ตอนที่ 633 เผ่าลึกลับ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

ภายในห้องโถงรับรอง ฉินอวี้โม่กล่าวเจตนาของตนด้วยสีหน้าเรียบเฉย แม้ยังไม่คุ้นเคยกับหลัวหมิงฮ่าวผู้นี้ นางก็เชื่อว่าเขาเป็นคนที่คู่ควรแก่การร่วมมือด้วย อย่างน้อยที่สุดเขาก็เห็นแก่ประโยชน์ของชนเผ่าเอลฟ์อย่างแท้จริงและเคารพราชินีเอลฟ์จากก้นบึ้งของหัวใจ

หลัวหมิงฮ่าวขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยินวาจาของฉินอวี้โม่

เขาตั้งข้อสันนิษฐานนี้มาก่อนแล้วแต่ก็ยังไม่มั่นใจนัก การที่จู่ ๆ ราชินีเอลฟ์มารดาของเขาก็หลับใหลไม่ได้สติถือว่าเป็นสถานการณ์ที่ประหลาดยิ่งนัก กอปรกับสิ่งที่เขาทราบเกี่ยวกับพี่น้องของตน เขาจึงคล้อยตามกับคำพูดของฉินอวี้โม่ไม่น้อย

“พวกท่านมิใช่ชาวเอลฟ์ !”

หลังจากนิ่งเงียบไปชั่วขณะ หลัวหมิงฮ่าวก็โพล่งออกไปและเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือ

“แม้พวกท่านจะปลอมตัวได้อย่างแนบเนียนและคนธรรมทั่วไปไม่มีทางมองทะลุถึงตัวตนที่แท้จริงของพวกท่านได้ อย่างไรก็ตาม ข้ามีอุปกรณ์วิญญาณอยู่ที่นี่ หากพบกับผู้ที่ไม่มีพลังที่เป็นเอกลักษณ์ของเอลฟ์ มันจะส่งสัญญาณบอก”

เขากล่าวขณะหยิบจี้หยกชิ้นหนึ่งออกมา ขณะนี้มันก็เปล่งแสงสีแดงอย่างเลือนรางซึ่งดูแปลกตาเล็กน้อย

“ไม่ว่าพวกเราจะเป็นชาวเอลฟ์หรือไม่ สุดท้ายแล้วจุดประสงค์ของเราก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันและย่อมร่วมมือกันได้”

ฉินอวี้โม่ก็ต้องยอมรับว่าหลัวหมิงฮ่าวผู้นี้เฉลียวฉลาดไม่เบา บางคราการปฏิเสธสิ่งที่เป็นความจริงอาจทำให้ความสัมพันธ์ด้านการร่วมมือระหว่างกันได้รับผลกระทบ ไม่ว่าจะมาจากที่ใด นางก็เชื่อว่าตนมีจุดมุ่งหมายเช่นเดียวกับหลัวหมิงฮ่าว และนั่นก็คือการปกป้องชนเผ่าเอลฟ์เพื่อมิให้เกิดเรื่องร้ายใด ๆ ขึ้น

“ข้าเพียงสงสัยเล็กน้อย…ท่านเข้ามาในชนเผ่าเอลฟ์ได้อย่างไรและเหตุใดจึงสนใจสถานการณ์ของชาวเอลฟ์มากนัก ?”

หลัวหมิงฮ่าวมองทั้งสามอย่างสงสัยใคร่รู้และตั้งตารอคำอธิบาย ถึงอย่างไรชาวเอลฟ์ก็มิได้ติดต่อสื่อสารกับคนภายนอกมากนักตลอดเวลาที่ผ่านมา และเผ่าพันธุ์มนุษย์ก็ไม่เคยให้ความสำคัญหรือสนใจสถานการณ์ของชนเผ่าเอลฟ์ การที่ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเดินทางมาเยือนชนเผ่าเอลฟ์อย่างกะทันหันเช่นนี้ทำให้เขาประหลาดใจยิ่งนัก

“แน่นอนว่าเราจะบอกท่านตามความจริง สาเหตุที่เรามาที่ชนเผ่าเอลฟ์เป็นเพราะสั่วซีหย่าสัมผัสได้ว่าเกิดเรื่องบางอย่างขึ้นกับชนเผ่า และชนเผ่าเอลฟ์ก็มีต้นโพธิ์ที่เราตามหามานาน อีกอย่าง…ชาวเอลฟ์มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกับพวกเราและนั่นก็คือการที่มีฝ่ายมารเป็นศัตรูร่วมกัน แน่นอนว่าเราไม่อาจทนมองชนเผ่าเอลฟ์ถูกขุมกำลังมารร้ายครอบงำโดยไม่ลงมือทำสิ่งใด นั่นคือสาเหตุที่เรามาที่นี่ด้วยตัวเอง”

นางกล่าวอธิบายจุดประสงค์ของตนอย่างชัดเจน และต่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างตนและหลัวหมิงฮ่าวจะต้องแตกหักเพราะความจริงนี้ นางก็ไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย

“ฝ่ายมาร…ต้นโพธิ์…ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้เกิดอะไรขึ้นกับโลกภายนอกหรือ ?”

หลัวหมิงฮ่าวไม่ทราบเกี่ยวกับสถานการณ์ของโลกภายนอกมากนัก เขาทราบเรื่องสงครามที่เกิดขึ้นเมื่อพันปีก่อนจากคำบอกเล่าของมารดาเท่านั้นและนั่นก็เป็นข้อมูลเพียงเล็กน้อย ตอนนี้เมื่อได้ทราบเกี่ยวกับฝ่ายมารและต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ หัวใจของเขาก็เป็นกังวลขึ้นมา

ฉินอวี้โม่เล่าเรื่องราวสิ่งที่เกิดขึ้นกับโลกภายนอกให้หลัวหมิงฮ่าวได้ทราบและกล่าวว่าชนเผ่าเอลฟ์ควรเตรียมความพร้อมโดยเร็ว ถึงอย่างไรอิทธิพลของฝ่ายมารก็แผ่ขยายออกไปกว้างไกลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตระกูลโบราณบางตระกูลก็ร่วมมือกับฝ่ายมารแล้วและอาจไม่สามารถแก้ไขได้อีก

“ข้าเข้าใจแล้ว”

เมื่อทราบถึงเรื่องภายนอกที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน หลัวหมิงฮ่าวก็ตระหนักถึงวิกฤตในหัวใจ เมื่อเปรียบเทียบกับหายนะที่จะเกิดขึ้นเพราะขุมกำลังมารร้าย ความขัดแย้งระหว่างเขาและพี่น้องทั้งหลายกลายเป็นเรื่องเล็กไปโดยปริยาย ในใจของเขามีข้อสงสัยอยู่บ้างแล้วว่าความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับชนเผ่าเอลฟ์ในช่วงที่ผ่านน่าจะต้องเกี่ยวข้องกับฝ่ายมารไม่ผิดแน่ และพี่น้องบางคนของเขาก็อาจร่วมมือกับฝ่ายมารก็เป็นได้

“ข้าจะหาทางพาพวกท่านเข้าไปในเมืองราชวงศ์เอลฟ์ หวังว่าท่านจะหาวิธีทำให้ท่านแม่ของข้าฟื้นขึ้นมาได้ ในระหว่างนี้ ข้าจะส่งคนไปจับตาดูพี่น้องของข้า หากเกิดอะไรขึ้น เราจะได้รับข่าวตั้งแต่เนิ่น ๆ ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ข้าจะพาพวกท่านไปที่ต้นเอลฟ์ศักดิ์สิทธิ์ ทว่าในช่วงที่ผ่านมานี้พี่ใหญ่ของข้าได้คุ้มกันสถานที่แห่งนั้นอย่างแน่นหนาจนแม้แต่หลัวหมิงซีก็ไม่อาจเข้าไปใกล้ได้ แม้ท่านจะมีคฤหาสน์มิติที่สองก็อาจจะไม่สามารถลักลอบเข้าไปได้”

หลังจากทำความเข้าใจความสัมพันธ์เชิงร่วมมือกันแล้ว แน่นอนว่าหลัวหมิงฮ่าวก็ไม่ลังเลอีกต่อไปและยอมรับข้อตกลงต่าง ๆ ของฉินอวี้โม่ในทันที เขาตระหนักดีว่าเวลานี้อนาคตของชนเผ่าเอลฟ์อยู่ในมือของตนแล้ว

“เอาล่ะ หากเป็นไปได้ ข้าขอวานท่านช่วยสืบเรื่องบิดาของสั่วซีหย่าด้วย บิดาของนางน่าจะมีสถานะสูงพอสมควรในชนเผ่าเอลฟ์ ยิ่งไปกว่านั้น มีใครบางคนแอบส่งคนไปสังหารสั่วซีหย่าและมารดา คนผู้นั้นน่าจะเป็นคนที่ทราบเกี่ยวกับตัวตนของสั่วซีหย่าและมารดาของนางเป็นอย่างดี หรือท่านจะลองสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับเอลฟ์ที่ออกไปจากชนเผ่าเมื่อหลายสิบปีก่อนและมีการตบแต่งภรรยาในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ข้าเชื่อว่าท่านน่าจะได้เบาะแสบางอย่างมา”

ฉินอวี้โม่ตั้งข้อสันนิษฐานใจแล้วทว่ายังไม่เคยกล่าวออกไป นางคิดว่าอาจมีบางอย่างเกิดขึ้นกับบิดาของสั่วซีหย่า ผู้ที่ส่งคนออกไปกำจัดสั่วซีหย่าและมารดาน่าจะเป็นภรรยาคนใหม่ของเขา ถึงอย่างไรก็มีเพียงน้อยคนเท่านั้นที่คิดจะกำจัดสองแม่ลูกที่บริสุทธิ์ไร้พิษภัย

นางได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ทะเลสาบให้กับหลัวหมิงฮ่าวฟังเช่นกัน ก่อนวานให้เขาช่วยสืบหาข้อมูลเกี่ยวกับบิดาของสั่วซีหย่า หากสามารถตามหาบิดาของสตรีลูกครึ่งเอลฟ์ได้และยืนยันลักษณะนิสัยของเขา พวกนางก็อาจได้ความช่วยเหลือที่เพิ่มมากขึ้นและมันยังช่วยให้พวกนางวางแผนและเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นภายในชนเผ่าเอลฟ์

แน่นอนว่าหลัวหมิงฮ่าวพยักศีรษะตอบรับเบา ๆ ก่อนมองไปที่สั่วซีหย่าและพยายามนึกย้อนในหัวอย่างรวดเร็ว ทว่าเขาก็ไม่สามารถนึกถึงผู้ใดขึ้นมาได้

ตลอดหลายวันต่อมา ฉินอวี้โม่ หานโม่ฉือและสั่วซีหย่าก็พักอาศัยอยู่ในเรือนของหลัวหมิงฮ่าว สำหรับหลัวหมิงซี การที่ต้องเผชิญกับความอับอายขายขี้หน้าอย่างที่สุด เขาก็ไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน หลัวหมิงฮ่าวให้คำมั่นว่าจะช่วยพวกนางจัดการเรื่องนี้และนั่นทำให้พวกนางคลายกังวลได้ ตราบใดที่รอฟังข่าวความคืบหน้าจากหลัวหมิงฮ่าวและหาทางเข้าไปพบกับราชินีเอลฟ์ พวกนางจะได้วางแผนการขั้นต่อไป

ในอีกฟากหนึ่งของชนเผ่าเอลฟ์ ณ คฤหาสน์ขององค์ชายสี่ภายในเมืองราชวงศ์ของชนเผ่า บรรยากาศตลอดหลายวันที่ผ่านมาอึมครึมและหม่นหมองยิ่งนัก นับตั้งแต่หลัวหมิงซีกลับจากเมืองอู๋ซีในวันนั้น เขาก็กลายเป็นคนเสียสติและสังหารนางบำเรอของตนไปนับสิบคนติดต่อกัน

หลังจากกลับมาในวันนั้น เขาก็เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้กับหลัวหมิงรุ่ย—พี่ชายของเขาซึ่งเป็นองค์ชายใหญ่แห่งชนเผ่าเอลฟ์ฟัง เขาคิดว่าพี่ชายที่รักและช่วยเหลือเขามาโดยตลอดจะฉุนเฉียวขึ้นมาและหาทางทวงความยุติธรรมให้กับตน ไม่คิดเลยว่าหลัวหมิงรุ่ยจะกล่าวตำหนิต่อว่าเขาอย่างรุนแรงและยังกล่าวอีกว่าเขาควรจะตระหนักถึงสถานการณ์ในตอนนี้ ยิ่งไปกว่านั้น องค์ชายใหญ่ก็สั่งให้เขาเก็บตัวดูแลตัวเองและห้ามสร้างปัญหาใดเพิ่มเติมอีก

แน่นอนว่าเมื่อถูกกล่าวตำหนิและไม่ได้รับความช่วยเหลือเช่นนั้น หลัวหมิงซีก็โกรธเคืองอย่างยิ่งทว่าไม่กล้าขัดคำสั่งของผู้เป็นพี่ชาย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงกลับไปที่คฤหาสน์องค์ชายสี่ด้วยความหดหู่ใจ

เขาเรียกพบนางบำเรอจำนวนหนึ่งและหมายที่จะสมสู่เพื่อระบายอารมณ์ฉุนเฉียวในใจ แต่แล้วเขาก็ต้องพบว่าเมื่อสตรีงามอยู่ในอ้อมแขน ไม่ว่าพยายามเพียงใดเขาก็ไม่สามารถทำให้อาวุธของตนผงาดขึ้นมาได้

การค้นพบนี้ทำให้หลัวหมิงซีหวั่นใจอย่างที่สุด เขารีบไปพบหมอโดยทันที แต่ก็ไม่อาจตรวจพบความผิดปกติใด ๆ ได้

หลังจากนั้นเขาเรียกพบนางบำเรออีกหลายสิบคนทว่าทั้งหมดล้วนลงเอยด้วยผลลัพธ์เช่นเดียวกัน แน่นอนว่าโทสะของเขาพลุ่งพล่านอย่างมิอาจควบคุมและโทษว่าทั้งหมดนี้เป็นความผิดของนางบำเรอเหล่านั้นก่อนลงมือสังหารพวกนางอย่างเหี้ยมโหดเพื่อระบายความโกรธเกรี้ยว

แน่นอนว่าการระเบิดอารมณ์อย่างเกินควบคุมของหลัวหมิงซีทำให้ทั้งคฤหาสน์องค์ชายสี่ตกอยู่ในสภาวะตื่นตระหนก บรรยากาศตลอดหลายวันที่ผ่านมาดำเนินไปอย่างเศร้าโศกและสิ้นหวัง

หลังจากสังหารนางบำเรอไปอีกหลายคน ในที่สุดหลัวหมิงซีก็ตระหนักได้ว่าปัญหาอยู่ที่ตัวเขาเอง หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบ เขาก็นึกถึงการเผชิญหน้าระหว่างตนและฉินอวี้โม่ก่อนหน้านี้ที่หน้าประตูเมืองอู๋ซี

เขาตั้งข้อสันนิษฐานในทันทีว่าความผิดปกติของร่างกายเขาจะต้องเกี่ยวข้องกับฉินอวี้โม่และอีกสองคนอย่างแน่นอน

“ฉินอวี้โม่ องค์ชายผู้นี้ไม่มีทางปล่อยเจ้าไว้แน่ !”

หลัวหมิงซีตะโกนกร้าวและลืมคำสั่งก่อนหน้านี้ของหลัวหมิงรุ่ยไปเสียสนิท จากนั้นเขาก็รวบรวมผู้ติดตามและนำคนจำนวนมากมุ่งหน้าไปในทิศทางของเมืองอู๋ซีด้วยอารมณ์คุกรุ่น

ในขณะเดียวกัน ฉินอวี้โม่และคนอื่น ๆ ที่อยู่ในเมืองอู๋ซีก็ได้รับข่าวความเคลื่อนไหวนี้

“ท่านจอมยุทธ์ฉินอวี้โม่ เรื่องที่เกิดขึ้นกับพี่สี่เป็นฝีมือของท่านใช่หรือไม่ ?”

หลัวหมิงฮ่าวคาดเดาได้ในทันทีว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะต้องเป็นฝีมือของจอมยุทธ์ทั้งสามอย่างแน่นอน ทว่าเขาไม่โกรธแค้นหรือเคืองใจแต่อย่างใด เขาไม่ชอบหน้าพี่สี่ของตนอยู่แล้วและไม่สนใจว่าคนผู้นั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้น หลัวหมิงซีก็เป็นฝ่ายที่ยั่วยุหาเรื่องฉินอวี้โม่และทั้งสองคนก่อน เพราะฉะนั้นการที่พวกนางตอบโต้กลับก็ไม่ถือว่าเป็นความผิด

“ฮ่า ๆ ๆ การที่ต้องการจะจัดการกับคนอย่างเขา วิธีการเช่นนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว เขาจะต้องจดจำอย่างมิอาจลืมเลือน”

ฉินอวี้โม่ยิ้มบาง ๆ นางคาดหวังผลลัพธ์เช่นนี้ไว้ก่อนแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ก็กล่าวโทษได้เพียงแค่หลัวหมิงซีเท่านั้นและไม่สามารถกล่าวโทษผู้ใดอื่น

“ก็จริงอย่างที่ว่า คนอย่างเขา…การต้องชดใช้เช่นนี้ถือว่าสาสมแล้ว เพียงแต่น่าเห็นใจเหล่าสตรีที่ถูกเขาจับตัวไปจากบ้านเมืองและเผชิญชะตากรรมอันเลวร้าย”

หลัวหมิงฮ่าวถอนหายใจอย่างจนปัญญาก่อนกล่าว “คนของข้าได้ข่าวมาว่าเขากำลังเดินทางมาที่เมืองอู๋ซีพร้อมกับผู้ติดตามจำนวนมาก เป้าหมายของเขาจะต้องเป็นพวกท่านอย่างแน่นอน คนของเขาครานี้มีจอมยุทธ์ขอบเขตนภาเซียนสามคนและจอมยุทธ์พสุธาเซียนขั้นสูงสุดอีกนับสิบคน แม้ว่าเราจะไม่เกรงกลัว แต่กองกำลังที่ทรงพลังเช่นนี้ก็คงจะเป็นปัญหาไม่น้อยทีเดียว”

แม้ว่าเผ่าอู๋เหวยของพวกเขาจะไม่เกรงกลัวหลัวหมิงซี ทว่าหากต่อสู้ทำสงครามกันจริง ๆ มันก็จะนำพาปัญหาใหญ่มาอย่างแน่นอน เขามิใช่คนกระหายเลือดรักการต่อสู้และไม่ต้องการให้ผู้อื่นต้องบาดเจ็บล้มตายเพราะเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม เขาให้คำมั่นกับฉินอวี้โม่แล้วว่าจะช่วยจัดการเรื่องนี้และจะไม่ผิดคำสัญญานั้นอย่างแน่นอน

“หึ ในเมื่อกล้ามาที่นี่แล้วก็อย่าให้โอกาสเขากลับไปอีกเลย ข้าก็อยากเห็นเหมือนกันว่าหลัวหมิงรุ่ยจะมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร”

หานโม่ฉือกล่าวอย่างเย็นชา เขาทราบความสัมพันธ์ระหว่างหลัวหมิงซีและหลัวหมิงรุ่ยเป็นอย่างดี เขาจึงต้องการใช้โอกาสนี้เพื่อทดสอบบางอย่างดู

เมื่อได้ยินวาจาเรียบเฉยของหานโม่ฉือ หลัวหมิงฮ่าวก็ส่ายศีรษะอย่างจนปัญญา คนทั้งสามน่าหวาดหวั่นอย่างแท้จริง หากมิใช่เพราะว่าร่วมมือกันแล้ว การที่ต้องเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้เช่นทั้งสามคนนี้ เกรงว่าจุดจบของเขาคงมีเพียงความสิ้นหวัง

“อีกอย่าง… เรื่องบิดาของสั่วซีหย่า ข้าสืบเบาะแสบางอย่างมาได้ หากเดาไม่ผิด บิดาของนางน่าจะเกี่ยวข้องกับผู้นำของเผ่าลึกลับนั่น”

.