แต่โจวเหวินอี้กลับส่ายหน้าและหันไปยิ้มให้หลิงหยุนพร้อมกับพูดเพียงแค่สั้นๆว่า “ยินดีด้วย!”
  “ขอบคุณอาวุโส!”
  ทั้งสองคนต่างก็พูดตอบโต้กันเพียงแค่สั้นๆแต่ต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจความหมายของกันและกันดี..
  โจวเหวินอี้ถอนหายใจออกมาพร้อมกับรำพึงรำพันเสียงเบา“ภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงนับว่ามีพลังชีวิตที่ทรงพลังยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งพลังชีวิตธาตุไม้..
  ระหว่างที่เดินตรงไปยังสวนชั้นที่ห้านั้นโจวเหวินอี้ได้เอ่ยกับหลิงหยุนผ่านทางกระแสจิตว่า
  –เมื่อใดที่เจ้าเข้าร่วมกับหน่วยนภาอย่างเป็นทางการแล้วข้าจะเล่าความลับเมื่อสี่สิบปีก่อนให้เจ้าฟัง!-
  “เล่าตอนนี้ไม่ได้รึ!”หลิงหยุนถามขึ้นด้วยความอยากรู้
  “ไม่ได้!”   และทันทีที่ก้าวเท้าเข้าสู่สวนชั้นที่ห้าซึ่งหลิงหยุนปลูกสมุนไพรหายากไว้มากมายนั้น โจวเหวินอี้ก็ถึงกับร้องอุทานด้วยสีหน้าตกตะลึงไม่น้อย
  “นี่เจ้าปลูกเองทั้งหมดเลยงั้นรึ”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ใช่แล้ว! หากอาวุโสต้องการ ข้ายินดีที่จะมอบให้!”
  หลิงหยุนยิ้มพร้อมตอบกลับไปว่า“ถูกต้อง! หากอาวุโสต้องการ ข้ายินดีที่จะมอบให้!’
  “ไม่หรอก..ไม่จำเป็น!”
  โจวเหวินอี้มีฐานะเป็นถึงหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภาสมุนไพรล้ำค่าหายากเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่เขาขาดแคลนเลย..
  แต่แล้วจู่ๆโจวเหวินอี้ก็หยุดนิ่ง และหันหน้ามามองหน้าหลิงหยุนพร้อมกับถามขึ้นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดวันนี้ข้าจึงต้องมาที่ตระกูลหลิง”
  “หากให้ข้าเดา..อาวุโสคงต้องถูกตระกูลหลงกดดันให้มาใช่หรือไม่”
  “หลิงหยุน..เจ้าช่างเป็นเด็กหนุ่มที่เฉลียวฉลาดยิ่งนัก! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ข้าก็คงไม่ต้องพูดอะไรมากอีกแล้ว เพราะเจ้าย่อมรู้ทุกอย่างดีอยู่แล้ว!”
  “ผู้น้อยหลิงหยุนขอบคุณอาวุโสยิ่งนัก!”
  โจวเหวินอี้ยกมือขึ้นตบบ่าหลิงหยุนพร้อมกับพูดขึ้นว่า“ข้าในฐานะผู้นำอาวุโสของหน่วยนภา จะพยายามช่วยเจ้าให้ถึงที่สุดเท่าที่จะทำได้..”
  หลิงหยุนพยักหน้าเล็กน้อยแล้วจึงพูดกับโจวเหวินอี้ว่า “มีคำพูดที่ผู้น้อยอยากจะบอกอาวุโสไว้ล่วงหน้า..”
  “หากวันข้างหน้า..หากมีคนจากหน่วยนภามาหาเรื่องข้า ข้าก็คงต้องให้บทเรียนกับพวกเขาเพื่อให้หลาบจำเช่นกัน!”
  โจวเหวินอี้ฝืนยิ้มพร้อมกับส่ายหน้า“เจ้านี่มันจริงๆเลย..”
  “เอาล่ะ..ข้าต้องกลับแล้ว!”   แต่ระหว่างที่โจวเหวินอี้กำลังจะก้าวเท้าเดินออกไปนั้นหลิงหยุนก็พูดขึ้นว่า “อาวุโส.. ได้โปรดรอข้าประเดี๋ยว!”
  “มีอะไรอีกงั้นรึ!”โจวเหวินอี้หันไปถามหลิงหยุน
  หลิงหยุนเดินตรงเข้าไปหาโจวเหวินอี้พร้อมกับกำสิ่งของบางอย่างไว้ในมือหลังจากที่ยัดเยียดสิ่งของบางอย่างลงไปในมือของโจวเหวินอี้แล้ว หลิงหยุนจึงพูดขึ้นว่า
  “ผู้น้อยมีของขวัญเล็กน้อยมอบให้กับอาวุโส..”
  โจวเหวินอี้รีบแบมืออกมาดูและเมื่อเห็นแหวนแพลตตินั่มในมือ ก็ถึงกับร้องอุทานออกมาอยางตระหนกตกใจ
  “นี่มัน!”
  หลิงหยุนไม่ตอบและอธิบายเพียงแค่สั้นๆว่า “หลังจากที่อาวุโสกลับไป ขอให้ใช้โลหิตของตนเองหยดลงไปบนแหวนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ จากนั้นก็สามารถใช้งานได้ทันที!”
  “นี่เจ้า..นี่เจ้าให้ข้าจริงๆงั้นรึ!”
  โจวเหวินอี้กำแหวนไว้ในมือแน่นและแนบกำปั้นไว้ที่หน้าอกของตนเองอย่างทะนุถนอม พร้อมกับร้องตะโกนออกมาอย่างมีความสุข
  “ในเมื่อตระกูลหลิงของเจ้ามุ่งมั่นที่จะทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองเช่นนี้ข้าก็จะขอมอบทรัพยากรสำหรับฝึกวิชาให้ตระกูลหลิงของเจ้าเพิ่มเป็นสองเท่าทีเดียว!”
  ยังไม่ทันที่จะพูดจบ..ร่างของโจวเหวินอี้ก็ได้หายลับตาไปแล้ว!
  และเพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวร่างของโจวเหวินอี้ก็ไปปรากฏอยู่ที่หน้าประตูคฤหาสน์ตระกูลหลิง จากนั้นจึงรีบแบมือออกพร้อมกับจ้องมองแหวนในมือตาไม่กระพริบ..
  โจวเหวินอี้กำลังคิดที่จะทำการหยดโลหิตของตนเองลงไปบนแหวนเพราะไม่สามารถอดทนรอไปจนถึงบ้านได้ แต่เมื่อคิดได้ว่าหากหลิงหยุนรู้เข้า คงต้องหัวเราะเยาะเอาแน่ จึงได้เปลี่ยนใจ..
  และทันทีที่ขึ้นไปบนรถสีดำที่จอดอยู่หน้าคฤหาสน์ตระกูลหลิงแล้วก็รีบร้องสั่งให้คนขับรถออกรถทันที
  หลังจากรถแล่นออกมาได้ราวห้ากิโลเมตรโจวเหวินอี้จึงบอกให้จอดรถไว้ข้างทางพร้อมกับสั่งว่า..
  “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่!”
  จากนั้นโจวเหวินอี้ก็ลงจากรถเดินเข้าไปในสวนสาธารณะและตรงดิ่งเข้าไปในป่าลึกเพียงลำพัง..
  โจวเหวินอี้แบมือที่กำแน่นอยู่ตลอดเวลาออกและจ้องมองแหวนแพลตตินั่มในมือพร้อมกับรำพึงรำพันว่า
  “ชาวยุทธต่างพากันร่ำลือว่าหลิงหยุนมีวัตถุพื้นที่เห็นทีจะเป็นแหวนสีเทาบนนิ้วของเขาเป็นแน่!”
  จากนั้นโจวเหวินอี้ก็เริ่มกัดนิ้วของตนแล้วหยดเลือดลงไปบนแหวนตามที่หลิงหยุนบอกแววตาของเขาเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นเมื่อเห็นเลือดซึมเข้าไปในแหวน พร้อมกับร้องอุทานออกมา
  “ได้ผลจริงๆด้วย!”
  ระดับหัวหน้าอาวุโสของหน่วยนภาอย่างโจวเหวินอี้แทบไม่ต้องฝึกสื่อสารใดๆกับแหวนพื้นที่ เขาใช้พลังจิตสำรวจดูภายใน และพบว่าด้านในของแหวนแพลตตินั่มนั้นเป็นห้องสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดสามคูณสามเมตร..
  “สวรรค์!”
  โจวเหวินอี้ร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจจากนั้นจึงรีบทดลองเรียกหินขนาดเท่าฝ่ามือเข้าไปในแหวนพื้นที่
  “นี่มัน..”
  โจวเหวินอี้ร้องอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจจนตัวชา“ข้าอยู่มาจนอายุเจ็ดสิบปี ฝึกวิชามานมนาน คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะได้ครอบครองสมบัติล้ำค่าเช่นแหวนพื้นที่ได้!”
  ความจริงแล้วในคืนก่อนที่โจวเหวินอี้จะมาที่บ้านตระกูลหลิงนั้นเขาก็ได้ครุ่นคิดอยู่ตลอดทั้งคืนว่า ตนเองควรจะมีท่าทีเช่นใดต่อตระกูลหลิงกันแน่
  แต่ในที่สุดก็เลือกที่จะเชื่อฟังคำพูดของอาจารย์ผู้ลึกลับที่บอกว่า‘ยากจะฉุดรั้งได้!’
  และหลังจากที่ได้ใคร่ครวญอย่างถี่ถ้วนแล้วโจวเหวินอี้จึงตัดสินใจเลือกที่จะผูกมิตรกับตระกูลหลิง แต่ก็ต้องการที่จะไปสำรวจความแข็งแกร่งของตระกูลหลิงด้วยตัวเองก่อน..
  ทันทีที่ไปถึงตระกูลหลิง..โจวเหวินอี้ก็ถึงกับตกใจไม่น้อยเมื่อพบว่าภายในคฤหาสน์ตระกูลหลิงมีการวางค่ายกลไว้ถึงสามค่ายกล และได้สัมผัสถึงพลังชีวิตธาตุไม้ที่ทรงพลังของต้นหลิวเทวะวิญญาณ อีกทั้งหลิงลี่ หลิงเสี่ยว รวมทั้งจินเหยียวต่างก็เข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาติแล้วทั้งสิ้น!
  ไม่เพียงเท่านั้น..เขายังพบว่าคนอื่นๆภายในตระกูลหลิงเอง ต่างก็เข้าสู่ขั้นเซียงเทียนกันถ้วนหน้าแล้วเช่นกัน อีกทั้งยังมีแวมไพร์ที่แข็งแกร่งอีกถึงห้าตน!
  แต่หลังจากที่ได้ทดสอบความแข็งแกร่งของหลิงหยุนด้วยตัวเองก็ยิ่งทำให้โจวเหวินอี้ตกใจมากยิ่งขึ้น และยิ่งมั่นใจว่าคงยากที่จะมีสิ่งใดฉุดรั้งตระกูลหลิงไว้ได้อีก!
  ด้วยเหตุนี้โจวเหวินอี้จึงตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดและเลือกที่จะผูกมิตรกับหลิงหยุน และตระกูลหลิงเพื่อประโยชน์ในวันข้างหน้า..
  การที่ตระกูลหลิงแข็งแกร่งขึ้นมาอย่างน่ากลัวเช่นนี้หากหน่วยนภาคิดที่จะสกัดกั้นตระกูลหลิง ก็คงได้แต่ฝันไปเท่านั้น..
  โจวเหวินอี้จึงเลือกที่จะให้ตระกูลหลิงเข้าร่วมกับหน่วยนภาเท่าจำนวนยอดฝีมือที่หายไปเพื่อหาช่องทางที่จะมอบทรัพยากรในการฝึกฝนให้กับตระกูลหลิง เป็นการสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีทางอ้อม..
  และทรัพยากรในการฝึกฝนที่จะมอบให้กับยอดฝีมือหนึ่งคนเพื่อฝึกฝนจนเข้าสู่ขั้นพลังเหนือธรรมชาตินั้น ก็มีจำนวนมากมายมหาศาลแล้ว แต่นี่หลิงหยุนและตระกูลหลิงจะได้รับสิทธิ์ในการได้รับมอบทรัพยากรเหล่านั้นถึงหกคน..
  เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆเพียงแค่เฉินจิ้งเฉวียนคนเดียวที่ได้เข้าร่วมกับหน่วยนภา ก็ได้รับทรัพยากรในการฝึกฝนมากมายจนสามารถทำให้ตระกูลเฉินแข็งแกร่งขึ้นมาได้ถึงเพียงนี้!
  เช่นนี้แล้ว..ตระกูลหลิงซึ่งได้รับสิทธิ์ถึงหกคนนั้น ย่อมสามารถสร้างตระกูลที่แข็งแกร่งเช่นตระกูลเฉินได้ถึงหกตระกูลเลยทีเดียว!
  แต่การที่โจวเหวินอี้มอบข้อเสนอเช่นนี้ให้กับตระกูลหลิงนั้นเขาก็ไม่ได้คิดว่าจะต้องได้รับสิ่งใดตอบแทนจากตระกูลหลิงเลย..
  แต่หลิงหยุนกลับมอบของขวัญที่ล้ำค่าที่สุดให้แก่เขาเป็นการตอบแทน!
  แหวนพื้นที่ซึ่งเป็นสมบัติล้ำค่าและหาได้ยากเช่นนี้ ทำให้โจวเหวินอี้ถึงกับต้องเอ่ยปากที่จะมอบทรัพยากรในการฝึกวิชาให้กับตระกูลหลิงเพิ่มเป็นสองท่า!   “เด็กหนุ่มผู้นี้ช่างหลักแหลมนัก..กลับกลายเป็นข้าที่ต้องติดหนี้เจ้าแทนสินะ!”
  โจวเหวินอี้ถึงกับต้องสงบจิตสงบใจอยู่ครู่ใหญ่และได้แต่พึมพำกับตนเองว่า “เฮ้อ.. คิดไม่ถึงว่าแหวนวงเล็กๆเพียงเท่านี้ จะทำให้จิตใจที่นิ่งสงบของข้าถึงกับกระเพื่อมได้เช่นนี้!”
  “หึ..หลงฮ่าวหลาน เจ้าคิดที่จะยืมมือข้า – โจวเหวินอี้จัดการกับตระกูลหลิง เจ้าอย่าได้ฝันไปเลย!”
  “หลี่เจิ้งเฟิง..เฉียวเปียว.. ในเมื่อข้าเตือนเจ้าแล้ว แต่เจ้ายังอยากจะยื่นมือเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของตี๋ยั่วถังอีก เจ้าคงต้องเจ็บปวดเพราะเด็กหลิงหยุนเป็นแน่..”
  “ใครก็ยากที่จะฉุดรั้งตระกูลหลิงไว้ได้แล้วจริงๆ!”
  จากนั้นโจวเหวินอี้ก็กระโดดออกจากป่าลึกกลับไปที่รถทันที..