ตอนที่ 634 มาหาความตาย

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

นอกเหนือจากบรรดาเผ่าที่ถูกปกครองโดยองค์ชายและองค์หญิง ชนเผ่าเอลฟ์ก็ยังมีเผ่าพิเศษอื่นอยู่เช่นกันและเผ่าดังกล่าวก็แตกต่างไปจากเผ่าอื่น ๆ อย่างยิ่ง

เผ่าลึกลับนี้ไม่อยู่ภายใต้การปกครองของราชินีเอลฟ์และผู้นำของเผ่าก็มีสถานะที่สูงกว่าบรรดาองค์ชายและองค์หญิงเสียอีก ทว่าตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเขาก็อยู่เพียงภายในอาณาเขตของตนเองและแทบไม่เคยออกมาพบผู้คนภายนอก

ถึงกระนั้นก็ไม่มีผู้ใดที่กล้าเมินเฉยต่อการดำรงอยู่ของเผ่านั้น กล่าวกันว่าในอดีต ผู้นำของเผ่านี้ก็เกือบที่จะกลายเป็นราชาเอลฟ์ เพราะเหตุนั้นเหล่าองค์ชายจึงเคารพเผ่าดังกล่าวอย่างมากและต้องการทาบทามพวกเขาเข้ามาร่วมด้วยหลายครา ทว่าก็ไม่เคยมีผู้ใดทำสำเร็จ

ผู้นำเผ่าลึกลับประกาศตัวอย่างชัดเจนว่าตราบใดที่มิใช่เรื่องสำคัญในระดับที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของชนเผ่าเอลฟ์ พวกเขาจะไม่เข้ามามีส่วนร่วมในความขัดแย้งและความบาดหมางภายในชนเผ่า

เพราะเหตุนั้น เผ่าของพวกเขาจึงเงียบสงบมาตลอด เหล่าผู้ที่หมายจะสืบทอดตำแหน่งราชาเอลฟ์ก็ล้วนแข่งขันแย่งชิงกันและเฝ้าระวังเผ่าลึกลับนั้นในเวลาเดียวกัน หากมิใช่เพราะการดำรงอยู่ของพวกเขา เกรงว่าชนเผ่าเอลฟ์อาจไม่สงบนิ่งอยู่เช่นนี้

“จากที่ท่านกล่าวมา เผ่าดังกล่าวก็น่าจะปลีกวิเวกอย่างมาก ทว่ามารดาของท่านไม่กังวลหรือว่าเผ่านั้นจะมีความคิดที่จะต่อสู้เพื่อชิงตำแหน่งผู้ปกครองของชนเผ่าเอลฟ์ ?”

ฉินอวี้โม่กล่าวข้อสงสัยของตนออกไป นางไม่เชื่อว่าผู้ที่มีสถานะไม่ธรรมดาเช่นนั้นจะไม่มีความปรารถนาในอำนาจ เกรงว่าเผ่าลึกลับดังกล่าวคงจะไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน

“หึ หากเขามีความคิดเช่นนั้นจริง มารดาของข้าก็คงมอบตำแหน่งผู้ปกครองเอลฟ์ให้กับเขาไปแล้ว !”

หลัวหมิงฮ่าวกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยและมั่นใจในความคิดดังกล่าวอย่างที่สุด

ในอดีตครานั้น หากมิใช่เพราะการปกป้องอย่างสุดความสามารถของผู้นำเผ่าลึกลับนั้น ราชินีเอลฟ์หลัวจื๋อหยิน—มารดาของเขาก็คงจะไม่มีชีวิตอยู่มาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากสิ้นสุดสงครามครั้งใหญ่เมื่อพันปีก่อน ไม่ว่าจะเป็นความแข็งแกร่งหรืออำนาจบารมี ผู้นำเผ่าคนดังกล่าวก็เหนือกว่ามารดาของเขาทุกประการ

เพียงแต่ผู้นำเผ่าลึกลับไม่มีความสนใจในตำแหน่งราชาเอลฟ์ เขาจึงสละตำแหน่งดังกล่าวให้กับหลัวจื๋อยิน เพราะเหตุนั้นจึงสามารถยืนยันได้ว่าผู้นำเผ่าลึกลับนั่นไม่ใช่บุรุษที่สนใจในอำนาจและอิทธิพล

“เขามีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับมารดาของท่านอย่างไร ?”

สั่วซีหย่าขมวดคิ้วเล็กน้อยและกล่าวถาม ในเมื่อมีความเป็นไปได้ว่าคนผู้นั้นคือบิดาที่ไร้ความรับผิดชอบของตนจริง หากเขาชอบพอกับราชินีเอลฟ์คนปัจจุบัน เหตุใดเขาจึงไปยุ่งเกี่ยวกับมารดาของตนอีก ?

“เขาเป็นลุงแท้ ๆ ของข้าและเป็นพี่ชายของท่านแม่ เขามีชื่อว่าหลัวจื้อเลี่ย เมื่อยี่สิบปีก่อน เขาเดินทางออกไปจากชนเผ่าเอลฟ์ของเรา ทว่าหลังจากนั้นไม่กี่ปี เขาก็กลับมาเพราะเกิดเรื่องบางอย่างในเผ่าของเขาและตบแต่งกับภรรยาคนปัจจุบันของเขาเพียงไม่นานหลังจากที่กลับมา อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ข้าสืบทราบมา เขาเคยส่งคนออกไปข้างนอกเพื่อตามหาใครบางคนทว่าไม่เคยพบคนผู้นั้น นอกจากนี้ก็มีเรื่องที่แปลกมาก เดิมทีเขาไม่เคยมีความคิดที่จะแต่งงานกับภรรยาคนปัจจุบันนี้ ทว่าข้าก็ไม่เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงเกิดเปลี่ยนใจขึ้นมาในภายหลัง”

หลัวหมิงฮ่าวไม่ปิดบังสิ่งใดและบอกฉินอวี้โม่ทุกอย่างที่สืบทราบ เขาไม่ทราบสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตมากนัก สาเหตุที่ได้ข้อมูลเหล่านี้มาเพียงเพราะเขามีชื่อเสียงที่ดีในหมู่เอลฟ์และมีบางคนบอกกล่าวมาอีกทอดหนึ่ง

บางทีราชินีเอลฟ์มารดาของเขาอาจจะทราบข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปีนั้นมากกว่า ทว่าน่าเสียดายที่ตอนนี้หลัวจื๋อยินยังไร้สติและไม่มีทางอธิบายอะไรได้ หากต้องการข้อมูลที่แน่ชัดว่าคนผู้นั้นใช่บิดาของสั่วซีหย่าจริง พวกนางทำได้เพียงไปที่เผ่าลึกลับด้วยตัวเอง

อย่างไรก็ตาม ข่าวสารที่ได้รับจากหลัวหมิงฮ่าวทำให้ฉินอวี้โม่และทั้งสองมั่นใจมากขึ้นว่าผู้นำเผ่าที่กล่าวถึงน่าจะใช่บิดาของสั่วซีหย่า และการที่เขาทอดทิ้งสั่วซีหย่าและมารดาอย่างกะทันหันและกลับมาที่ชนเผ่าเอลฟ์ในครานั้นน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับภรรยาคนปัจจุบันของเขา การตายของมารดาของสั่วซีหย่ารวมถึงสิ่งที่ฉินอวี้โม่ทราบมาก่อนหน้านี้ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับภรรยาผู้นี้เช่นกัน

“หากเจ้าเป็นบุตรสาวของท่านลุงจริง ๆ จากนั้นเจ้าก็ถือว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของข้า ตลอดหลายปีที่ผ่านมา แม้ท่านลุงจะมีนางสนมหลายคน ทว่าเขาก็ไม่มีทายาทสืบทอด ข้าเชื่อว่าน่าจะมีเหตุผลจำเป็นบางอย่าง เขาจึงต้องจำใจทอดทิ้งเจ้าในตอนนั้น”

หลัวหมิงฮ่าวรักและเคารพท่านลุงของเขาเสมอมา ในช่วงวัยเด็ก เขามักจะไปเที่ยวเล่นที่เผ่านั้นหลายครา หลัวจื้อเลี่ยรักและเอ็นดูเขาอย่างมากเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น ตลอดเวลานับพันปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยมีบุตรกับผู้ใดซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก หากเขาเป็นบิดาของสั่วซีหย่าจริง ๆ หลัวหมิงฮ่าวเชื่อว่าเขาน่าจะรักมารดาของสตรีลูกครึ่งเอลฟ์เป็นอย่างมาก

“ไม่ว่าเรื่องราวที่ผ่านมาจะเป็นอย่างไร เราจะได้ทราบในอีกไม่ช้า ในเมื่อหลัวจื้อเลี่ยเป็นลุงของท่าน ข้าเชื่อว่าท่านน่าจะพาเราเข้าไปที่เผ่านั้นได้ เมื่อได้พบกับสั่วซีหย่า เราจะได้เห็นเองว่าเขาจะตอบสนองอย่างไร”

ฉินอวี้โม่กล่าวขึ้นเบา ๆ นางเองก็สงสัยใคร่รู้เกี่ยวกับหลัวจื้อเลี่ยมากเช่นกัน หากเป็นอย่างที่หลัวหมิงฮ่าวบอกกล่าวจริงก็ถือว่าเขาเป็นคนที่ประหลาดไม่น้อย

สั่วซีหย่าพยักศีรษะเบา ๆ อย่างมีความคาดหวังในหัวใจ นางอยากทราบความเป็นอยู่ของบิดาที่พลัดพรากจากกันมานาน มารดาของนางต้องตายไปอย่างน่าอนาถโดยที่เฝ้ารอบุรุษคนรักที่ทอดทิ้งไปตลอดชีวิตและต้องลงเอยด้วยชะตากรรมเช่นนั้น หากเขาเป็นคนจิตใจโหดเหี้ยมและชั่วร้าย สั่วซีหย่าจะทวงความยุติธรรมให้กับตนและมารดาผู้ล่วงลับอย่างแน่นอน

“แน่นอนว่าไม่มีปัญหา พวกท่านสามารถปลอมตัวเป็นองครักษ์ของข้าและไปที่เผ่านั้นด้วยกันได้ จะว่าไปแล้ว…ข้าก็ไม่ได้พบหน้าท่านลุงมานานมากกว่าสิบปี ไม่รู้เลยว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง”

หลัวหมิงฮ่าวกล่าวพร้อมรอยยิ้มและตอบตกลงโดยไม่ลังเล หากเขาสามารถโน้มน้าวใจให้หลัวจื้อเลี่ยร่วมมือด้วยได้ สิ่งต่าง ๆ ก็จะง่ายขึ้นมาก

หลังจากคำนวณวันเวลา ทั้งสองฝ่ายก็ตัดสินใจที่จะออกเดินทางในอีกสามวัน จากนั้นทุกคนก็แยกย้ายกันไปพักในห้องของตนเอง

สาเหตุที่ทั้งสองฝ่ายกำหนดเวลาอีกสามวันข้างหน้าเป็นเพราะหลัวหมิงซีกำลังนำกลุ่มผู้ติดตามของเขามาที่นี่และคาดว่าจะมาถึงในอีกหนึ่งหรือสองวัน หากยังไม่สะสางเรื่องขององค์ชายสี่ มันจะกลายเป็นปัญหากวนใจในไม่ช้า ในเมื่อเขากล้ามาหาที่ตายด้วยตัวเอง หากปล่อยไปง่าย ๆ ก็คงจะมิใช่วิธีการของฉินอวี้โม่

และก็เป็นจริงดังที่คิดไว้ ในเช้าตรู่ของวันที่สอง หลัวหมิงซีมุ่งหน้ามาถึงเผ่าอู๋เหวยด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราดและอารมณ์คุกรุ่น

“หลัวหมิงฮ่าว ฉินอวี้โม่ โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้ !”

เสียงตะโกนเกรี้ยวกราดของเขาดังก้องไปทั่วเผ่าอู๋เหวยทันที

ทุกคนในเผ่าอู๋เหวยทราบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นหน้าประตูเมืองในวันนั้นเป็นอย่างดี รวมถึงทราบว่าฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือเป็นแขกคนสำคัญของผู้นำเผ่าของตน เพราะเหตุนั้นทุกคนจะพยายามปกป้องแขกอย่างเต็มที่ เมื่อได้ยินเสียงขององค์ชายสี่ ทุกคนจึงออกจากบ้านพักของตนและต้องการที่จะติดตามหลัวหมิงฮ่าวไปเพื่อให้กำลังใจพวกเขา

“หลัวหมิงซี การที่ท่านพาคนมากมายมาตะโกนโหวกเหวกถึงเผ่าอู๋เหวยเช่นนี้ ท่านคิดจะละเมิดกฎระเบียบของเราอย่างนั้นรึ ?”

หลัวหมิงฮ่าวปรากฏตัวขึ้นมาตรงหน้าหลัวหมิงซีทันที เขากวาดสายตามองคณะผู้ติดตามของพี่ชายก่อนกล่าวขึ้นเบา ๆ อย่างไม่ยอมจำนน

เผ่าใหญ่ทั้งหลายมีข้อตกลงร่วมกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น จะไม่มีผู้ใดที่สามารถบุกไปสร้างปัญหาหรือความวุ่นวายให้กับเผ่าอื่น มิฉะนั้น ผู้ที่ละเมิดกฎจะได้รับบทลงโทษอย่างหนักจากราชินีเอลฟ์

อย่างไรก็ตาม บัดนี้ราชินีเอลฟ์ยังคงไม่ฟื้นขึ้นมา กฎดังกล่าวจึงถูกลืมเลือนและมองข้ามไปโดยปริยาย

“ฮ่า ๆ ๆ น่าขันชะมัดที่เจ้ายังกล้าบอกข้าเกี่ยวกับกฎอะไรนั่น เจ้าปกป้องผู้ที่ทำร้ายองค์ชายสี่ผู้นี้และให้การต้อนรับอย่างดีเป็นดั่งแขกคนสำคัญของเผ่าอู๋เหวย การที่เจ้าปล่อยให้พวกเขาทำร้ายข้าก็ถือว่าเป็นความผิดของเจ้าเช่นกัน !”

ความจริงที่ว่าหลัวหมิงซีไม่สามารถใช้งาน ‘ส่วนนั้น’ ได้ทำให้เขาแทบเสียสติ ในหัวใจของเขาตอนนี้ นอกเหนือจากความต้องการทำให้ฉินอวี้โม่และสหายอับอายอย่างที่สุด เขาก็ไม่สนใจเรื่องอื่นใดอีก เพราะเหตุนั้น การที่ราชินีเอลฟ์ไม่ได้สติขึ้นมาไม่ถือเป็นเรื่องสำคัญด้วยซ้ำ ต่อให้นางจะฟื้นขึ้นมา เขาก็ไม่สนใจกฎปฏิบัติใด ๆ อีกต่อไป

“โอ้ งั้นรึ ? ทุกคนเห็นเหตุการณ์อย่างชัดเจนว่าท่านกระทำการดูหมิ่นแขกคำสำคัญของข้าก่อน แน่นอนว่าพวกนางมีสิทธิ์ตอบโต้ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ท่านพร่ำกล่าวว่าเป็นฝ่ายถูกทำร้าย ท่านไม่คิดว่ามันแปลกไปหน่อยหรือ ? บอกมาสิว่าท่านถูกทำร้ายอย่างไร ? ท่านบาดเจ็บตรงไหนรึ ?”

หลัวหมิงฮ่าวเป็นคนเจ้าเล่ห์ไม่น้อยเช่นกัน ประโยคตอบโต้ของเขาทำให้หลัวหมิงซีพูดไม่ออกและชะงักนิ่งไปทันที เขาเพียงต้องการเห็นว่าหลัวหมิงซีจะกล้าพอที่จะกล่าว ‘อาการบาดเจ็บ’ ของตนต่อหน้าทุกคนหรือไม่

“เจ้า…”

หลัวหมิงซีโกรธจนเลือดขึ้นหน้าทันที อาการบาดเจ็บที่เห็นได้ชัดทั้งหมดของเขาก่อนหน้านี้หายดีทั้งหมดแล้ว แขนที่ขาดก็ได้รับการต่อและกลับสู่สภาวะเดิม เพียงแต่…เขาจะกล่าวถึงปัญหา ‘เรื่องนั้น’ ได้อย่างไร ? หากเขาประกาศออกไปต่อหน้าทุกคน หลัวหมิงซีผู้ยิ่งใหญ่อย่างเขาจะกลายเป็นตัวตลกและถูกหัวเราะเยาะไปตลอดชีวิต ไม่ว่าอย่างไรเขาจะไม่มีทางกล่าวออกไปอย่างแน่นอน

“หลัวหมิงฮ่าว อย่าพยายามเปลี่ยนเรื่อง รีบบอกมาซะว่าเจ้าจะส่งตัวฉินอวี้โม่และอีกสองคนมาให้ข้าหรือไม่ หากเจ้าไม่ตกลง อย่ากล่าวโทษที่ข้าจะทำลายเผ่าของเจ้าก็แล้วกัน !”

หลัวหมิงฮ่าวไม่ตอบคำถามทว่ากล่าววาจาข่มขู่อย่างเปิดเผย ครานี้เขาเตรียมความพร้อมมาอย่างเต็มที่และบรรดาผู้ติดตามของเขาล้วนแข็งแกร่งไม่ธรรมดา เขาเชื่อว่าเผ่าอู๋เหวยไม่มีจอมยุทธ์ทรงพลังมากนักและเขาก็อยากเห็นด้วยตาตัวเองว่าหลัวหมิงฮ่าวจะเลือกปกป้องคนแปลกหน้าสามคนหรือเผ่าอู๋เหวยของตน

“จิ๊จิ๊ องค์ชายสี่ช่างยโสโอหังจริงเชียว !”

น้ำเสียงเจือความเย้ยหยันของฉินอวี้โม่ดังขึ้นก่อนที่นาง หานโม่ฉือและสั่วซีหย่าจะก้าวออกมาปรากฏตัวตรงหน้าทุกคน

คนของหลัวหมิงซีไม่รอช้าและเหาะขึ้นกลางอากาศทันที ฉินอวี้โม่และหานโม่ฉือก็ลอยตัวขึ้นกลางอากาศอย่างช้า ๆ เช่นกันโดยยืนอยู่ข้างกายหลัวหมิงฮ่าวและเผชิญหน้าอยู่ตรงข้ามหลัวหมิงซี

“พวกบัดซบ ! ข้าจะฆ่าพวกเจ้าให้หมด !”

เมื่อพบหน้าอริทั้งสาม หลัวหมิงซีก็เดือดดาลทันที เพียงนึกถึงความอัปยศอดสูที่ต้องเผชิญ เขาก็อยากจะพุ่งตรงออกไปและโจมตีอีกฝ่ายทันที

“จิ๊จิ๊จิ๊ ได้ยินมาว่าจู่ ๆ องค์ชายสี่ก็เกิดไม่พอใจกับบรรดาสตรีงามข้างกาย หรือว่าท่านจะจำคำพูดที่เรากล่าวในวันนั้นได้และรู้สึกว่าตนเองไม่คู่ควรกับสตรีงามมากมายเหล่านั้น ?”

ฉินอวี้โม่ยังไม่ลงมือทำสิ่งใดและนางไม่เห็นหลัวหมิงซีผู้นี้อยู่ในสายตาด้วยซ้ำ แม้ผู้พิทักษ์จำนวนมากที่ติดตามเขามาครานี้จะไม่ถือว่าอ่อนแอ ทว่าพวกเขาก็ไม่ทรงพลังมากพอที่จะสร้างปัญหาให้นางได้ ถึงอย่างไรกองทัพอสูรมายาของนางก็เตรียมพร้อมล่วงหน้าแล้วและสามารถจัดการกับศัตรูเหล่านี้ได้อย่างง่ายดาย

“โม่เอ๋อร์ ข้าได้ยินว่าส่วนนั้นของเขาใช้งานไม่ได้อีกแล้ว เขาจึงมิอาจ ‘ใกล้ชิด’ กับสตรีได้อีกต่อไป”

หานโม่ฉือแสยะยิ้มและกล่าวเสริมด้วยสีหน้าระรื่นราวกับกำลังเล่าเรื่องตลกขบขันกับฉินอวี้โม่

เมื่อได้ยินเช่นนั้น บรรดาผู้ที่เฝ้าดูเหตุการณ์โดยรอบก็ชะงักไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะพรืดอย่างอดไม่ได้ขณะสายตามองไปที่หลัวหมิงซีอย่างเยาะเย้ย

.